"โรงพยาบาลนี้เขาใช้กุหลาบมาจัดแจกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอลูก อุ๊ย! แต่ดอกสวย ๆ ทั้งนั้นเลยนะ หรือใครเอามาเยี่ยมเราตาพีท"
แพรวพิศกวาดสายตามองสำรวจรอบๆห้องก็ไปเจอแจกันที่บรรจุดอกกุหลาบร่วมสิบกว่าดอกแถมยังดูสดอยู่เลย
"ไม่ใช่ดอกไม้เยี่ยมผมหรอกครับแม่ ของพายเขาน่ะ เห็นบอกได้มาจากงานแต่งใช่มั้ย"
พิชญากรพยักหน้ายิ้มบาง ๆ ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ชุลมุนในห้องจัดเลี้ยงงานแต่งที่เธอโผล่เข้าไปได้จังหวะพอดี
"เหรอลูก แหม อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นล่ะ เอ ไม่ใช่ว่าลูกสาวแม่จะได้เนื้อคู่แล้วเหรอนี่ ฮึ"
คำพูดแซวหยอกเย้าลูกสาวคนสวยเรียกรอยยิ้มขำของคนเป็นลูก
"คุณแม่เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอคะ คือพายก็ไม่ใช่ว่าจะลบหลู่อะไรนะคะ แต่เห็นหลายคนเคยได้ไป จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้แต่งกันก็มี"
คำพูดของลูกสาวทำให้คนเป็นแม่ยิ้มบ้าง
"เรื่องพวกนี้มันไม่มีอะไรพิสูจน์ได้หรอกลูก บางทีมันก็อาจจะบังเอิญหรืออาจจะเป็นสิ่งนำพาในเรื่องคู่รักมาให้เราก็เป็นได้เหมือนกัน คนที่เขาได้ช่อดอกไม้งานแต่ง แล้วได้แต่งเป็นรายต่อไปมันก็มีให้เห็นเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ"
"มันก็จริงอย่างที่คุณแม่พูดนะครับ นี่ถ้าคุณหมอเป็นผู้ชายนะผมว่าหมอนี่ล่ะอาจเป็นเนื้อคู่ยัยพาย หึ ๆ นึกภาพตามตอนคุณหมอสโลโมชั่นมาคว้าช่อดอกไม้ที่จะหล่นใส่หัวน้องแล้ว อืม เหมือนฉากในละครเลย" ฮ่ะ ๆ โอ้ย!
คิก ๆ
"เจ็บแผลเหรอลูก"
พิชญากรขำพี่ชายที่เอามือกุมตรงแผล นี่ถ้าคุณหมออยู่ตรงนี้คงได้โดนดุแน่ ๆ
"แหะ ๆ หัวเราะแรงไปหน่อยกระเทือนถึงแผลเลยครับ"
แพรวพิศส่ายหน้าทั้งขำไปด้วย
และยังไม่ทันที่จะคุยอะไรต่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ก่อนที่คุณหมอที่เพิ่งถูกพูดถึงเมื่อสักครู่จะเดินเข้ามาในห้อง อายุยืนจริง ๆ เลยพูดถึงปุ๊บก็โผล่มาทันที
"สวัสดีค่ะ"
กนิษฐากล่าวทักทายทั้งสามคนที่อยู่ในห้องและก้มหัวเล็กน้อย ให้ผู้หญิงที่ดูมีอายุแต่ก็ยังดูดีไม่น้อย
"สวัสดีจ๊ะ อายุยืนจริง ๆ เลยคุณหมอ ยัยพายเพิ่งพูดถึงเรื่องที่คุณหมอช่วยรับช่อดอกไม้เมื่อคืนนี่เอง"
"อ๋อ พูดถึงนี่ ไม่ใช่นินทาใช่มั้ยคะ"
คำตอบยอกย้อนแกมรอยยิ้มเล็กที่ติดมุมปากทำให้ผู้สูงวัยหัวเราะด้วยความเอ็นดู เป็นหมอที่รูปร่างหน้าตาผิวพรรณดูดีไปหมด
"ใครจะไปนินทาคุณหมอละคะ ฉันเล่าให้คุณแม่ฟังว่าถ้าไม่ได้คุณหมอช่วยรับช่อกุหลาบนั่นหน้าฉันอาจจะรับแทนก็ได้ค่ะ เขาเรียกว่าชมลับหลังต่างหากค่ะ"
กนิษฐาปรายตามามองคุณนางร้ายคนสวยก่อนที่จะยกยิ้มบาง ๆ
"งั้นก็ขอบคุณที่ชมหมอลับหลังและต่อหน้าค่ะ อาการเป็นยังไงบ้างคะคุณพีรวัฒน์"
เมื่อเอ่ยเย้ากลับไปก็หันไปสอบถามคนไข้บ้าง
"ปวดแผลนิดหน่อยครับ ทานยาที่คุณหมอจัดให้แล้ว"
กนิษฐาพยักหน้าหยิบเอาบอร์ดชาร์ทคนไข้ขึ้นมาอ่านข้อมูลที่พยาบาลจดเอาไว้
