ตอนที่ 6 ชื่อตอน สืบความ

2485 Words
ร่างแกร่งกกกอดนางในอ้อมอกของตนที่หลับไหลเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ เป็นยาที่ทรงรับสั่งให้หมอหลวงนั้นใส่ลงไปในถ้วยยารักษาแผลฟกช้ำของนางเสีย ความจริงทรงกลับมาจากสนามรบเสียนานแล้ว ทรงติดตามบุตรของพระองค์มาห่างๆ ยามถึงที่เมืองหลวงแล้วจึงมิใส่ใจนักเพราะทรงมียอดฝีมือดีคอยติดตามรับใช้อยู่รอบกาย แต่ทว่าทรงมิคิดว่าจะเกิดการซุ่มโจมตีขึ้นมา ทรงติดตามคนร้ายไปจนถึงนอกเมืองและมิทันส่งคนมาคุ้มกันบุตรของพระองค์ได้ทัน ยามเข้ามาถึงในเมืองหลวงทรงพบว่าสายไปเสียแล้วก็ตื่นตกใจนัก กายสั่นลนลานหนักที่บุตรของพระองค์นั้นหายไปและพบศพทหารคู่ใจนอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้นนั้น แต่ทว่ายามได้ยินเสียงร้องเอ่ยเรียกมารดาดังขึ้นมาจึงเร่งหันไปในทันใด ร่างในความฝันพลันปรากฎกายในชุดของมู่หานซือและอยู่ท่ามกลางองครักษ์ทั้งห้าของมู่หานซือมิผิดแน่ คราแรกนึกว่าพระองค์นั้นสติแตกไป แต่ทหารลับของตนนั้นต่างขยับมาใกล้ๆและกระซิบเบาๆขึ้นมาในทันใด "ฝ่าบาทองค์ชายน้อยทรงกอดขาของสตรีของจวนมู่อยู่พะยะค่ะ นางมิใช่พระสหายของฝ่าบาทแน่นอนพะยะค่ะ มิใช่มู่หานซือ นางตัวบางกว่ามู่หานซืออีกทั้งยังมีใบหน้าขาวดั่งเช่นดอกบัวเฉกเช่นนั้น ย่อมเป็นฝาแฝดของมู่หานซือ และ...และ...นางมีใบหน้าเดียวกันกับองค์ไท่จื่อเฟยเลยพะยะค่ะฝ่าบาท!!!! " ร่างแกร่งตัวสั่นระริกขึ้นมาในทันใด กำลังก้าวออกไปจะกอดนางนำมาไว้ที่ข้างกาย แต่องครักษ์เร่งดึงพระองค์กลับมาเสียก่อน "องค์ไท่จื่อพะยะค่ะ จะเสียงานใหญ่ได้นะพะยะค่ะ องค์ชายน้อยทรงปลอดภัยดีแล้ว หากองค์ชายน้อยอยู่กับนางและสกุลมู่แล้ว เช่นนั้นเราก็เร่งตามคนร้ายไปก่อนเถิดพะยะค่ะ " หลังจากนั้นจึงทรงหักห้ามใจยังไม่พิสูจน์สิ่งใดๆในยามนั้น และแฝงกายเข้ามาในวังหลัง สืบดักฟังความในตำหนักในของชายารองของตนเองเสียก่อนในคราแรก ก่อนจะต้องขบฟันแน่นยามที่ได้ฟังเสียงของนางหัวเราะแย้มยิ้มร่าเริงและเอ่ยคำน่ารังเกียจออกมาเต็มไปหมด "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าอยากรู้นักว่าฝ่าบาทและองค์ไท่จื่อ จะทรงปกป้องบุตรของนางแพศยานั่นไปได้อีกนานเท่าใดกัน อีกมินานเชื้อเลือดโสโครกนั่น คงได้ติดตามแม่ของมันไปในมิช้าแล้ว