ตอนที่ 21 ชื่อตอน กุ้ยฮวาเกา

3357 Words
มินึกว่าอาหารมื้อนี้ขององค์ไท่จื่อนั้นจะหวานลำคอนัก ในใจในอกของพระองค์นั้นเต้นตึกตั่ก ได้จ้องมองนางอีกครั้งอย่างชิดใกล้ หัวใจสุขล้นเหลือประมาณ ความรักช่างดีมากนัก แม้ทุกข์ยามที่ขาดนางจนใจแทบขาด แต่ยามที่มีนางก็สุขจนดวงใจติดปีกลอยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า องค์ไท่จื่อเผลอแย้มรอยยิ้มบานแล้วก็ตั้งสติได้จึงกระแอมออกมาเบาๆ ทรงดึงฉลองพระองค์ให้เรียบตึง ทำท่าขึงขังนักในสายตาของผู้คน มู่เจิ้นเป่ยโหวเหลือบตามองคนทั้งสองแล้วก็ทำทีว่าปวดเบาแล้วเร้นกายไปเสียเฉยๆ ครานี้จึงเป็นมู่หลิงซือที่ทำอันใดมิใคร่ถูก นางมือสั่นขึ้นมาเขินอายเป็นอย่างยิ่งนัก "ยาระงับพิษใช้ได้ในหนึ่งวัน วันนี้ทั้งวันนั้นนางจะมิปวดใจหรือป่วยไข้อันใดเลย หากนางมีความรู้สึก...เอ่อ..ความรู้สึก.แห่งความรัก " มู่หลิงซือมองผ้าเช็ดหน้าปักลายงดงามแล้วก็หันมองไปทางเป็ดน้ำโง่ๆไปคราหนึ่ง นางมองเป็ดน้ำสลับกับผืนผ้าแล้วก็พบว่ามีบางสิ่งประหลาดนัก เหตุใดเป็ดน้ำบนผืนผ้าจึงมีลวดลายประหลาดไป จึงพิศมองดูดีๆ จึงพบว่าใต้ปีกของมันมีลูกตัวหนึ่งเล็กๆ มู่หลิงซือหน้าร้อนขึ้นมาในทันใด "โอ๊ย สตรีบ้า ยามที่สติของเจ้าเลอะเลือนเหตุใดจึงทำสิ่งน่าอายเช่นนี้ได้กัน เจ้าปักผ้าเป็ดโง่ อีกทั้งยังปักเป็ดพ่อแม่ลูกเสียอีก นี่มันเป็นสาวน้อยเกินไปแล้ว สาวน้อยเสียเหลือเกิน อ่า...ข้าอยากจะร่ำไห้นัก น่าอายเสียจริงกับตัวข้าในยามนั้น " มู่หลิงซือซบหน้าลงกับผ้าปักเป็ดโง่ของนางแล้วตัวสั่นเทิ้มเบาๆ ร่างแกร่งตื่นตกใจถึงกับดึงนางมากอดพลัน มู่หลิงซือสะดุ้งโหยงตื่นตกใจขึ้นมาตาโตเท่าไข่ห่านเบิกกว้างขึ้นมาพลัน "เจ้าเป็นอันใดหรือไม่หลิงซือ" ร่างแกร่งขึงมือนางและสอดสายตาตรวจดูนางที่มีใบหน้าแตกตื่น ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อยคู่ มู่หลิงซือหน้าแดงและเร่งแกะมือหนาออกไปในทันใด นางเร่งเอ่ยออกมาพลันก่อนที่นางจะเป็นจุดสนใจมากไปกว่านี้อีก "มิมีอันใดเพคะ หม่อมฉันเพียงง่วงนอนเล็กน้อยเพคะองค์ไท่จื่อ" ร่างแกร่งถอนหายใจโล่งอกออกมาและยกขนมกุ้ยฮวาเกาขึ้นมาให้นาง จดจ่อไปตรงริมฝีปากนุ่มเบาๆและกระซิบข้างหูนางเบาๆ "กุ้ยฮวาเกายังเหลืออีกนิด