"แล้วบริเวณหน้าอกยังเจ็บอยู่หรือเปล่าคะ"
"ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ เมื่อคืนก่อนนอนผมก็ทายาไปด้วย"
"งั้นขอหมอเปิดดูแผลหน่อยนะคะ"
กนิษฐาขยับเข้าไปยืนข้างเตียงแกะผ้าก๊อตที่พันศรีษะออกก่อนเช็คดูรอยแผลที่เย็บไปเมื่อคืน
"แผลไม่อักเสบมาก ยังไงก็เดี๋ยวให้พยาบาลล้างแผลให้อีกรอบนะคะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็คงกลับบ้านได้ ช่วงนี้อย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ ให้ผ่านไปสักสามสี่วันถ้าแผลเริ่มสมานกันแล้วจะสระผมก็ให้ระวังนิดนึง กินยาให้ครบตามที่หมอจัดให้ พอแผลเริ่มตกสะเก็ตถ้ากลัวเป็นแผลเป็นก็ เดี๋ยวหมอจัดยาลบรอยให้ไปด้วยก็ได้ค่ะ"
"ขอบคุณครับคุณหมอ กำลังว่าจะถามอยู่พอดีเลย"
กนิษฐายกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยเย้าออกไป
"หมอคิดว่าคุณก็คงห่วง กลัวไม่หล่อแหละค่ะ"
"เอ่อ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้ามันจะไม่เป็นรอยตะขาบอะนะ"
พีรวัฒน์ตอบกลับเขิน ๆ ให้ทุกคนพากันอมยิ้ม และก็ยิ่งขำเมื่อคุณหมอคนสวยตอบกลับมา
"แผลตะขาบคงไม่เป็นหรอกค่ะ แต่ถ้าแผลไส้เดือนแบบรอยยาวนูน ๆ น่ะไม่แน่"
คนไข้หนุ่มอ้าปากทำหน้าเหวอ จนอดขำไม่ได้
"หมอล้อเล่นค่ะ แผลแค่นี้ไม่ทิ้งรอยหรอกค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวหมอสั่งยาบางตัวเพิ่มให้ ไปรับยาแล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ"
"ขอบคุณครับ"
"ค่ะ ถ้างั้นหมอขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ"
เมื่อเสร็จหน้าที่คนเป็นหมอก็บอกลาทั้งคนไข้และอีกสองคนที่เอ่ยขอบคุณอีกรอบ กนิษฐาจึงเดินออกจากห้องไปปล่อยให้พยาบาลพิเศษรับหน้าที่จัดการทำความสะอาดแผลให้คนไข้ต่อจนเรียบร้อย
"พี่พยาบาลคะ รบกวนไปรับยาแทนได้มั้ยคะ ถ้าพายลงไปเองคงไม่สะดวกเท่าไหร"
"อ่อได้ค่ะ เดี๋ยวพี่ไปรับมาให้"
พยาบาลตอบรับอย่างเข้าใจ
"งั้นแม่โทรเรียกนายกลดเอารถมารับเลยนะ แล้วพายจะกลับไปบ้านก่อนหรือจะไปไหนต่อลูก"
"เดี๋ยวให้กระต๊อบมารับเลยดีกว่าค่ะจะได้ไม่ย้อนไปมาหลายรอบ"
พยาบาลหายไปไม่นานก็กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมถุงยา และบิลเอกสารค่าใช้จ่ายที่ผ่านการเคลมกับบริษัทประกันไปเรียบร้อย
"เรียบร้อยแล้วนะคะ หายไว ๆ นะคะคุณพีรวัฒน์ ว่าแต่อาหารเมื่อเช้ารสชาติเป็นไงบ้างคะ ถ้าไม่อร่อยดิฉันจะได้ไปติชมทางแม่ครัวให้ค่ะ"
"โอ้ อร่อย ๆ ครับ ถ้ากับข้าวโรงพยาบาลอร่อยแบบนี้ทุกมื้อคนไข้คงเจริญอาหาร หายป่วยแข็งแรงกันถ้วนหน้าเลยครับ"
คุณพยาบาลหลุดขำกับคำชมที่เหมือนจะเว่อร์ไป ก่อนจะกล่าวขอตัวเพื่อไปทำหน้าที่ดูแลคนไข้อื่นต่อ
"เอ่อพี่คะ พายมีเรื่องรบกวนอีกอย่างค่ะ"
"คะ ว่าไงคะคุณพาย"
พิชญากรเดินไปหยิบเอาแจกันที่บรรจุดอกกุหลาบสีชมพูสวยมาถือไว้ก่อนจะยื่นให้คุณพยาบาลที่ทำหน้างง
"คือ พายรบกวนฝากเอาแจกันนี่ไปไว้ที่ห้องคุณหมอให้หน่อยค่ะ ถ้าเขาถามก็บอกว่าพายฝากดูแลต่อแล้วกัน"
"หืม ห้องหมอเกมส์น่ะเหรอคะ?"
พิชญากรขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินชื่อคุณหมอ ป้ายชื่อบนเสื้อกาวน์ไม่ใช่นี่นา
"หมอเกมส์ก็คุณหมอกนิษฐาที่มาตรวจเมื่อกี้นั่นละคะ ตกลงคุณพายจะให้พี่เอาดอกไม้นี่ไปไว้ที่ห้องทำงานคุณหมอใช่มั้ยคะ"
"ค่ะ ๆ รบกวนด้วยนะคะ"
พยาบาลวัยสามสิบกว่าถึงกับหลุดยิ้มออกมา
"ได้ค่ะเดี๋ยวพี่เอาไปตอนนี้เลย คุณหมอคงยิ้มทั้งวันนะคะมีสาวสวยฝากดอกไม้ให้ทั้งแจกันแบบนี้น่ะ"
คำพูดเย้าทั้งยังรอยยิ้มจากคุณพยาบาลก็ทำเอาคนที่ไม่ได้คิดอะไรถึงกับใบหน้าขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาซะอย่างนั้น
"ก็จริง ๆ มันควรจะเป็นของคุณหมอต่างหากค่ะ ถือว่าพายเอามาดูแลแล้วเมื่อคืน เพราะงั้นก็ฝากให้เค้าดูแลต่อจนมันเหี่ยวค่อยทิ้งละกันค่ะเสียดายยังสด ๆ อยู่เลย"
"โอเคค่ะ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณลายเซ็นต์เมื่อคืนด้วยค่ะ นาน ๆพี่จะมีโอกาสเจอดาราใกล้ชิดแบบนี้"
"ด้วยความยินดีค่ะ"
ใบหน้าสวยโปรยยิ้มหวานให้จนคนมองต้องยิ้มตาม
กนิษฐาเสร็จภารกิจจากการสอนนักศึกษาแพทย์ก็กลับลงมาที่ห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเปิดห้องเข้าไปความผิดปกติแรกคือกลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่จมูกสัมผัสได้ทันที ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับแจกันดอกกุหลาบสีชมพูที่วางอยู่ชั้นหลังโต๊ะทำงาน คิ้วสวยขมวดมุ่นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจว่าแจกันนี้มาอยู่ในห้องเธอได้ยังไง ถ้าจำไม่ผิดเธอว่ามันอยู่ที่ห้องคนไข้เมื่อเช้านะ ไม่ต้องรอถามใครสายตาก็เจอเข้ากับโพสอิทสีครีมใบเล็กแปะที่กระจกโต๊ะ
"มีสาวฝากดอกไม้มาให้คุณหมอทั้งแจกันเลยค่ะ เธอกำชับว่า ถ้าดอกไม้ไม่เหี่ยวห้ามทิ้งนะคะ"
ลงชื่อผู้รับฝากส่ง พว.กุลนารี
เรียวปากเผยยิ้มออกมาตั้งแต่คำว่า ไม่เหี่ยวห้ามทิ้งนั่นแล้ว ไม่ต้องบอกชื่อก็รู้ทันทีว่าสาวที่พี่พยาบาลหมายถึงน่ะคือใคร ช่างแอบเอาแต่ใจจริง ๆ นะคุณนางร้าย คุณหมอคิดในใจพลางยิ้มขำเมื่อนึกถึงคนที่ฝากดอกไม้มาให้ นั่งลงเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ยังไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้น กนิษฐายกหูรับสายก่อนจะยิ้มบางออกมาเมื่อรู้ว่าใครที่โทรเข้ามา
"พี่หมอ ว่างแล้วใช่มั้ยคะไปทานข้าวกับแก้มนะวันนี้"
"มีตาทิพย์หรือเปล่าคะ พี่เพิ่งลงมาจากห้องสอนนักเรียนแพทย์เมื่อกี้เอง"
อดเย้าญาติผู้น้องไม่ได้ และก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาตามสาย
"ก็แก้มมีตารางของพี่เกมส์ในมือนี่คะ ถ้าไม่ติดเคสผ่าตัดฉุกเฉินแก้มก็ต้องรู้เวลาอยู่แล้ว ตกลงไปทานกลางวันกันนะคะ แก้มพักเวลาเที่ยงสี่สิบค่ะ"
"จ้า เจอกันหน้าตึกนะคะ"
วางสายจากน้องก็เหลือบมองเวลา ตอนนี้เพิ่งเที่ยงยี่สิบนาที แมคบุ๊คเครื่องบางถูกยกออกมาเปิดใช้งานในช่วงที่รอเวลาพัก กนิษฐาเปิดเข้าเช็คอีเมลล์ก่อนเป็นอย่างแรก ในจำนวนหลายเมลที่ส่งมาส่วนมากก็เป็นบรรดาเพื่อนหมอชาวต่างชาติที่เคยร่วมงานโครงการในต่างประเทศด้วยกันนั่นแหละ การได้ไปอยู่จุดนั้นไม่ใช่ได้กลับมาแค่ความรู้แต่เธอยังได้เพื่อนอาชีพเดียวกันเพิ่มมาหลายคนโดยเฉพาะแพทย์สาวรุ่นน้องที่ได้รู้จักกันในต่างแดนแบบบังเอิญ
เจ้าช่อฟ้า อินทรรังสิมันต์ หญิงสาวที่มีเชื้อสายจากเจ้าเมืองทางเหนือ แต่เจ้าตัวแทบไม่อยากให้ใครรู้ยศฐาตรงนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง กนิษฐาไล่ตอบเมลเพื่อนคนอื่นไปจนเหลือเพียงเมลของเจ้าช่อ ที่ขาดการติดต่อไปเกือบสองเดือน
"ฮัลโหล พี่หมอ มารายงานตัวนะคะว่าช่อยังมีลมหายใจอยู่ค่ะ ที่หายไปเพราะมีภารกิจทั้งงานบ้านงานเมืองและงานหมอค่ะ เฮ้อ ขอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆ ใส่พี่หมอคนสวยหน่อยนะคะ"
อ่านถึงตรงนี้กนิษฐาก็หลุดยิ้มขำนึกถึงใบหน้าสวยของคนที่ถอนหายใจส่งมาเป็นข้อความ ก่อนจะไล่อ่านข้อความที่เขียนมาค่อนข้างยาวพอสมควรในครั้งนี้
"พี่หมอคงสบายดีนะคะ แต่ก็น่าจะสบายกว่าช่อแหละ นี่เพิ่งออกมาจากป่านะคะ แถมไม่ใช่ป่าธรรมดาด้วย และถ้าไม่ใช่พี่หมอเกมส์นะช่อไม่เล่านะคะมันเป็นความลับของเมืองเลยนะเนี่ย จุ๊ ๆ คือที่อยากเล่าให้ฟังเพราะมันทั้งแปลกและน่าพิศวงมากถึงมากที่สุดเลยค่ะ ช่อไม่เคยคิดมาก่อนว่าในเขตบ้านเมืองตัวเองจะมีสิ่งลึกลับแบบนี้อยู่ คืออย่างนี้ค่ะพี่หมอ
เมื่อเดือนที่แล้วช่อได้เข้าไปในเขตป่าลึกเพราะอยากจะพิสูจน์สิ่งที่อ่านเจอในตำราประจำเมือง ว่ามีต้นยาสูบที่มีลำต้นสูงใหญ่เทียบเท่าต้นยางนา และใบยาสูบนี้ก็ใหญ่กว่าใบสักอีกค่ะ และที่ทำให้ช่อต้องถ่อสังขารไปพิสูจน์ก็เพราะในตำราหลวงเล่าว่า ต้นยาใหญ่นี่มีสรรพคุณทางยา ตั้งแต่ส่วนราก ลำต้น ใบ แม้แต่ส่วนเปลือกก็ยังมีสรรพคุณทางยาสามารถเอามาต้มกินให้คนมีกำลังวังชา และยังเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย เห็นมั้ยคะ สรรพคุณล่อใจขนาดนี้จะไม่ให้ช่อเข้าไปเสาะแสวงหาได้ยังไง แต่กว่าจะเข้าไปถึงที่แห่งนั้นได้ ก็เจอเรื่องราวมากมายจนแทบจะไม่อยากไปต่อเลยค่ะ
พี่หมอเชื่อเรื่องป่าบังบด หรือคำว่าผีบังตามั้ย ถ้าช่อไม่ได้ไปเจอด้วยตัวเองก็ไม่มีทางเชื่อแน่ ๆ ค่ะ เราหลงทางวกไปวนมาอยู่ที่เดิมเป็นเวลากว่าสามวัน ดีที่ว่าพรานนำทางเขาพอจะมีความรู้เรื่องมนต์ตราพระเวทย์อยู่บ้าง เขาเลยทำพิธี แกเรียกพิธีเปิดม่านป่าหรือสิ่งพรางตานั่นแหละค่ะ ตอนแกทำพิธีนะพี่หมอ ทั้งเสียงลมทั้งฝนเทกระหน่ำลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยตกหนักยิ่งกว่าพายุเข้า แต่พอเสร็จพิธีกรรมแค่นั้นท้องฟ้าสว่างโล่งเหมือนกับว่าไม่เคยมีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นเลย
พูดแล้วยังขนลุกเลยค่ะ ตอนนั้นเสียงลมนี่ยังกับเสียงร้องโหยหวนของปีศาจหวีดหวิวมาก ๆ หลังจากทำพิธีเสร็จพวกเราก็เอาแผนที่มากางดูอีกรอบก่อนจะเริ่มออกเดินทางใหม่อีกครั้ง และคราวนี้เราหลุดจากความวกวนของป่าไปได้ค่ะ ใช้เวลาเดินทางเข้าวันที่สองพวกเราก็ได้เจอกับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีตามในตำราอายุเกือบสามร้อยปีได้กล่าวบอกไว้ ต้นยาใหญ่ขนาดสองคนโอบถึงจะรอบ ความสูงก็คงเกินตึกสามชั้นนะคะ แต่ที่ช่ออึ้งมาก ๆ ก็คือ จำนวนต้นที่มีอยู่19 ต้นเท่ากับในตำราเป๊ะเลย และมากกว่านั้นต้นยาเหล่านี้ยังขึ้นล้อมกันเป็นวงกลมสองชั้น ชั้นล่ะเก้าต้น มีต้นใหญ่สุดอยู่ตรงกลางยังกับมีคนมาปลูกเอาไว้เลย พูดแล้วอยากให้พี่หมอได้มาเห็นจริง ๆ เลยค่ะ
พวกเราเดินทางไปทั้งหมดสิบสามคน มีช่อ หมอรุ่นน้องผู้ชายหนึ่งคน พรานนำทาง แล้วก็ทหารอีกสิบนายค่ะ ใช้เวลาอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน ได้น้ำยามาประมาณห้าลิตร แล้วเราก็ถากเอาเปลือกมาบางส่วน และตามตำราบอกว่าใบยาให้เก็บออกมาได้เฉพาะใบที่หล่นร่วงลงมาเอง ถ้าเก็บใบที่ยังไม่หล่นต่อให้นำออกไปได้ก็จะกลายเป็นใบไม้อย่างอื่นไปค่ะ คืออันนี้ช่อไม่กล้าพิสูจน์นะ เพราะลุงพรานแกเล่าให้ฟังแล้วรู้สึกกลัว ก็เลยพากันเก็บเอาเฉพาะใบที่หล่นมาก็ได้เยอะอยู่
ที่จริงอยากเล่าอะไรมากกว่านี้ แต่รอให้พี่หมอมีเวลาว่างแล้วมาเที่ยวหาช่อดีกว่า มีเรื่องเล่าให้ฟังเยอะกว่านี้อีกค่ะ ตอนนี้ช่อกับทีมหมอกำลังทดลองวิจัยสรรพคุณของยาอยู่ ถ้าเอาไปทดลองใช้ได้ผลยังไงจะมาอัพเดตให้ฟังนะคะ ขอจบแค่นี้ก่อน ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งหลายเรื่องอาจจะไม่ได้ติดต่อมาบ่อย แต่คิดถึงพี่สาวนะคะดูแลสุขภาพด้วย
(หมอช่อฟ้า)
กนิษฐาอมยิ้มบาง ๆ เมื่ออ่านข้อความยาวเหยียดจบลง แม้จะได้รู้จักกันแค่ปีกว่า ๆ ในต่างแดน แต่ก็แปลกที่เราสองคนรู้สึกสนิทคุ้นเคยกันมากอย่างกับว่ารู้จักกันมาเนิ่นนาน ตอนนั้นเจ้าช่อฟ้าไปเรียนต่อเฉพาะทางเกี่ยวกับด้านหัวใจและสมองเหมือนเธอนี่แหละ ก็บังเอิญเลยได้เจอกันที่ร้านอาหารไทย ทีแรกก็นึกว่าเป็นคนไทยแต่ไป ๆ มา ๆกลับไม่ใช่ เพียงแต่ต้นตระกูลเคยอาศัยในประเทศไทยทางตอนเหนือมาก่อน
ยิ่งประวัติเมืองที่แปลกทั้งชื่อ แถมยังอยู่ในจุดที่ไม่ได้มีในแผนที่โลกก็ยิ่งทำให้เธอสนใจเรื่องราวของหมอรุ่นน้องมากเป็นพิเศษ Fog city หรือเมือง หมอกเมฆา เจ้าช่อฟ้าเล่าให้ฟังว่าเมืองจะมีไอหมอกปกคลุมตลอดทั้งปีและมีอากาศเย็นตลอดปีเช่นกัน เคยคิดว่าจะหาโอกาสไปเที่ยวอยู่เหมือนกันอย่างน้อยก็ไปเพื่อเรียนรู้เรื่องการแพทย์นี่แหละ
คิดอะไรเพลินไปจนเสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้นมา
ตายล่ะ เลยเวลานัดมาจะสิบนาทีแล้วเหรอเนี่ย
"โทษทีแก้ม พอดีอ่านเมลเพลินไปหน่อยเดี๋ยวพี่ออกไปจ๊ะ"
กวิสราอมยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นพี่สาวเดินเร็วรี่ออกมา
"แก้มนึกว่าพี่มีเคสด่วนซะอีกค่ะ"
"เปล่า ๆ พอดีเพื่อนหมอส่งเมลมาเล่าอะไรแปลก ๆ ให้ฟังก็เลยอ่านเพลินเลย แล้วจะไปกินร้านไหนคะ"
สองคุณหมอที่เป็นญาติกันเดินไปยังลานจอดรถก็คุยกันไปด้วย
"ไปร้านกินลมร่มรื่นดีมั้ยคะ เวลานี้ลูกค้าก็น่าจะบางตาแล้วนะ"
กวิสราเอ่ยถึงร้านที่ว่าก็คือร้านประจำอีกร้าน ที่ปัณสิตาเป็นคนพาไปรู้จักนั่นแหละ จากนั้นพวกเธอและบรรดาหมอพยาบาลก็ไปกินกันบ่อย ๆ
"อืม ก็ดีค่ะ แล้วหมอนินล่ะ หรือว่าสลับเวลาพักกัน"
กวิสราอมยิ้มเมื่อนึกถึงหมอรุ่นน้องในแผนกเดียวกัน
"นั่งรถไฟฟ้าไปหากินแถวแบ้งค์โน่นค่ะ"
"หืม ขนาดนั้นเลยเหรอคะ ลงทุนขนาดนี้ตกลงยังไงกัน กลางวันหมอนินไปหา ตกเย็นคุณศิมาหาหมอ สรุปคือเพื่อนแบบไหนคะ"
สองพี่น้องหัวเราะขำเบา ๆ จะว่าแอบนินทาน้องก็ได้ แต่ก็แอบเชียร์อยู่นั่นล่ะ
"แก้มว่าคงจะรักเพื่อนมากกว่าเพื่อนรักนะคะ ขนาดหมอฟ้ายังแซวเลย"