เสียดายข้าเร่งรีบนักมิได้เผากระดูกของนังนั่นให้หมดสิ้นไป เพียงปล่อยศพให้เน่าอยู่ในป่านั้น ที่เดิมที่มันบังอาจมายั่วยวนองค์ไท่จื่อของข้าได้ ช่างน่ารังเกียจนัก ข้าควรโบยมันให้ตายคามือหรือไม่ก็ควรใช้มีดเลาะเนื้อมันออกมาให้สิ้น เสียดายนักที่ฝนตกลงมาเสียก่อน หากมิใช่เพราะฝนตก ข้ามิมีทางทิ้งมันไว้กลางสายฝนเช่นนั้นแน่ ต้องคอยดูมันไหม้เป็นจุลไปให้จงได้" ร่างแกร่งกำหมัดแน่นและแทบจะปรี่ไปหักคอสตรีชั่วช้านั้นให้จงได้ ร้อนถึงองครักษ์ลับต้องไปดึงร่างแกร่งออกมาและปิดปากของพระองค์ไว้จนแน่น ดึงออกไปที่ตำหนักขององค์ฮ่องเต้ที่ต้านเตี้ยนเสียก่อน และองค์หวงซ่างก็เล่าความออกมาให้องค์ไท่จื่อฟังอีกครา "มู่หลิงซือปลอมตนมาเป็นมู่หานซือและยังนอนละเมอเรียกอาจิ่ง ร้องช่วยด้วย ร้องว่าเจ็บนัก อย่านำเสี่ยวเซียวไป อย่าโบยนางและร้องเรียกอาจิ่งให้ช่วยด้วย" ร่างหนาตกตะลึงนักมองสบสายตาของพระบิดาตนขึ้นไปในทันใด และคลานไปเกาะฉลองพระองค์มังกรอย่างคนเสียสติในทันที "เสด็จพ่อ เสด็จพ่อทรงมิได้หลอกลวงลูกใช่หรือไม่ นางเรียกหาอาจิ่งเช่นนั้นหรือ นางเรียกอาจิ่งเช่นนั้นหรือเสด็จพ่อ ทรงมิได้เล่นสนุกกับดวงใจของลูกใช่หรือไม่ นาง นาง ชายาของลูก ชายาของลูกนั้นนางเรียกลูกว่าอาจิ่ง ฮือ ฮือ นาง นางเรียกบุตรของเราว่า เสี่ยวเซียว ผู้ใดติดตามลูกก็ย่อมรู้แทบทั้งสิ้น เสด็จพ่อเมตตาลูกด้วย ลูกรักนาง ลูกรักนางเพียงผู้เดียว ผู้ใดก็ทดแทนนางมิได้อีก ฮือๆ" องค์ฮ่องเต้เบิกพระเนตรกว้างขึ้นมาและมองสบสายตาไปกับขันทีเฒ่าในทันใด และเขย่าร่างของบุตรชายตนเบาๆ และเอ่ยตรัสรั้งสติของบุตรขึ้นมา "จิ่งเฉินเจ้าฟังบิดาให้ดีนะ ลืมตาแล้วมองบิดาของเจ้าเสีย !! " องค์ฮ่องเต้ตวาดลั่น ร่างแกร่งใบหน้าแดงก่ำน้ำตานองคล้ายคนเสียสติไปเสียแล้ว ดวงตาคล้ายคนใกล้จะขาดลมหายใจลงในยามนี้แล้วเฉกเช่นนั้นเอง "หากเรื่องนี้เป็นความจริงแล้วนั้น เจ้าจงตั้งสติเสียแล้วส่งคนไปสืบดูว่า เหตุใดมู่หลิงซือจึงปลอมตนมาเป็นมู่หานซือ ทั้งที่มู่หานซือก็ยังมีชีวิต อีกทั้งเหตุใดมู่หลิงซือจึงไปเป็นชายาของเจ้าได้ มิใช่ว่าตลอดหลายปีนี้คุณหนูมู่แพ้เกสรดอกไม้จนออกนอกบ้านมิได้เช่นนั้นหรือ หมอใดๆก็ล้วนต่างยอมแพ้ไปมิใช่หรือ" ยามฟังจบเช่นนั้นแล้ว ร่างของจิ่งเฉินไท่จื่อจึงหยุดร้องสะอึกสะอื้นและเร่งลนลานวิ่งออกไปสืบหาความจริงที่สกุลมู่ในทันใด ยามถึงสกุลมู่แล้วนั้นจึงลอบเข้าไปพบแม่ทัพมู่ผู้เป็นบิดา ก่อนจะพบว่าแม่ทัพมู่สลบไสลอยู่ในเตียงจึงเร่งตรวจชีพจรดู จนพบว่าแม่ทัพมู่ผู้พ่อนั้นติดพิษพันนิทรา จึงทะลวงจุดชีพจรให้เสียและเร่งดึงคนขึ้นมาเค้นความในทันที ยามที่มู่เสิ่นกว๋อตื่นขึ้นมาได้ก็ทำดวงตาหลุกหลิกและทำท่านึกขึ้นได้ในทันใด ก่อนจะเร่งกราบทูลลาหายไปในทันที "องค์ไท่จื่อพะยะค่ะ กระหม่อมนั้นทำสิ่งของสำคัญสูญหายที่ชายแดนพะยะค่ะ บัดนี้ต้องเร่งไปแล้วพะยะค่ะ ทรงมีสิ่งใดรับสั่งต่อสกุลมู่ก็ทรงรับสั่งกับบุตรชายของกระหม่อมไปก่อนเถิดพะยะค่ะ" เอ่ยจบผู้เป็นพ่อก็กระโดดแผลวหายไปในทันที องค์ไท่จื่อมองตามอย่างค้างคาในดวงใจของพระองค์อย่างยิ่งนัก ค่อยๆเข้าไปในเรือนของสกุลมู่ทีล่ะห้อง ทีล่ะห้อง จนพบว่าในห้องของสตรีห้องหนึ่ง มีตุ๊กตาและเสื้อเกราะสำหรับสตรี ดาบบางและอาวุธของสตรี องค์จิ่งเฉินไท่จื่อ ลูบไล้ฝ่ามือไปตามเสื้อเกราะของนางและหัวเราะออกมาเบาๆ "ถึงกับมีเสื้อเกราะและหน้ากากเฉกเช่นเดียวกับมู่หานซือ สตรีเรียบร้อยอันใดกัน สตรีอ่อนหวานอันใดกัน ช่างบังอาจเสียจริง ทำสิ่งใดกันก็มิยอมบอกแก่เปิ่นไท่จื่อ พวกเจ้าช่างน่าตายเก้าชั่วโครตเสียจริงๆ สกุลมู่" เช่นนั้นจึงทรงพบความลับขึ้นมา และกระโดดออกมาจากจวนมู่แล้วมาแอบอยู่ในวังหลวง ทรงบรรทมในตำหนักของบิดาและลอบไปสืบข่าวตำหนักของสตรีที่มีบิดาเกี่ยวพันกันในราชสำนัก จนพบว่าฝ่ายซ้ายนั้นเองขยับกายจนสั่นไหวในเมืองหลวงอยู่เช่นนี้ หวังสังหารองค์ชายน้อยและหวังให้พระองค์เข้าหอกับบุตรสาวของตนเองและแต่งตั้งพวกนางเป็นฮองเฮา พวกมันช่างน่ามิอายนัก จิงเฉินไท่จื่อสืบความได้แล้วจึงเร่งเข้าไปหานางในดวงใจ ยามพบว่าเป็นนางจริงๆแล้ว ร่างกายแข็งแกร่งพลันอ่อนไหวน้ำตาร่วงหล่นลงมาในทันใด ในคราแรกนั้นทรงรู้สึกเสียใจที่นางจากไปจนมิอาจกลั้น แต่เมื่อมีบุตรน้อยๆอยู่เบื้องหลังและมีแคว้นทั้งแคว้นให้ต้องปกป้อง พระองค์ก็มิอาจเสียใจอยู่ได้นานนัก ยามจะบรรทมในทุกราตรีในอกก็บาดเจ็บไปทุกครา แม้นางจะมีที่มาที่ไปอย่างมิชัดเจนนัก แต่นางน่ารักอ่อนหวาน พระองค์ทรงค้นพบนางในป่าใกล้สนามรบ คิดว่านางคงเป็นสตรีบ้านป่าที่หนีสงครามมิทัน คงถูกข้าศึกลอบทำร้าย ยามจะหาทางนำนางมาที่เมืองหลวงมาเข้าพีธีกราบไหว้ฟ้าดินอีกครั้งหนึ่งก็มีสงครามเกิดขึ้นมา และนางนั้นก็ตั้งครรภ์บุตรของพระองค์ไปเสียแล้ว ยามที่นางมีบุตรอวบอ้วนน่ารักน่าชังให้พระองค์ จิ่งเฉินไท่จื่อยินดีจนมิอาจกลั้นน้ำตาไปได้ ทรงรู้ว่าชีวิตนี้ต้องเป็นนาง เพียงนางเท่านั้นที่พระองค์จะทรงรักไปตลอดในชีวิตนี้ ยามเพียงจากมาเพราะมีสงครามอีกคราหนึ่ง เพียงข้ามวันมีสาส์นจากชายารองว่านางถูกกบฎลักพาไปและถูกสังหารตายอยู่ในป่า ทั้งยังมีคนออกไปค้นหาร่างของนางในภายหลังและนำร่างไหม้เกรียมใส่โลงส่งมาให้ พระองค์นั้นดวงใจแตกสลาย มิทันชันสูตรศพของนางก็หลงเชื่อไปเสียแล้ว เพราะศพนั้นมีร่างกายคล้ายคลึงกันและมีสภาพที่มิน่ามองจนมองมิชัดแล้ว อีกทั้งยังมีคนบอกว่านางโดนขืนใจจนตายและถูกเผาทั้งที่เปลือยกาย เสื้อผ้าที่เก็บกลับมาจึงยืนยันได้ว่าเป็นนาง พระองค์ช่างโง่งมนักในยามนั้น เสมือนโลกทั้งโลกพังทลายลงไป แต่ยังมีบุตรอยู่ในอก บุตรร้องโยเยหามารดา ทรงต้องปลอบบุตรน้อยๆ แต่งเรื่องราวสารพัดขึ้นมาให้บุตรนั้นรอคอยมารดาอย่างมิรู้ความใดๆ "ทรงหลอกตนเองและบุตรของพระองค์เองว่า นางนั้นไปเที่ยวชมสวรรค์แล้วในวันหนึ่งนางจะกลับมา ทั้งที่รู้ว่าชาตินี้คงมิมีทางได้พบเจอกับนางได้อีกแล้ว แต่ดวงใจของพระองค์มันมิฟัง มันยังคงรักแต่เพียงนาง ความหวานความอบอุ่นยังลึกซึ้งอยู่ในอกของพระองค์ ยามนอนกอดเสื้อผ้าของนางที่มีกลิ่นกายหลงเหลืออยู่ หัวใจของพระองค์แทบขาดมาตลอดปีเศษๆนี้" ยามนี้ในอกของพระองค์มีร่างนุ่มนิ่มนอนหายใจสม่ำเสมอและนางยังหาซุกหาความอบอุ่นในอกของพระองค์ ร่างแกร่งกอดนางไว้จนแน่นและดึงผ้ามาห่มกายของทั้งสองเอาไว้ ทรงนอนทอดพระเนตรจ้องมองนาง หอมแก้มนุ่มของนางไปอีกครั้ง ดวงใจที่เจ็บปวดพลันกลับมาเต้นอย่างยินดีอีกครั้ง มือหนาพลันทดลองแกะเสื้อผ้าของนาง แอบมองดูตำหนิบนร่างกายของนางอย่างน่ามิอายตน ยามเปิดผ้าออกมาก็พบว่ามีผืนผ้ารัดอกปิดบังเอาไว้ก็ทรงทำหน้ายุ่งยิ่งนัก ค่อยๆลอบดึงมันออกช้าๆ จนพบร่างกายของนางที่เคยคุ้น ใบหน้าคมแย้มรอยยิ้มออกมาจางๆและแอบดึงพุงของนางเบาๆ หัวเราะอยู่เพียงผู้เดียวใต้แสงเทียนเพียงเล่มหนึ่ง "เจ้าพุงย้อยแล้วนะหงเสวี่ย อ้อ มิใช่ซิ...หลิงซือ หึ หึ หึ ข้าจะเล่นสิ่งใดกับเจ้ากันดีนะ ให้เจ้ากลับมาเป็นชายาก็คงจะง่ายเกินไปสำหรับเจ้า อีกทั้งยามนี้ มู่หานซือต้องหายไปที่ชายแดนเป็นแน่ หึ หึ เจ้าตัวร้าย พวกเจ้ากล้าหลอกลวงเบื้องสูงมีโทษถึงตาย แต่มีเพียงอ้ายเฟยเพียงผู้เดียวที่เปิ่นไท่จื่อจะยอมเล่นด้วยแล้วในยามนี้ หึ หึ หึ " เช่นนี้ราตรีนี้จึงมิได้ทรงกลืนกินนางให้หายหิว แต่ทรงกอดรัดนางเอาไว้ในอก หวั่นเกรงว่านางจะเป็นเพียงภาพฝันล่อลวงตานัก จิ่งเฉินไท่จื่อประคองนางและหอมลงไปที่แก้มขาวหลายครั้งหลายครานัก จวบจนใกล้ฟ้าสางจึงไปอุ้มองค์ชายน้อยมานอนข้างๆนาง และเร้นกายหายออกไปเสีย ในคุกหลวงองครักษ์ทั้งห้าของสกุลมู่กอดกันกลมกับเสี่ยวจื่อ ยามที่ถูกแส้ฟาดลงไปคนล่ะคราหนึ่ง และยามพบว่าเรื่องบางเรื่องอาจจะเกี่ยวกับยามที่คุณหนูนั้นหายไปนานถึงสองปี อีกทั้งองค์ชายน้อยยังมีใบหน้าคล้ายคลึงกันกับคุณหนูของตนนัก เหล่าข้ารับใช้จึงเสี่ยงดวงเล่าความจริงออกไปทั้งหมดสิ้นในทันใด "ทูลองค์ไท่จื่อพะยะค่ะ แม่ทัพมู่หายไปในสนามรบและเรามิอาจค้นหาท่านแม่ทัพมู่หานซือพบ คุณหนูรองจึงจำเป็นต้องปลอมตนเองเพื่อมิให้ข้าศึกเหิมเกริมนัก และในยามนี้ยังมีศึกสงครามอยู่ทหารจะเสียขวัญได้ คุณหนูจึงคิดว่าหากทำเช่นนี้จะเป็นผลดีกว่าพะยะค่ะ " “โป๊ก!!! โอ๊ย!!! “ "ละครโง่เง่าของพวกเจ้าคิดว่าจะตบตาทหารที่คุ้นเคยกับมู่หานซือได้เช่นนั้นหรือ มู่หานซือนั้นกายใหญ่โตและสูงเท่ากับกายของข้า ยามนี้นางสูงเพียงแค่คางของข้า เจ้าถึงกับกล้านำนางออกมาเสี่ยงภัยเช่นนั้นหรือ!!!" "พวกกระหม่อมผิดไปแล้วขอรับ แต่นายท่านทั้งสองก็สลับตัวกันเช่นนี้หลายครั้งหลายคราแล้ว เรื่องนี้รู้กันไปทั้งกองทัพ ยามศึกสามดินแดนก็เป็นนางนั่นเองที่รบชนะในคราแรก ยามที่ท่านแม่ทัพหายไปจากกองทัพ ต่อมานางได้พลัดตกลงไปในหุบเหว ท่านแม่ทัพกลับปรากฎกายขึ้นมาทันจึงรบชนะอีกคราในศึกนั้น ทุกผู้คนล้วนบูชานางกันทั้งสิ้น เช่นนี้ยามรบนางจึงต้องทำหน้าที่แทนท่านแม่ทัพไปทุกคราขอรับ" องค์ฮ่องเต้ทรงถอนปัสสาสะออกมาพลันและเอ่ยขึ้นมาในทันใด "เช่นนี้แล้วอย่าให้นางรู้ว่าเจิ้นกับองค์ไท่จื่อรู้แล้วว่านางเป็นตัวปลอม เรื่องจะได้มิแตกไวนัก แต่ต่อไปหากพวกเจ้าช่วยกันปกปิดเรื่องสำคัญเช่นนี้อีก หัวของพวกเจ้าก็มิต้องเอาไว้แล้ว เจิ้นจะแยกมันออกจากกันเสียให้สิ้นไป!!! " "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพะยะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นๆปี หมื่นๆปีพะยะค่ะ"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD