ตอนที่ 1 ชื่อตอน มู่หานซือ

1889 Words
มู่หลิงซือและมู่หานซือเป็นฝาแฝดชายหญิงต่างเพศ ทั้งสองเป็นบุตรของสกุลขุนนางฝ่ายบู๊และมีผู้สืบทอดคือมู่หานซือ ซื่อจื่อผู้เป็นพี่ชายนั้น เป็นบุคคลที่ผู้คนรับรู้กันทั้งสิ้นว่า เมื่อมู่หลิงซือผู้งดงามเป็นน้องสาวแสนงดงามที่มู่หานซือเก็บไว้ในฝ่ามือเสมือนไข่ในหิน มู่หานซือประคองนางเอาไว้มิให้ผู้ใดได้แตะต้อง แต่ทั้งสองนั้นสนิทกันมากในยามที่เป็นเด็กนั้นซุกซน ทั้งสองมักจะสลับตัวกันอยู่ตลอดแต่ก็มิเคยมีผู้ใดจับได้เลย เพราะมู่หลิงซือนั้นงดงามอ่อนหวานนัก ผู้คนจึงมิมีทางคิดว่านางจะทำตัวเป็นบุรุษเพศไปได้เลย ยามที่นางปรายตาเพียงคราหนึ่ง บุรุษแทบหลงลืมการหายใจไปโดยพลัน มู่หลิงซือนั้นมีดวงตาที่หวานปนเศร้า นางมักจะพูดเสียงเบาและอ่อนหวาน ผู้คนกล่าวว่านางนี่ล่ะคือแก้วล้ำค่าของสกุลมู่ นางเชี่ยวชาญศาสตร์ของสตรีศึกษาจนเชี่ยวชาญนัก แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังชื่นชมนักในศิลปะศาสตร์ของนาง มู่หลิงซือนั้นงดงาม ผู้คนต่างก็กล่าวขวัญกันมากนักเลื่องลือกันดังออกไปเจ็ดแคว้นแปดมหาสมุทร เพราะบิดาของนางพิชิตผืนแผ่นดินได้มากมายเพื่อแคว้นเว่ย แต่ทว่าในความจริงแล้วนั้นนางเองก็สัมผัสได้ว่ามีพลังบางๆกดดันเหล่าทหารให้ปล่อยข่าวออกไปเช่นนั้น อันใดหน่ะหรือก็บิดาของนางนั้นเองหล่ะที่อยากหาคู่ให้นางจนตัวสั่น บิดานั้นเอือมระอาที่นางดื้อและซนนัก เพราะนางมักจะอาสาสวมหน้ากากไปออกรบแทนพี่ชายของนางอยู่เสมอ โชคดีที่พี่ชายของนางก็มีใบหน้าหวานจึงกลัวว่าศัตรูจะมิกลัวเกรง มู่หานซือจึงสวมหน้ากากเสือเอาไว้ตลอดยาม เช่นนี้เองมู่หลิงซือจึงได้ทีสวมรอยลงสนามรบหลายครั้งหลายครา จนสามารถเอาชนะศึกสามดินแดนมาได้ ในยามที่พี่ชายของนางนั้นถูกลอบสังหารจนหล่นลงไปในหุบเขา มู่หลิงซือนั้นมีทหารคนสนิทร่วมห้าสิบนายที่รู้ว่า นางคือสตรีเพศแสนอ่อนหวานผู้นั้นเอง ยามที่นางนั้นเข้าไปรบในสนามรบ เหล่าบุรุษจึงมุ่งปกป้องนางและช่วยเหลือนางตลอดยาม เช่นนี้นางจึงมิต้องกังวลนัก ในยามพักหรืออาบน้ำจึงสะดวกอยู่มิน้อยเลยทีเดียว เหล่านักรบนั้นมักจะคอยเดินเวรยามให้นางตลอดราตรี แม้หนูซักตัวก็มิให้เร้นรอดเข้ามาได้ เพราะว่านางคือสตรีเพศเช่นนั้นเอง มู่หลิงซือนั้นร่วมรบในศึกสามดินแดนและจบลงที่นางตกลงไปในหุบเหวและหายไปร่วมสองปี จนกระทั่งนางฟื้นความจำและหลงลืมไปว่าตลอดสองปีนางหายไปที่ใดมากันแน่ ยามนั้นโชคดีที่พี่ชายของนางนั้นถูกพบตัวก่อนและเข้าไปร่วมในสงครามทันเวลา การดวลยามสุดท้ายกับแม่ทัพของข้าศึกจึงสมศักดิ์ศรีและสามารถพิชิตสามดินแดนนำชัยชนะให้แคว้นเว่ยขึ้นมาได้ สงครามครานี้จึงทำให้ราชสำนักยกย่องสกุลมู่นัก พี่ชายของนางจึงได้บรรดาศักดิ์เจิ้นเป่ยโหวมาได้โดยง่ายโดยมิต้องรอคอยการสืบทอดแต่อย่างใด นับว่ามีอนาคตยิ่งนักแล้ว ยามที่นางหายไปนั้นบิดาของนางโศกเศร้ามาก บิดาของนางร่ำไห้ทุกคืนวัน มู่หานซือก็เช่นกัน ยังคงให้ทหารรักษาเชิงเขานั้นไว้และออกตามหานางในทุกๆวัน เพียงตายเป็นผีย่อมพบซากหากยังเป็นอยู่ในสภาพใดๆมู่หานซือก็สาบานว่าขอเพียงให้ได้พบกับหลิงซือสิ่งใดล้วนยอมแลกออกไปในทั้งสิ้น ยามผ่านไปสองปี ทหารที่เข้าเวรอยู่นั้นกลับได้พบร่างของนางไกลลึกเข้าไปในป่า ตามกายของนางนั้นมีรอยเลือดอาบไปทั่วร่าง ทหารทั้งหลายมิกลัวเกรงว่านางว่าจะเป็นผีมาหลอกหลอนตนแม้เพียงนิด ทหารเหล่านั้นเร่งใช้เสื้อของตนเองสวมลงบนกิ่งไม้ใหญ่และหามนางลงเปลมาอย่างระมัดระวังนัก ยามถึงเชิงเขาได้จึงเร่งเรียกหาหมอมาดูแผลให้นางก่อนสิ่งใด ยามที่หมอมาตรวจในยามแรก พบว่านางติดพิษกร่อนดวงใจซึมลึกเข้าไปในหัวใจ ความทรงจำทั้งหลายมลายสิ้น ทั้งบาดแผลตามร่างกายของนางนั้นยังเป็นรอยโบยตีมิต่ำกว่าร้อยไม้ ซึ่งอาจทำให้นางจากไปได้ในทุกขณะ บิดาของนางมู่เสินกว่อควบม้ามากลางสายฝน กระโดดลงมาในถ้ำที่ทหารนั้น นำร่างนางไปพักอยู่ชั่วคราวรอคอยให้ฝนหยุดตก มู่หานซือติดตามมาอย่างร้อนใจในภายหลัง นำรถม้าและสาวใช้ของนางติดตามมาด้วยถึงสองนาง ก่อนจะเร่งทายาสมานแผลและปลุกปลอบนางที่ตื่นมาร่ำไห้ตลอดยาม ร้องเรียกเพียงคำว่า “เสี่ยวเซียว”อยู่มิขาดปาก แต่ด้วยพิษกร่อนดวงใจแล้วนางย่อมมิอาจจดจำสิ่งใดๆได้อีกต่อไป มู่หลิงซือเอนกายนอนร่ำไห้เช่นนั้นอยู่นานนับเดือน นางจดจำได้เพียงคำๆเดียวนั้นว่า”เสี่ยวเซียว” บิดาของนางมิรู้จะทำเช่นใดให้นางหายเศร้าใจลงได้ จึงไปนำปลาหลีมาให้นางเลี้ยงในสระของจวน ที่ตามปกติแล้วจะมีแต่ลานฝึกยุทธ แต่ทว่ายามนี้นั้น กลับกลายเป็นสวนน้ำงดงามอย่างยิ่งนัก สงครามชายแดนปะทุเดือด มินานบิดาของนางและพี่ชายของนางก็ต้องไปประจำที่ชายแดนอีกครั้ง เช่นนี้แล้วนางจึงได้แต่อยู่ในจวนและยามที่มองปลาหลี นางก็คล้ายจะจดจำได้ว่า ในความจำของนางนั้นมีปลาหลีนับร้อยนับพันตัวอยู่ในนั้น ในภาพจำของนางมีปลาหลีถูกสังหารลอยเกลื่อนซากปลาตายลอยอืดขึ้นมาจนเต็มสระ เช่นนั้นต่อจากนั้นมา นางจึงคิดว่านางคงกำลังป่วยหนัก ถึงสงสารเห็นใจเพียงแค่มีคนสังหารปลาหลีตายลงไปจนหมดสิ้น "เฮอะ ก็แค่ปลาหลี นางจะเสียใจอันใดนัก ช่างวิปริตเสียจริง ความเพ้อฝันบ้าบอเช่นนี้นี่ช่างไร้แก่นสารนัก นางคงหลงลืมตนเองไปในคราแรกจึงวิปลาส เช่นนั้นผู้คนจึงหาทางสงบสติของนาง และอาจใช้ยาพิษกร่อนดวงใจกล่อมดวงใจของนางลงไปก็อาจเป็นไปได้ " วันคืนก็ผ่านพ้นไปมิไหลย้อนกลับ ศึกชายแดนปะทุเดือด พี่ชายของนางหายไปจากสนามรบอีกครั้งหนึ่ง เช่นนี้นางจึงต้องปลอมตนเองเป็นพี่ชายของตนเองและเข้าร่วมรบ นางชักธงม้าทมิฬและบุกนำกองทัพเกราะเทาเข้าไปในสนามรบ ปลดปล่อยเชลยศึกและนำบิดากลับมาได้ หลังจากนั้นบิดาของนางก็มิรู้สติ นางจึงต้องสวมฐานะของมู่หานซือและควบคุมกองทัพไว้ในมือของตนเองในฐานะเจิ้นเป่ยโหว หลังจากนั้นมีราชโองการให้มู่หานซือเข้าวังหลวง นางจึงอยู่ในฐานะของมู่หานซือและเข้าประชุมในท้องพระโรงในทุกๆวัน ในการประชุมต่างขอความคิดเห็นเรื่องการสนับสนุนองค์รัชทายาท ที่ยามนี้ตรึงกำลังและออกรบอยู่ในเขตพิพาทที่ซานฉือ องค์รัชทายาทมิได้กลับมานานนักแล้ว และแว่วว่าองค์รัชทายาทนั้นมีทายาทน้อยๆสืบราชนิกูลแล้ว ในยามนี้นั้นการเมืองจึงคุกรุ่นอยู่มิน้อยเลย หลายฝ่ายคาดว่าจะเลือกสนับสนุนทางหนิงอัน สกุลของชายารองขององค์รัชทายาท ที่ในภายหน้าอาจมีความเปลี่ยนแปลงอื่นใดขึ้นมาได้ เพราะชายาเอกนั้นถูกลอบสังหารในยามที่องค์รัชทายาทมาออกรบ แต่ถึงจะสูญเสียชายาเอก องค์รัชทายาทก็ยังมีกำลังใจเด็ดเดี่ยวบุกทะลวงพังกองทัพกบฎด้วยแรงโทสะจนเมืองทั้งเมืองราบไปจนสิ้น ทรงเฉือนเนื้อเหล่ากบฎมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของชายาเอก และยังมิเลื่อนขั้นให้ชายารองอีกเสียด้วย ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก แต่ทว่าเพียงเท่านี้ตำแหน่งในอนาคตของชายารองก็มีความหวังมากนักแล้ว เพราะอย่างไรหากองค์ไท่จื่อได้ขึ้นครองบัลลังค์แล้วนั้น ย่อมแน่นอนเหลือเกินว่าชายารองนั้นต้องได้นั่งเคียงข้างบนบัลลังค์ขององค์ไท่จื่อ แม้แต่งตั้งมิแต่งตั้ง อนาคตนั้นก็ย่อมเป็นของนางเป็นแน่แล้ว บางทีองค์ไท่จื่อผู้นั้นอาจจะทรงยังทำใจมิได้ แต่ช่างเถิดอย่างไรนางก็มิได้ใส่ใจนักในยามนี้ มู่หลิงซือยามนี้เพียรพยายามหาหมอมารักษาบิดาของตนและวิ่งเข้าออกในร้านยาในเมืองหลวงทุกวี่วัน ในวันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกับในทุกๆวัน นางนั้นเดินทางออกมาจากท้องพระโรงและแวะพักในโรงเตี้ยมก่อนที่จะดื่มสุราย้อมใจในความเดียวดายของนางบ้าง นางเดินลงมาพร้อมองครักษ์ห้านาย ก่อนจะชนเข้ากับเด็กอายุราวๆสามขวบ นางจึงก้มลงไปอุ้มขึ้นมาและบ่นเบาๆขึ้นมาพลัน “บุตรของผู้ใดกันช่างสะเพร่านัก เด็กอายุเพียงเท่านี้กลับปล่อยออกมาได้เพียงผู้เดียว “ ยามยกร่างของทารกขึ้นมาดูจึงพบว่ามีรอยเลือด จึงเร่งสั่งคนออกตรวจค้นรายรอบไปทั้งตรอกนั้น ก่อนที่จะพบว่าเหล่าสตรีและองครักษ์รวมถึงคนขับรถม้าตกตายอนาถนอนกันเกลื่อนไปทั่ว มือปราบจึงออกมาตรวจค้นไปรอบเมืองหลวงและสั่งปิดประตูเมืองก่อนจะพบร่างๆหนึ่งในตรอกนอนจมกองเลือดขาดใจตายลงไปแล้ว เช่นนี้เองมู่หานซือจึงรับภาระหนักอุ้มทารกไว้ในอกตนแทนผู้อื่นและเด็กก็มองนางดวงตาใส กอดรัดนางร่ำไห้ขึ้นมาในทันใด "หมู่ชิน หมู่ชิน!!! " "เฮ๊ย ข้ามิใช่แม่เจ้า ข้าเป็นบุรุษทั้งแท่ง!!! " อยู่ๆเด็กน้อยก็เรียกนางว่าท่านแม่และร่ำไห้อย่างรุนแรงนัก ผู้คนมองตามนางอย่างตั้งใจ ยามที่องครักษ์ของนางกลับมานั้น นางจะส่งเด็กให้ผู้อื่นอุ้มบ้างนางก็ทำมิได้ เด็กน้อยกอดนางจนแน่นและมิยอมปล่อยออกเลยแม้คราหนึ่งเช่นนี้นางจึงต้องนำเด็กน้อยนั้นไปที่จวนสกุลมู่ และให้นอนลงในห้องเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ในราตรีหนึ่ง ทั้งราตรีนั้นเด็กทารกทั้งถีบทั้งฉี่รดที่นอนของนางช่างน่าอนาถใจนัก นางเองก็เลี้ยงเด็กมิเป็นเสียด้วย ทั้งเด็กนี่ก็อ้วนจนอุ้มนานมิได้อีก ช่างน่าอนาถเสียจริงๆเลย ฮือๆ ฮือๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD