ชั้นจอดรถค่อนข้างกว้างพอสมควร มีรถจอดอยู่ไม่มาก และเหมือนแต่ล่ะล็อคนั้นจะถูกระบุทะเบียนรถเอาไว้ด้วย สงสัยจะเป็นชั้นจอดของผู้บริหารหรือเปล่านะ พิชญากรขับตรงมาไม่ไกลก็มองเห็นกรวยสีส้มตั้งเอาไว้ และรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น น่าจะเป็นรถของทีมงาน เมื่อขับเลยมาถึงได้เห็นว่ามีกระบะอีกสองคันที่คุ้นตาเป็นรถของพี่ตากล้องนั่นเอง
เมื่อจอดรถเรียบร้อยมองดูเวลาตอนนี้เพิ่งแปดโมงยี่สิบ ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกชั่วโมงกว่า อืม ปัญหาคือเธอจะหอบของที่อยู่หลังรถขึ้นไปยังไงคนเดียว นิ้วเรียวเคาะพวงมาลัยพลางใช้ความคิดไปด้วย หนังสือน่ะไม่เป็นไรหรอกไว้ค่อยมาเอาแต่ของกินที่แม่เธอฝากมาให้คุณหมอด้วยนั่นล่ะเธอกลัวแซนวิชมันจะเสียหากไม่นำไปด้วย
ที่คิดอยู่นี่ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นภาระอะไรกับเธอนักหรอก แต่การที่ต้องหิ้วของกินไปฝากหมอนั่นแหละที่ทำให้เธอคิดหนัก หื้อ หมอชอบผู้หญิง นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็อดเขินไม่ได้จริง ๆ แล้วยิ่งต้องมาเจอกันแบบนี้เธอทำตัวไม่ค่อยถูก บ้าจังเลย ทำไมต้องอายด้วยก็ไม่รู้ ใบหน้าสวยก้มลงฟุบกับพวงมาลัยรถโดยที่ไม่รู้เลยว่าใครอีกคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความหนักใจ ตอนนี้กำลังถอยรถเข้าที่จอดประจำและมันก็อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามกันนี่เอง
กนิษฐาดับเครื่องยนต์เสร็จสายตาก็ไม่ลืมมองไปยังฝั่งตรงข้าม เธอพอจะรู้ว่าจุดนั้นถูกกันไว้เป็นที่จอดรถสำหรับกองถ่าย และวันนี้เธอเองก็ต้องกลายเป็นดาราจำเป็นเข้าร่วมฉากด้วย จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นหรือกังวลก็คงไม่ใช่ เพราะในชีวิตก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาอยู่หน้ากล้อง แม้จะเป็นเพียงไม่กี่นาทีก็เถอะ
'ว่าแต่ทำไมรถคันนั้นเหมือนมีคนอยู่ แต่จะเป็นดาราหรือทีมงานล่ะ'
คุณหมอครุ่นคิดพลางสายตาก็มองไปที่รถเก๋งสีขาวยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งจอดติดเครื่องยนต์อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เพียงไม่นานประตูรถยนต์คันดังกล่าวก็ถูกเปิดออกมาพร้อมหญิงสาวคนหนึ่ง
"พิชญากรเองเหรอ?" คุณหมอพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะคว้าเอาสัมภาระส่วนตัวแล้วลงจากรถ
เสียงรองเท้าดังกระทบพื้นให้ได้ยินเป็นจังหวะเข้ามาใกล้ เรียกให้คนที่กำลังจะเดินไปเปิดท้ายรถต้องหันมามอง แค่เพียงเห็นว่าเป็นใครพิชญากรถึงกับนิ่งอึ้ง ด้วยความประหลาดใจ
"สวัสดีค่ะ หมอก็นึกว่าใครมาจอดรถหลับตรงนี้"
ดาราสาวกลอกตามองบนเล็กน้อย 'อืม คำทักทายของคุณหมอพอจะทำให้เธอคลายอาการทำตัวไม่ถูกเมื่อสักครู่หายวับไปเลยล่ะ'
"สวัสดีค่ะ คุณหมอ"
พิชญากรเอ่ยทักคนที่เดินมายืนยิ้มอยู่ไม่ไกล
"หมอจอดรถชั้นนี้เหรอคะ"
เมื่อนึกขึ้นได้เธอจึงเอ่ยถามขึ้นมา และเมื่ออีกคนพยักหน้าเท่านั้นแหละรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาอย่างนึกดีใจ
"โชคดีมากเลยค่ะ งั้นเชิญคุณหมอมารับของฝากที่ท้ายรถหน่อยได้มั้ยคะ"
"ของฝากของหมอนี่นะ?" กนิษฐาทำสีหน้างงไม่แน่ใจ
"ใช่ค่ะ คือคุณปู่ท่านฝากให้เอาหนังสือมาให้เพราะรู้ว่าฉันจะมาถ่ายละครที่นี่"
"อ๋อ ขอบคุณนะคะที่เป็นธุระให้ ไหนคะ หมอจะได้เอาไปไว้ที่รถเลย"
กนิษฐาเดินตามมาหยุดท้ายรถมองดูสิ่งที่อยู่ภายใน พิชญากรหันมามองหน้าคนที่มายืนอยู่ข้างๆ
"คือ ไม่ได้มีหนังสืออย่างเดียวนะคะ แต่คุณแม่ท่านฝากของกินมาให้คุณหมอด้วย"
"หืม"
กนิษฐายิ่งทำหน้าฉงนเข้าไปอีก แต่พอถุงใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เธอจับมันมาเปิดดูได้เห็นสิ่งของในนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้
"เอ่อ คือคุณแม่ฝากแทนคำขอบคุณค่ะ นี่ก็ให้ขนมาเผื่อทั้งหมอพยาบาลกระปุกใหญ่เลย คุณหมอมาก็ดีแล้วฉันจะได้มีคนช่วยถือไปด้วย"
กนิษฐาฟังแล้วก็หลุดยิ้มออกมา นี่เธอก็มาได้จังหวะจริง ๆ เน๊าะ
"ฝากขอบคุณทั้งคุณแม่และก็คุณปู่คุณด้วยนะคะ"
"ค่ะ นี่ค่ะหนังสือ"
ถุงอีกใบถูกชี้ให้ดู กนิษฐาจึงเอื้อมไปหยิบก็เห็นว่ามันหนักนิดหน่อย
"ฝากนี่ไว้ก่อนค่ะ เดี๋ยวขอเอาหนังสือไปไว้ที่รถก่อน"
พิชญากรมองดูคนที่ยกถุงหนังสือแล้วเดินไปยังรถคันหนึ่ง และนั่นถึงได้รู้ว่าคุณหมอจอดรถไว้ตรงไหน "บังเอิญ" แวบหนึ่งคำนี้ผุดขึ้นมาในความคิด เป็นเรื่องบังเอิญที่เจ้าหน้าที่จัดให้พวกเธอมาจอดรถไว้ชั้นนี้น่ะสิ กนิษฐาเดินกลับมาอีกครั้งพิชญากรจึงยื่นถุงใบเล็กที่บรรจุของฝากส่วนตัวของหมอคืนให้
"คุณถืออันนั้นแล้วกันค่ะ เดี๋ยวหมอช่วยถือพวกนี้เอง"
กนิษฐาชี้ไปยังสองถุงใหญ่ที่มีโหลขนมบรรจุอยู่ในนั้น
"มันหนักนะคะ แบ่งกันถือคนละถุงค่ะ"
"หนักที่ไหนกันคะ แค่นี้เอง ไปเถอะค่ะหมอยังไม่ได้ทานมื้อเช้าเลยนะ"
กนิษฐาคว้าเอาสองถุงออกมาถือยกชูขึ้นให้ดูว่ามันไม่ได้หนักเกินกำลังเธอสักนิด
"ปกติคุณหมอไม่ได้ทานมาจากบ้านเหรอคะ?"
พิชญากรเอ่ยถามด้วยความคาใจ เมื่ออีกฝ่ายบอกว่ายังไม่ได้ทานมื้อเช้า นึกถึงคำพูดมารดาก่อนออกจากบ้าน ว่าเผื่อคุณหมอยุ่งมากจะได้มีอะไรกินรองท้อง และก็เหมือนว่าอาหารของแม่เธอจะถูกจัดมาถูกเวลาซะด้วย
"เมื่อเช้ารีบออกมาก็เลยยังไม่ได้กินค่ะ รู้สึกอยากขอบคุณคุณแม่ของคุณมากเลยที่ทำมื้อเช้ามาให้แบบนี้ ยังกับมีตาทิพย์"
กนิษฐาพูดออกมายิ้ม ๆ มองหน้าคนที่เดินเคียงกันเข้าไปในตึก ให้ฝ่ายที่กลายเป็นคนส่งอาหารเช้าหลุดยิ้มออกมาเช่นกัน ระหว่างทางยังไม่เจอใครนอกจากมีเธอสองคนที่มุ่งหน้าไปยังลิฟต์
"วันนี้หมอต้องเข้าฉากด้วยนี่คะ"
"นั่นละค่ะสาเหตุที่ต้องรีบมา"
พิชญากรอมยิ้มเมื่อได้ฟัง นี่คุณหมอหมายถึงว่าตื่นเต้นหรือเปล่านะ
"ตื่นเต้นหรือเปล่าคะ"
กนิษฐาหันมองเจ้าของคำถามก็เผยยิ้มเล็ก ๆ
"ก็ นิดหน่อยค่ะ แค่กังวลว่าจะต้องทำตัวยังไงเท่านั้น ว่าแต่คุณมีอะไรแนะนำหมอมั้ยล่ะ"
คำถามกึ่งคำขอความช่วยเหลือในความหมายนั้นทำให้พิชญากรอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก็ไม่แปลกหรอกหากคุณหมอจะมีความกังวลบ้าง
"ได้ค่ะ ว่าแต่คุณหมอรู้หรือยังคะว่าฉากที่จะถ่ายต้องทำอะไรบ้าง แล้วบทที่ต้องพูดมีอะไรบ้าง"
"ค่ะ คำพูดทีมงานผู้จัดเขาส่งมาให้แล้วล่ะ"
บทพูดที่ว่านั้นก็คือการพูดถึงอาการป่วยของคนไข้ ซึ่งเธอก็อ่านวนอยู่หลายรอบ แม้จะเป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้วแต่การพูดในฉากที่ว่าก็ต้องเรียบเรียงประโยคนิดหน่อย กนิษฐาเองก็คิดว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรความกังวลใจเล็ก ๆ ก็คงจะอยู่กับว่ามีกล้องที่ถ่ายเธออยู่มากกว่า
เมื่อพากันเข้ามาภายในลิฟต์ที่ยังไร้บุคคลอื่น
"หมอไปชั้นไหนคะ?"
"ชั้นสี่ค่ะ"
"อ้าว ก็ชั้นเดียวกันนี่คะ"
พิชญากรสงสัย ก็ชั้นการทำงานที่ได้ขอไว้จากทางโรงพยาบาลนั้นคือชั้นสี่นี่นา
กนิษฐาเพียงแค่เผยยิ้มบาง ๆ ชั้นนั้นมันเป็นห้องทำงานของเธอและหมออาวุโสหลายท่าน จะเรียกว่าเป็นชั้นสำหรับห้องพักแพทย์และพยาบาลบางส่วนเลยก็ว่าได้ เพราะวันไหนที่ต้องขึ้นเวรดึกทุกคนก็มีห้องนอนในตัวภายในห้องทำงานนั่นล่ะ นอกจากห้องทำงานของแพทย์ก็จะมีห้องประชุมอีกสามห้อง และที่รู้มาคือ ได้จัดห้องเหล่านั้นให้กับทางกองถ่ายละครนี่แหละ
"ปกติชั้นนี้มีห้องแพนทรี่ด้วยหรือเปล่าคะ"
"มีค่ะ จะมาใช้ด้วยกันก็ได้นะคะ"
"คงไม่ดีมั้งคะ อีกอย่างแค่ลำพังมาใช้สถานที่ฟรีนี่ก็เกรงใจมากแล้ว"
กนิษฐาหลุดยิ้มออกมากับคำพูดนั้น นี่พิชญากรเป็นดาราหรือเป็นผู้จัดละครถึงได้คิดแบบนี้
"หมอรู้มาว่าทางผู้จัดละครเขาจะช่วยบริจาคเงินเข้ามูลนิธิของโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอคะ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ค่ะ ทางผอ.ท่านก็สั่งไว้แล้วว่ามีอะไรขาดเหลือก็สามารถแจ้งมาได้"
ที่พูดแบบนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอก แต่อธิวัฒน์เจ้าของโรงพยาบาลก็ดันฝากเรื่องผ่านเธอมานี่แหละ ร่วมเข้าฉากไม่พอยังต้องรับดูแลไปด้วยเพราะเธอก็ดันมีห้องทำงานอยู่ชั้นนี้น่ะสิ อ้อ มีหมอนนทวัชร์อีกคน นอกนั้นจะเป็นคุณหมออาวุโสหลายท่านจะให้พวกท่านเหล่านั้นมารับหน้าที่ตรงนี้ก็คงไม่เหมาะอยู่แล้ว
"ถ้างั้นแวะไปที่ห้องแพนทรี่ของหมอก่อนก็ได้ค่ะ จะได้เอาคุ้กกี้นี่ไปเก็บด้วย อีกอย่างคุณหมอจะได้ทานมื้อเช้า เดี๋ยวไม่มีแรงเข้าฉากนะคะ"
"แค่พูดไม่กี่ประโยคต้องใช้แรงงานขนาดนั้นเลยเหรอคุณ"
พิชญากรหัวเราะขำทันทีกับคำพูดของคุณหมอ เธอแค่แซวเล่นเอง
"ฉันหมายถึงแรงใจหรอกค่ะ ไม่ใช่แรงกายซะหน่อย"
"เหรอคะ ถ้างั้นหมอน่าจะมีพลังใจมากแหละค่ะวันนี้ เพราะคุณอุตส่าห์หอบพลังงานมื้อเช้ามาให้ทานขนาดนี้น่ะ"
กนิษฐาเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม แต่คนที่ได้ยินนี่สิถึงกับขาตายหยุดเดินเอาดื้อ ๆ แล้วอาการใจเต้นแรงนี่คืออะไรรู้สึกร้อน ๆ ที่หน้าด้วย
"หืม หยุดทำไมคะ หรือจะแวะห้องหมอ"
"ห๊ะ! ห้องหมอ?" ให้ตายเถอะยัยพายหยุดตรงไหนไม่หยุด ดันมาหยุดตรงหน้าห้องคุณหมอนี่อีกโอ๊ย สายตาที่เหลือบมองเห็นชื่อตรงประตูห้องเล่นเอานางร้ายของเราอับอายขายหน้าเข้าไปอีก กนิษฐาพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ไม่อยากคิดหรอกนะว่าที่คุณนางร้ายทำหน้าเหรอหราเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกนี่เกิดจากคำพูดเธอเมื่อกี้ น่ารัก คำนี้คงเหมาะกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้
"ไป ห้องแพนทรี่ค่ะคุณหมอ"
"เดี๋ยวค่ะ ห้องแพนทรี่น่ะทางนี้"
กนิษฐาร้องเรียกคนที่กล่าวเสร็จก็จ้ำอ้าวไปทางเดินข้างหน้า ว่าจะไม่ขำแล้วนะแต่เธอก็อดไม่ไหวจริง ๆ ยิ่งพิชญากรหันกลับมาทำหน้าเหวอ แล้วอะไรทำไมถึงจะมาส่งค้อนให้กันด้วยล่ะ
"หมอน่ะ ไม่ต้องขำเลยนะคะ แล้วใครจะรู้ล่ะว่าห้องอะไรอยู่ทางไหน"
อาย อายมากด้วยตอนนี้ ไม่รู้จะมีอะไรทำให้พิชญากรปล่อยไก่หมดเล้าได้แบบนี้ ต้องโทษคุณหมอคนเดียวเลยที่ทำให้เธอเสียอาการ
"ไม่รู้แล้วจะรีบเดินไปทำไมละคะ ก็เดินข้างหมอนี่จะได้ไม่หลงทาง แต่ทางนั้นน่ะทางไปห้องน้ำค่ะเผื่อคุณอยากจะเข้าไปทำธุระ"
กนิษฐาเอ่ยออกมาทั้งยังมีรอยยิ้มแต้มใบหน้า เพิ่งรู้เวลาผู้หญิงสวยเผลอทำอะไรโก๊ะ ๆ นี่จะน่ารักได้ขนาดนี้ เรียวปากยังระบายรอยยิ้มมองตามคนที่เดินนำหน้าไปยังห้องแพนทรี่
พิชญากรเดินมาถึงห้องหนึ่งที่มีโต๊ะยาววางอยู่กับเก้าอี้สี่ห้าตัว ตั้งแต่เข้ามาในชั้นนี้เธอยังไม่เจอคนอื่นเลยนอกจากคุณหมอ
"ปกติหมอทำงานกันกี่โมงเหรอคะ"
"เก้าโมงค่ะ"
กนิษฐาตอบคำถามพลางยิ้มมองคนที่สอดส่ายตากวาดดูรอบห้องครัวประจำชั้นแห่งนี้ จะเรียกห้องครัวก็คงไม่ผิดเพราะเรื่องอาหารและเครื่องดื่มสารพัดจะมีอยู่ในห้องนี้
"คุณอยากดื่มอะไรมั้ยคะ ชา กาแฟ โกโก้ อ๋อ เหมือนจะมีนมสดแบบกล่องอยู่ในตู้เย็นด้วยนะถ้าคุณอยากดื่ม"
"มีโกโก้ด้วยเหรอคะ?"
"ค่ะ เอามั้ยเดี๋ยวหมอชงให้ โกโก้ผสมนมสด"
พิชญากรพยักหน้าให้เจ้าของพื้นที่
"ขอบคุณค่ะ"
แม้จะเอ่ยคำขอบคุณคนที่อาสาจะชงเครื่องดื่มให้แต่พิชญากรกลับเดินมายืนดูอย่างสนใจ ท่าทางจับโน่นหยิบนี่มาวางตรงเคาน์เตอร์ดูคล่องแคล่ว กนิษฐาหันมามองแวบเดียวก่อนจะกลับไปสนใจสิ่งของตรงหน้า แต่ริมฝีปากนั้นกลับกำลังมีรอยยิ้มเล็ก ๆ
"มีเครื่องปั่นนะคะถ้าคุณอยากได้แบบโกโก้เย็นน่ะ"
และนั่นทำให้นางร้ายคนสวยตาเป็นประกายด้วยความสนใจ
"ใช้ได้มั้ยคะหมอ"
"ค่ะ ทำเป็นหรือเปล่า"
"นี่อย่ามองกันแบบนั้นนะคะ หมอรู้มั้ยเมื่อก่อนฉันเคยคิดจะเปิดคาเฟ่พวกเมนูเครื่องดื่มด้วยล่ะ เพราะฉะนั้นฉันต้องทำของพวกนี้เป็นสิคะ"
กนิษฐาหันมามองทั้งตั้งใจฟังอย่างสนใจในสิ่งที่ได้ยิน และปล่อยคุณนางร้ายหยิบจับเอาเครื่องปั่นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ออกมาวางข้าง ๆ
"แล้วมีน้ำแข็งหรือเปล่าคะหมอ"
"น่าจะมีติดไว้นะคะเดี๋ยวหมอดูให้"
กนิษฐาเดินไปเปิดตู้เย็น และในช่องฟีชก็มีถุงน้ำแข็งหลอดอยู่ในนั้น
"นี่ค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ อืม แต่ ไม่มีน้ำเชื่อม"
พิชญากรพึมพำออกมาสายตาก็กวาดดูตามชั้นต่าง ๆ ที่มีของหลายอย่างทั้งที่ใส่ขวดโหลเอาไว้และในตะกร้าเล็ก ๆ แยกเป็นหมวดหมู่ สมกับเป็นห้องครัวในโรงพยาบาล
"มีน้ำผึ้ง ใช้แทนได้มั้ยล่ะ ปกติหมอก็ผสมแค่น้ำผึ้งนะ"
ใบหน้าสวยหันมาพยักหน้างึก ๆ ทันทีพร้อมรอยยิ้ม กนิษฐาเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเอาขวดน้ำผึ้งมายื่นให้
"หมอคะ ขอนมสดด้วยค่ะ"
คุณหมอกลับไปเปิดตู้เย็นอีกรอบหยิบนมสดชนิดกล่องมาส่งให้สองกล่อง
"หมออยากชิมฝีมือคุณบ้าง"
คำเฉลยออกมาเพียงแค่สาวเจ้าเลิกคิ้วสวยเป็นคำถาม เมื่อเห็นนมสองกล่อง
"หมอทานหวานหรือเปล่า"
"ไม่ค่ะ"
กนิษฐาบอกก่อนจะมองดูคนที่จัดการตักส่วนผสมลงในแก้ว ก่อนจะใช้น้ำร้อนคนทุกอย่างให้เข้ากันดี จากนั้นพิชญากรแบ่งน้ำแข็งลงเครื่องปั่นเทโก้โก้ที่ถูกผสมไว้แล้วลงไป ก่อนจะกดปั่นไม่นานโกโก้ปั่นด้วยฝีมือนางร้ายระดับแถวหน้าของเมืองไทยก็แล้วเสร็จ
"นี่ค่ะ"
กนิษฐายื่นแก้วยาวสำหรับใส่เครื่องดื่มมาให้
"รู้สึกว่าจะมีพร้อมเลยนะคะ ตกลงนี่ห้องแพนทรี่หรือร้านสะดวกซื้อคะ"
พิชญากรเอ่ยเย้าขึ้นมา แต่ก็ต้องสงบปากลงแทบไม่ทันเมื่อเจอคำนี้เข้า
"ถึงไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อ แต่หิวเมื่อไหร่ก็แวะได้นะคะ"
จึก นี่หมอหรือพนักงานเซเว่นคะ กำลัง ๆ จะเสียอาการอีกครั้งแต่ระฆังปริศนาดังขึ้นมาซะก่อน
"โอ๊ะ! หมอเกมส์ อ้าวคุณพาย โทษทีครับ นี่ผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับเนี่ย"
น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นมาด้านหลังทำให้สองสาวหันมามองก็เจอกับหมอนนทวัชร์กำลังมองมาด้วยสายตาล้อเลียน
"หมอนนท์ เพิ่งมาเหรอคะ โกโก้ปั่นมั้ยนี่คุณพายเธอปั่นเสร็จพอดี อ่อ พายนี่หมอนนทวัชร์ ห้องทำงานตรงข้ามกับหมอเอง"
"สวัสดีค่ะคุณหมอ"
พิชญากรยิ้มกล่าวทักทาย ผู้ชายหน้าตาดีที่ส่งยิ้มกลับมาให้เธอ
"ยินดีที่ได้เจอตัวจริงนะครับคุณพาย ว่าแต่กำลังซ้อมบทกับหมอเกมส์อยู่เหรอครับ"
"เปล่าค่ะ กำลังทำเครื่องดื่มทานกัน คุณหมอจะรับด้วยมั้ยคะ"
นนทวัชร์ฟังแล้วก็แอบยิ้มในใจแต่มันเผยออกมาทางปากกับแววตาอย่างปิดไม่มิด แล้วหมอเกมส์กับนางร้ายคนสวยไปสนิทกันตอนไหนถึงได้มาทำอะไรทานกันอย่างกับคู่รักในห้องนี้ จะว่าไปตั้งแต่งานแต่งของหมอแก้มถึงวันนี้ก็ผ่านไปเป็นปีแล้วนี่นา แล้วทำไมเขาไม่รู้ว่าสองคนนี้สนิทกัน
"ขอบคุณครับ แต่ผมขอกาแฟร้อนดีกว่า"
นนทวัชร์บอกพร้อมกับเดินมาหยิบแก้วกาแฟในชั้น มองหน้าคุณหมอสาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ส่วนพิชญากรกำลังสนใจเทโกโก้ปั่นใส่แก้ว
"ผมไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะหมอใช่มั้ย"
เสียบกระซิบเบาข้างหูทำให้กนิษฐาหลุดยิ้มออกมาด้วยความขำ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
"อ่ะ เสร็จแล้วค่ะ หมอไปทานมื้อเช้าได้แล้วนะ เก้าโมงแล้วค่ะ"
โอ๊ว มีสั่งให้ทานมื้อเช้าด้วยเฮ่ย นี่เราตกข่าวอะไรไปหรือเปล่าวะเนี่ย นนทวัชร์คนกาแฟไปทั้งคิดในใจ เหล่ตาดูหมอเกมส์ที่กลับไปนั่งลงที่โต๊ะใกล้ ๆ
"หมอนนท์ทานมื้อเช้าหรือยัง มาทานด้วยกันมั้ยคะ มีแซนวิชตั้งหลายชิ้นฉันกินไม่หมดหรอก อ้อ คุณแม่คุณพายท่านมีน้ำใจทำขนมคุ้กกี้มาให้โหลใหญ่ด้วยค่ะ หมอแบ่งไปไว้ทานที่ห้องทำงานได้นะ"
คำพูดของกนิษฐายิ่งทำให้หมอหนุ่มทั้งแปลกใจ สงสัยหนักขึ้นกว่าเดิม ต้องสนิทกันขนาดไหนแม่คุณดาราถึงฝากขนมมาให้แบบนี้ โอ้ว นนทวัชร์ตกข่าว เรื่องนี้หมอแก้มรู้หรือไม่เนี่ย