เจ้ากินแล้วลงไปล่องเรือกันเถิด บิดาเจ้าเดินไปทางนั้นแล้วคงยังมิกลับมาง่ายๆ เช่นนี้เราไปล่องเรือกันเถิด เปิ่นไท่จื่ออยากล่องเรือนัก ในยามก่อนนั้นเราอยู่กันบนภูเขาได้ล่องเรือแค่มิไกลนัก ยามนี้มีแม่น้ำใหญ่ เปิ่นไท่จื่ออยากใช้เวลากับเจ้าให้นานเท่านานนัก" ร่างบางอ้าปากออกกัดขนมกุ้ยฮวาเกาไปเบาๆ นางแทบมิรู้รสอาหารแล้วในยามนี้ ให้ตายเถิดใจของนางทรยศมากไปเสียแล้ว มันเต้นขึ้นมาเหมือนกลองศึก อา..นางเป็นดั่งขุนศึกบนหน้าผา ยามกลายมาเป็นสาวน้อยเช่นนี้ นางมิอาจจะรู้ได้ว่านางควรทำตนเช่นใดกัน ฮือ " มู่หลิงซือใบหน้าแดงแล้วแดงอีก นางค่อยๆลุกขึ้นช้าๆและเดินตามแรงดึงของฝ่ามือที่ลากดึงนางไปตามแรงดั่งโคถึกนั้น มู่หลิงซือตัวลอยปลิวตามไปจนถึงท่าเรือแสนงดงามและโอ่โถง มู่หลิงซือมองไปรอบๆพบว่าบนลำเรือนั้นมีอาอี่เป็นคนควบคุมคนบนเรือและบนเรือนี้มีแต่องครักษ์ลับ อีกทั้งเรืออีกลำก็มีขันทีและองค์ชายน้อยอยู่บนนั้น ข้างท่าเรือมีองครักษ์หลวงมาปิดเส้นทางไว้จนตลอดแนวลำน้ำ บรรยากาศประหลาดๆ แต่ทว่ายามมองนางรำที่อยู่บนเรืออีกลำหนึ่งแล้วก็น่ารื่นรมย์มิน้อยเลย นางมองนางรำเหล่านั้นและรับจอกสุราที่ส่งมาพร้อมกับดวงตาพราวระยับแล้วก็เผลอดื่มสุราลงไป สุรารสหอมหวานน่าลิ้มลองเป็นที่สุด มู่หลิงซือชอบสุราชนิดนี้เสียจริงเชียว นางดื่มลงไปสามจอกแล้วก็นึกครึ้มใจ นางลุกขึ้นยืนและเดินไปด้านหน้าโต๊ะอาหาร และยกแขนเสื้อขึ้นไปบนผืนฟ้าและร่ายรำอ่อนช้อยสะบัดปลายแขนเสื้อขึ้นลงเสมือนผีเสื้อตัวหนึ่งที่งดงามนักใบหน้าคมกระพริบดวงตาตนเองอย่างว่องไวเพราะทั้งชีวิตมิเคยพบว่านางร่ายรำได้มาก่อนเลย ยามนางร่ายรำให้ดูชม ใบหน้าคมนั้นแย้มรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากพลัน ร่างแกร่งเอนกายพิงหมอนข้างหนึ่งและยื่นจอกสุราไปให้อาเหมารินสุรา และมองนางด้วยดวงตาที่ฉ่ำหวาน มู่หลิงซือร่ายรำแข่งกับนางรำบนเรือข้างๆ นางอาศัยเสียงดนตรีของผู้อื่นและร่ายรำอ่อนหวานจนคนตรงหน้าเคลิบเคลิ้มไปในความฝัน จิ่งเฉินไท่จื่อเสมือนหลุดไปในภวังค์แห่งห้วงฝัน คล้ายมองเทพธิดาดอกไม้ลงมาจุติแล้วร่ายรำให้ดูชม เช่นใดเช่นนั้นเอง ฝ่ามือแกร่งที่สวมแหวนหยกกระดิกนิ้วเรียกนางให้มาใกล้ มู่หลิงซือเอนกายเข้าหาและเอนกายออกห่าง ร่ายรำหยอกล้ออย่างน่ารักนัก ใบหน้าคมหัวเราะเบาๆและใช้ช้อนตักขนมกั่วต้ง *1ที่ใส่ดอกฮวาเกา*2 กลิ่นหอมหวานลงไป มือหนาประคองช้อนและทำท่าเชื้อเชิญนางมาหาอีกครั้ง ร่างบางเมามายนักนางหยุดร่ายรำเดินเอนน้อยๆช่างน่าดูชม นางเดินมาช้าๆและมาคุกเข่าลงข้างกายต่ำกว่าร่างแกร่งเล็กน้อย และค่อยๆก้มลงเผยอริมฝีปากสีอิงเถา*3 อ้าริมฝีปากช้าๆและกัดขนมกั่วต้งลงไปเบาๆ นางกลืนลงไปช้าๆและแย้มรอยยิ้มบานออกมาในทันใด "อร่อยมากนักเพคะ สิ่งใดที่เป็นกุ้ยฮวาหม่อมฉันชอบมากแทบทั้งสิ้นเพคะ" "เช่นนั้นเปิ่นไท่จื่อจะป้อนเจ้าอีกดีหรือไม่ ขนมนี้เหนียวนักให้เปิ่นไท่จื่อเปื้อนมือผู้เดียวก็พอแล้ว" เปื้อนอันใดมิเปื้อนอันใดทรงโป้ปดเป็นที่สุด ก็ทรงแค่จะลอบกินเต้าหู้*4นางเช่นนั้นเอง เต้าหู้ขาวๆตรงหน้านี้มิกินทั้งกายลงคอไปก็จะขอลักชิมเพียงนิดก็ยังดี ทรงจะทำตนเป็นดั่งศิษย์ของชี่กง*5 ที่มิหิวมิกินเสียแล้วในยามนี้ ทั้งที่ลำคอของพระองค์นั้นแห้งผากเสียเหลือเกิน "กั่วต้ง*1รูปปลาหลีนี้น่ารักเสียเหลือเกินเพคะ เสียดายอร่อยมากจนต้องกลืนลงไปแล้ว ผู้ทำอาหารชนิดนี้ก็ช่างคิดช่างทำนัก หม่อมฉันชอบจริงๆเสียแล้วเพคะ" "เจ้าชอบก็ดีแล้ว ยามอยู่ที่วังหลวงเปิ่นไท่จื่อจะหาของที่เจ้าชอบให้มากนัก รั้งเจ้าไว้ในวังหลวงข้างกายของเปิ่นไท่จื่อให้นานเสียหน่อย แล้ววันใดหากเปิ่นไท่จื่อออกไปตรวจราชการ เราก็ไปกันสามคน พาเสี่ยวเซียวของเราออกท่องเที่ยวไปทั่ว เช่นนี้ดีหรือไม่เล่า" ใบหน้าหวานยิ้มออกมาทั้งปากทั้งตาของนาง ดวงตาของนางหวานฉ่ำนัก นางเมามายจึงพยักหน้าอย่างมิรู้ตน มือหนาดึงนางขึ้นบนตักและกอดนางเบาๆ ชี้ชวนนางให้ดูชมนางระบำที่ใส่ชุดสีกลีบบัวและร่ายรำเป็นรูปแบบดอกบัวบาน ร่างบางหัวเราะคิก "หม่อมฉันก็รำเช่นนั้นได้นะเพคะ ทรงอยากชมหรือไม่เพคะ" ใบหน้าคมพยักหน้าเบาๆและปล่อยนางออกไปในทันใด ร่างบางหมุนตัวด้วยปลายเท้าจนกระโปรงของนางบานออกคล้ายดอกไม้บานแตกต่างจากนางระบำนัก นางกางนิ้วมือปิดใบหน้าตนและแย้มรอยยิ้มบาน ช่างดูเย้ายวนเป็นที่สุด "โฮ้ว กงกง มู่ชินร่ายระบำสวยกว่านางรำเหล่านี้เลย โฮ้ว มู่ชิน มู่ชินงามเสียเหลือเกิน มู่ชินนน!!! " จิ่งเฉินไท่จื่อหัวเราะร่าในท้ายที่สุด แล้วพระองค์ก็ทนเสียงเล็กๆนั้นมิได้ ต้องให้คนเทียบเรือและนำเจ้าอ้วนของพระองค์มาบนเรือที่พระองค์ทรงประทับ ยามที่ร่างอ้วนป้อมมองเห็นปลาหลีในจานก็ใช้ช้อนตักและอ้าปากเสียกว้างแล้วยัดลงไปพลัน "อ้าม ฮื่อ...อร่อยจัง...อร่อยมากเลยนะฟู่ชิน ฮร้า สดชื่นจริงๆเลย" ร่างแกร่งกอดรัดบุตรของตนอย่างเอ็นดูนักและทรงไปเช็ดปากให้อย่างทนุถนอมมิน้อยเลย มู่หลิงซือมองแล้วรู้สึกอุ่นในอกของนาง ในหัวของนางมีคำหนึ่งล่องลอยขึ้นมาพลัน "หม่อมฉันจะฟูกฟักไว้จนกว่าปลาหลีน้อยๆจะกระโดดประตูสวรรค์ผ่านไปได้จนกลายเป็นมังกรแสนงามเลยเพคะ" ร่างบางเมามายนางเดินมาจับใบหน้าอ้วนๆเบาๆ นางแย้มรอยยิ้มขึ้นมาพลัน "เสี่ยวเซียวของมู่ชิน มู่ชินจะรอคอยจนกว่าเสี่ยวเซียวจะกลายเป็นหลีเหอกระโดดขึ้นประตูสวรรค์กลายเป็นมังกรที่แสนงดงามในวันหน้า เสี่ยวเซียวของมู่ชิน" ทุกผู้คนกระพริบดวงตาขึ้นมาในทันใดและแย้มรอยยิ้มบานขึ้นมาในทันที องค์ไท่จื่อหัวเราะลั่นขึ้นมาพลันและลูบผมของนางเบาๆทรงจุมพิตนางอย่างรักใคร่นัก "เจ้าพลาดแล้วหล่ะหลิงซือ ยามเจ้าพูดคำๆนี้ออกมาผู้ใดกันจะคิดว่าเจ้าเป็นผู้อื่นไปได้อีก นอกจากชายาของเปิ่นไท่จื่อแล้ว อ้ายเฟย*6เจ้าพลาดแล้วนะอ้ายเฟย*6" ใบหน้าหวานแย้มรอยยิ้มขึ้นมาเบาๆและคล้องวงแขนไปกอดรัดลำคอแกร่งในทันที นางก้มลงกระซิบเบาๆที่ข้างหู ขาวๆนั้นขึ้นมาในคำหนึ่ง "อาจิ่งข้ารักท่านนัก" ใบหน้าคมถึงกับน้ำตารื้นและลูบผมนางเบาๆรัดนางในอกของตนจนแน่นนัก ในลำคอคล้ายมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ภายใน การรอคอยของพระองค์คล้ายสิ้นสุดลงแล้วอย่างแท้จริง ทรงร่ำไห้ออกมาจริงๆแล้วในยามนี้ "ฮือ..เป็นเจ้าจริงๆเจ้าคือหงเสวี่ยจริงๆมู่หลิงซือ เจ้าคือมู่ชินของเสี่ยวเซียวจริงๆ มิผิดไปแล้ว มิผิดแล้วจริงๆ ข้ามิได้เข้าข้างตนเองแล้วจริงๆอ้ายเฟย เจ้าอย่าได้จากข้าไปอีก ข้ารอเจ้าจนใจแทบจะขาดตายลงไปแล้ว อย่าจากไปที่ใดอีกเลยอ้ายเฟย" มู่หลิงซือหัวเราะคิกและทุบอกแกร่งแรงๆและชี้หน้าของพระองค์เบาๆ "เจ้าปลาโง่ เจ้าหน้าปลาตาย ข้าเหม็นหน้าท่านนัก" ร่างหนาชะงักกึกและทำดวงตาดุขึ้นมาพลัน ดีดหน้าผากของนางไปอีกคราหนึ่ง และเอ่ยดุนางขึ้นมาในทันใด "เจ้าไปเรียนรู้คำย่ำแย่เช่นนี้มาจากที่ใดกันมู่หลิงซือ เจ้าหาว่าข้ามีใบหน้าเสมือนปลาตายเช่นนั้นหรือ เจ้ากล้านินทาข้าลับหลังเช่นนั้นหรือมู่หลิงซือ" ใบหน้าหวานแย้มรอยยิ้มบานและเกาคางของจิ่งเฉินไท่จื่อเบาๆ และส่งสายตายั่วยวนไปให้ดั่งนางแมวป่าแสนร้อนแรงในทันใด จิ่งเฉินไท่จื่อ ลอบกลืนน้ำลายลงคอพลันและอดมิได้ที่จะบดขยี้จุมพิตนางลงไปในทันที "อรื้อ หยุดนะเจ้าปลาตาย อรื้อ" เสี่ยวเซียวหัวเราะคิกและเร่งปิดตาพลัน จิ่งเฉินไท่จื่อเห็นเช่นนั้นจึงทั้งกอดทั้งจูบสตรีของตนอย่างวุ่นวายและตีก้นของนางเบาๆและประคองนางในอ้อมแขนด้วยความรัก ไต่ถามนางออกไปเสียงแหบพร่า "เจ้าจำได้มากแล้วหรือไม่หรือว่าจดจำได้ทีล่ะน้อย อันใดคือความจริงกันแน่ บอกเปิ่นไท่จื่อได้หรือไม่" ใบหน้าหวานหม่นหมองลงน้อยๆและดึงร่างแกร่งมากอดรัดในอกของเบาๆก่อนจะร่ำไห้ขึ้นมาพลัน นางเห็นสตรีตรงหน้าของนางถูกเผา สตรีนางนั้นนางแย้มรอยยิ้มให้นางและน้ำตารินออกที่หางตา และคนผู้หนึ่งนั้นที่กำลังจุดไฟเผานางยืนน้ำตานองอยู่บนใบหน้า คนผู้นั้นเอ่ยคำลากับสตรีของตนเองและหันใบหน้าหนีไปในทันใด "คุณหนูมู่ ข้าจำเป็นต้องรักษาชีวิตท่าน ข้าสังหารท่านมิได้ ท่านเคยช่วยข้าในสนามรบ ยามนี้ต้องมีคนตายไปหนึ่งคน ในกองเถ้าถ่านนี้อย่างไรก็ต้องมีสตรีตกตายอยู่ที่นี่ ท่านต้องตายอย่างไร้เกียรติ แต่พวกเราจะปล่อยให้ท่านตายลงไปมิได้ อีกมินานทหารจะมาค้นหาท่านตามเวลาทุกๆยาม ทหารหน่วยหรงหู่นั้นจะมาค้นหาท่านทุกๆวันโดยหวังว่าจะพบท่านอีกในมิช้า เช่นนี้ท่านจะมิตายและนางจะต้องตายแทนท่านในยามนี้ มิเช่นนั้นบิดาและมารดาของข้า และสกุลฉางนับร้อยชีวิตก็จะมิอาจรอดออกไปได้เลย" ร่างนั้นดวงตาแดงเหมือนเลือด ถอยห่างออกมาจากสตรีที่ถูกสาดน้ำมันจนชุ่มและโยนคบเพลิงลงไปเผานางในทันใด เสียงกรีดร้องดังโหยหวนขึ้นมา มินานก็สงบลง กลิ่นเนื้อไหม้กับเสียงบุรุษร่ำไห้ส่งเสียงดังขึ้นมา ดวงใจของนางแทบแหลกสลายละเอียดลงในยามนั้น มินานร่างนั้นก็ถูกพาออกไป ร่างของนางหายใจรวยรินเจ็บช้ำดวงใจจนแทบขาดร่ำร้องหาคนเพียงผู้เดียว "อาจิ่งช่วยข้าด้วย อาจิ่ง" ใบหน้าหวานร้าวรานนัก นางตัวสั่นหวั่นไหวนักและสั่งคนมาอุ้มองค์ชายน้อยออกไปก่อน องค์ชายน้อยออกไปยืนดูโคมไฟที่ลอยลงไ ในแม่น้ำ ใบหน้าดวงตาดูสุกสดใสนัก ร่างบางจึงเริ่มเล่าเรื่องของอี๋อี๋ในทันใด นางน้ำตาร่วงเผาะลงเหมือนไข่มุกในยามราตรี ร่างหนากอดนางเอาไว้ทั้งสองมือ เกยคางบนไหล่นางและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาให้เบาๆ "คนก็จากไปแล้วนางเสียสละเพื่อเจ้าแล้วค่อยๆเล่าเถิด ร้องไห้มากนักจะป่วยไข้ได้นะคนดี" "ฮือ...อี๋อี๋กับคนรักของนาง คนรักของนางเป็นคนของชายารองเพคะ ชายาลี่นางนั้นบังคับอาฮุยให้สังหารคนขององค์ไท่จื่อที่รับใช้หม่อมฉันเพคะ นางสังหารปลาหลีในสระน้ำลงไปจนสิ้น นำออกมาโยนกองเอาไว้ที่ข้างสระ นางตัดแขนขาของจูจู จนนางเสียเลือดขาดใจตายไปทั้งเป็น นางโบยหม่อมฉันนับร้อยครา นางว่าเลือดของหม่อมฉันนั้นสกปรกนัก" ร่างบางเล่าไปและหยุดเล่าส่งเสียงสะอื้นขึ้นมาพลัน อาอี่ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เพราะคนรับใช้เหล่านั้นนับว่าเป็นพวกพ้องกันแทบทั้งสิ้น “ยามนั้นฝนใกล้ตกและมีพายุมาแรง อาฮุยรับอาสานำเราทั้งสองออกไปสังหารลงให้สิ้นและอำพรางว่ากบฎนำพาไป ยามถึงที่นั้นอี๋อี่กับอาฮุยกลับกอดกันแน่น และอี๋อี๋ดึงกำไลของหม่อมฉันออกไปสวม นางกอดหม่อมฉันแน่นและบอกว่าหม่อมฉันจะต้องรอด หากหม่อมฉันรอดจะสามารถซื้อชีวิตองค์ชายน้อยออกไปได้อีกยาวนานนัก" นางเล่าไปสะอื้นไป น้ำตานองกายสั่นระริกไหว วงแขนแกร่งโอบรัดนางปลุกปลอบนางคอยจุมพิตนาง หวังทุเลาความเศร้าในใจของนางลงแม้เพียงนิด " อี๋อี๋ผลักร่างอาฮุยออก และราดน้ำมันเพลิงลงบนกายตนจนสิ้นไป อาฮุยร่ำไห้และตัดสินใจโยนคบเพลิงลงสังหารนางทั้งเป็นและนำหม่อมฉันขี่หลังไปทิ้งไว้ที่เชิงเขา อาฮุยเคยเป็นคนผู้หนึ่งในบังคับบัญชาของหม่อมฉัน ยามที่อาฮุยโบยหม่อมฉัน อาฮุยจดจำได้ในยามประชิดกายจึงลดแรงลง หม่อมฉันจึงยังมิขาดใจตายในร้อยไม้เพคะ" เล่าถึงเช่นนั้น ร่างหนากอดรัดนางจนแน่นและปลุกปลอบขวัญนางในทันใด "เปิ่นไท่จื่อจะแก้แค้นให้คนเหล่านั้นและแก้แค้นให้เจ้าให้จงได้ อ้ายเฟยอย่าเศร้าไปเลยนะ พรุ่งนี้เราไปไหว้พระกันดีหรือไม่เล่า ขอพรให้อี๋อี๋และจูจูให้ไปเกิดในภพชาติที่ดีมิลำบากทรมานเช่นนี้อีกในชาติหน้า" ร่างบางน้ำตาริน ทหารลับขบฟันแน่นและรอคอยฟังคำบัญชาในทันใด "ออกไปหาข่าวสกุลลี่มาให้มาก จับตาดูความเคลื่อนไหวคนทั้งหมดให้ดี อย่าให้รอดสายตาออกไปได้ " "พะยะค่ะ กระหม่อมจะเร่งไปเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ" ทหารลับสิบนายกระโดดหายไปในทันใด มียอดไม้ไหวไปมาเพียงนิดเท่านั้นเอง ร่างบางมีผ้าชุบน้ำมาเช็ดน้ำตาให้ และหอมแก้มนางส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้นางในทันใด "เจ้าในยามที่ร่ำไห้เช่นนี้น่ารักนัก นึกภาพของเจ้าในยามที่ลงไปร่วมศึกสามดินแดนมิออกเลย คราแรกเปิ่นไท่จื่อคิดเพียงว่าเจ้าอาจจะเป็นสตรีพลัดถิ่นหรือเลวร้ายที่สุดก็เป็นเพียงสายลับของศัตรูเช่นนั้นเอง มิคิดว่าจะเป็นแม่ทัพตัวปลอมของสกุลมู่ขึ้นมาได้ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก มองใบหน้าในยามที่เจ้าร่ำไห้เช่นนี้ เปิ่นไท่จื่อว่าช่างเข้ากันกว่ายามที่ดื้อดึงดวงตาสุกใสอย่างยิ่งนี่มันน่าแกล้งน่าตีอย่างยิ่งนัก" ร่างบางพองแก้มขึ้นมาทันใดและพยายามผลักร่างแกร่งออกไปในทันที ใบหน้าคมยิ้มระรื่นหอมแก้มนางเข้าอีกแล้วในยามนี้ “เอาเถิด เอาเถิด ต่อให้เจ้าจะร้ายกว่านี้ซักสิบเท่า เปิ่นไท่จื่อก็จะทน จะดื้ออย่างไรก็จะคอยตีเจ้า กำราบเจ้าเช่นนั้นเอง เปิ่นไท่จื่อเป็นของเจ้าไปแล้ว อันใดก็โต้แย้งมิลงแล้ว ไว้เราแต่งงานกันจริงๆอีกครา เปิ่นไท่จื่อจะเตะเกี้ยวกำราบเจ้าให้จงได้ มิปล่อยไว้เลยทีเดียวเชียว" ใบหน้าหวานแดงขึ้นมาและกกกอดร่างแกร่งซบหาความอุ่นเข้ากายตนในทันใด "อาจิ่ง.." "หืม.." "ข้ารักท่าน" ใบหน้าคมแย้มรอยยิ้มที่มุมปากบางๆมิมากนักและหอมลงบนผมนางในทันใดและบ่นขึ้นมาเบาๆ "ผมของเจ้าเลอะน้ำมูกแล้ว ไปอาบน้ำกันดีกว่า ค่อยมาบอกรักเปิ่นไท่จื่ออีกคราหนึ่ง ดีหรือไม่" “เพี๊ยะ!!! “ "โอ๊ย!!!! " "ท่านมันบ้าจิ่งเฉิน!!! " "หึ หึ หึ ก็อ้ายเฟยน้ำมูกหยดลงมาพร้อมน้ำตาจริงๆ เจ้าจะมิยอมรับเช่นนั้นหรือ" กั่วต้ง*1วุ้นหรือเยลลี่ ฮวาเกา *2ออสแมนทัส หรือหอมหมื่นลี้ อิงเถา*3 เชอร์รี่ กินเต้าหู้*4 แปลว่าลวนลาม มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า พ่อค้าขายเต้าหู้ นำสตรีของตนที่ขาวเหมือนเต้าหู้มาขายเต้าหู้ คนเห็นเช่นนั้นก็มาต่อแถวยาวเพื่อรอกินเต้าหู้ สำนวนว่าหมายถึงแทะโลม ชี่กง*5 เทพของจีนที่เป็นนักบวช ใส่จีวรเก่าซีดถือน้ำเต้า มิหิว มิกินมิดื่มแล้ว อ้ายเฟย *6 แปลว่า สนมรัก ที่รัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD