บทที่ 4

2161 Words
พรึบ พรับ! เสียงสะบัดผ้า ดังกึ่งก้องทั่วทั้งห้อง จนชายฉกรรจ์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ต้องเปิดเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนี้ “โผล่หัวมาก็ดีเลย ขอผงซักฟอกหน่อยได้ไหม พอดีว่าคราบเลือดมันซักน้ำเปล่าไม่ออก” หญิงสาวหน้าตาหมวยพูดพลางกางเนื้อผ้าให้ดู ว่ามีคราบเลือดเป็นดวงๆ อยู่บนเสื้อยืด “อีนังนี่ ทึกฉิบหายเลยว่ะ” ชายร่างใหญ่กำยำหันไปคุยกับเพื่อนหน้าประตูห้อง “ไหนๆ ก็ขอแล้วขอเสื้อผ้าเปลี่ยนด้วย ที่ใส่อยู่มันชื้น” “มายืนคุยอะไรกันตรงนี้วะ!?” เสียงน่าเกรงขามดังกังวาล ทำเอาลูกน้องหน้าประตูถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วรีบหลบทางให้หัวหน้าโรคจิตเดินเข้ามาในห้อง พอเขาเห็นว่าเธอยืนจังก้า ไม่ได้เจ็บปวดทรมานอย่างที่ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น สีหน้าก็เริ่มฉายแววหงุดหงิด ไม่พอใจ “จะปล่อยกี่โมงอะ?” “ยัยทึ่มนี่ กวนประสาทกันหรือไงวะ!?” “ไม่ได้กวน แต่พอดีว่าชีวิตไม่ได้มีแค่นี้” “หึ! งั้นลองนี่หน่อยเป็นไง เผื่อชีวิตจะมีอะไรเพิ่มขึ้น” หนุ่มหน้าตาดีในชุดสูท แต่สภาพเหมือนหมาเน่าตกบ่อเหล้ามาเป็นตัน เดินดิ่งเข้ามากระชากคอเสื้อคนตัวเล็กจนลอยวืด ทว่าสาวหมวยกับเอียงคอ ทำหน้านิ่งไม่สะทกสะท้าน “ยังจะมามองหน้าอีก!” “ไม่ถลึงตาใส่ก็บุญแล้ว” “นี่!” “อะไรเล่า!” เธอตวาดกลับ เพราะไม่ชอบให้ใครมาตะคอกใส่หน้า แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มีลายสักเต็มตัว แถมยังสูงเกือบสองเมตร แต่เธอก็ไม่กลัวเขาหรอกนะ ไอ้คนสมองกลวง คิดว่าพ่อของเธอจงใจฆ่าผู้หญิงที่เขารัก เพื่อเอาหัวใจมาให้ลูกสาว เหอะ! เขาคิดได้ยังไง พ่อของเธอไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด ถึงเธอจะโกรธพ่อ ที่ต่อชีวิตเฮงซวยนี่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้น เธอมั่นใจว่าพ่อของเธอไม่มีความคิดที่เลวระยำ หากเธอมีความสามารถมากพอ คงจะไปสืบค้นความเป็นจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเจ้าของหัวใจคนเก่า รวมไปถึงการตายของพ่อตนเอง ทว่าที่ผ่านมา เธอต้องหาเงินไปชดใช้หนี้สิน เลยไม่มีเวลาสืบค้นเรื่องคดีพวกนี้อย่างจริงจัง ผิดกับผู้ชายโรคจิตตรงหน้านี้ ที่เหมือนจะมีทุกอย่าง ทั้งความสามารถ และอิทธิพล แต่ดันไม่เอาสิ่งเหล่านี้ไปค้นหาความจริง กลับมาลงที่เธอด้วยการแก้แค้นแบบไร้สมอง คิดแล้วขำมากกว่าเห็นใจ ถึงเขาจะสูญเสียคนรักไป แต่เธอกลับดีใจ ที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องทนอยู่กับผู้ชายบ้าคนนี้ ผลัก! ด่าในใจยังไม่ทันเสร็จสรรพ ร่างเล็กก็ถูกจับเหวี่ยงไปกระแทกกับผนังปูน จนกระดูกลั่นกร๊อบ แม่งโคตรหน้าตัวเมีย “อะ ไอ้บ้าเอ๊ย!” หญิงสาวสบถเสียงโอดโอย ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นยืน “เป็นบ้าทำไมไม่ไปหาหมอ มาตบตีผู้หญิงทำไมวะ!” “ผู้หญิงเลว กูไม่นับ” พูดจบ ร่างสูงก็ตรงดิ่งเข้ามาจิกผมจากท้ายทอย แล้วลากตัวเธอไปที่ก๊อกเหล็กก่อนจะเปิดน้ำอัดดวงหน้าอ่อนเยาว์ “ยะ หยุดนะ ไอ้โรคจิต แค่ก แค่ก แค่ก!” เธอเริ่มสำลัก เพราะถูกน้ำอัดฉีดเข้าตา เข้าจมูก และเข้าปากจนหายใจไม่ทัน สองมือเล็กพยายามจิกเล็บห้านิ้วลงบนข้อแขนแกร่งกร้าน ที่ฝังแน่นไปด้วยเส้นเลือดปูดนูน จนเกิดเลือดซิบ ลากยาวลงมาถึงฝ่ามือหนาที่เต็มไปด้วยลายสัก “ปากเก่งนัก ก็เอาตัวรอดให้ได้สิวะ!” น้ำเสียงดุดันตะโกนใส่อย่างท้าทาย ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถสู้แรงของเขาได้ จึงเลิกสู้กลับแล้วทิ้งน้ำหนักตัวเหมือนคนหมดแรง นั่นเลยทำให้เขาคลายแรงกด แล้วปิดน้ำ แต่พอเธอเห็นจังหวะดีๆ จึงหันกลับไปกัดเข้าที่ข้อแขนแบบจมเขี้ยว แล้วจิกผมสีเทาควันบุหรี่ ให้เขาโน้มศีรษะลงมา ก่อนที่เธอจะย้ายจากกัดข้อแขนไปกัดใบหูของเขาแทน “อ้ากกก เป็นหมาหรือไงวะ!” “อึงอั๋นเอะอ๋า อายอ๋าอ๊าเอ๊ย!” [มึงนั่นแหละหมา ไอ้หมาบ้าเอ๊ย!] คนตัวเล็กกัดใบหูไม่ยอมปล่อย จนเริ่มรู้สึกถึงรสชาติคาวเลือดในโพรงปาก ส่วนพวกลูกน้องที่ได้ยินเสียงหัวหน้าแหกปากร้อนลั่น ก็รีบวิ่งกรู่กันเข้ามาช่วย โดยการจับเธอแยกออก ทว่าได้โอกาสทั้งที มีหรือที่เธอจะยอมปล่อย แค่เปลี่ยนจากกัดหู ย้ายไปกัดริมฝีปากล่างของเขาแทน เอาให้แหว่ง หึ! “เฮ้ย! นั่นเฮียกำลังมีฉากเลิฟซีนเหรอวะ!?” เสียงตะโกนถามดังขึ้นจากหน้าประตูห้องขัง “เลิฟซีนเหี้ยอะไร เฮียกำลังโดนกัดปากโว้ย!” ลูกน้องอีกคนตะโกนตอบ ขณะที่ภายในห้องขังเกิดความชุลมุนวุ่นวายกันยกใหญ่ เพราะเธอไม่ยอมปล่อยริมฝีปากหยักได้รูปให้เป็นอิสระ แถมยังออกแรงจิกผมให้ปากของเราแนบกันเอาไว้ เพื่อสลับกัดบนล่าง จนกว่าจะเสียเลือด “ยัยทึ่ม อือออ!” จังหวะที่อีกฝ่ายเปิดปากพูด และมีชายฉกรรจ์แรงช้างนับสิบ พยายามจะดึงร่างผอมบางออกไปนั้น เธอจึงสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากร้อนผ่าว เพื่อให้เขาใช้ลิ้นสากผลักดันเรียวลิ้นของเธอออกมา พอเขาเผลอใช้ลิ้น เธอเลยรีบงับเป็นตัวยึด “อือออ!” “เฮ้ย! อีนังนี่มันกัดลิ้นเฮีย” “เอ้า! แล้วจะทำยังไงดีวะ” “งั้นพวกเราตัดลิ้นเฮียเลยไหม!?” “ตัดลิ้นพ่อมึงก่อนดิ ไอ้พวกโง่เง่า!” “ละ แล้วจะช่วยไง เฮียหน้าแดงแล้ว!” “เออ ถ้าพวกเราออกไปจะปล่อยไหม?” เสียงนั้น เป็นเสียงของพี่เฉินที่พยายามจะช่วยหัวหน้า “อือ~” เธอพยักหน้าตอบกลับ เพราะอยากให้ทุกคนออกไป เพื่อที่จะได้คุยกับไอ้โรคจิตนี่ ว่าเธอกับพ่อของเธอไม่ได้ทำอะไรผิด ควรเลิกประสาทแดก แล้วปล่อยเธอกลับบ้านได้แล้ว “โอเค พวกมึงทุกตัวรีบไสหัวออกไปจากห้องนี้เลย!” พี่เฉินตะโกนไล่ทุกคนให้ออกไปข้างนอก รวมถึงตัวเขาเอง ที่ส่งสายตาให้เธอเบามือกับอีกฝ่าย เพราะยังไงผู้ชายคนนี้ ก็ยังเป็นหัวหน้าของเขา เลยไม่อยากให้เจ็บตัวจนเกินไป เมื่อภายในห้องเหลือเพียงแค่เราสองคน เธอจึงค่อยๆ ผ่อนแรงกัดลิ้นสาก แล้วปล่อยมือออกจากกลุ่มผมของชายโรคจิต ซึ่งเขาทำสีหน้าแปลกๆ แถมแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงซ่าน ไม่รู้ว่าโกรธมาก หรือว่าเม็ดสีผิว เกิดแปรปรวนกะทันหัน “เลิกบ้า ถ้าไม่อยากโดนแบบนี้อีก” “ยะ ยัย…” “มาคุยกันหน่อยไหม เรื่องที่เข้าใจผิด” “เข้าใจผิดอะไร?” “ยังมีหน้ามาถามอีก ก็คุณเข้าใจผิดเรื่องพ่อของฉันไม่ใช่หรือไง?” สรรพนามเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเธอรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องมาตบตีกับผู้ชายคนนี้ จึงอยากเคลียร์ให้มันจบ เธอจะได้กลับไปใช้ชีวิต อย่างที่มันควรจะเป็นเสียที “หึ! รู้ความเลวระยำของพ่อตัวเองแล้วสินะ” “เหอะ! ปากปีจอขนาดนี้ กัดอีกสักทีดีไหม?” “ก็ลองดู ถ้าไม่กลัวโดนข่มขืน” “อี๋!” “อย่ามาทำเป็นรังเกียจ กูรู้ว่ามึงเป็นอีนังร่านผู้ชาย” “นั่นปากหรือชักโครก ทำไมสิ่งที่พูดมีแต่ความโสมม” คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกโกรธ จนอยากตบปากสั่งสอนสักที ในหัวสมองต้องหยาบโลนขนาดไหนถึงคิดเรื่องนี้ได้ “หุบปาก แล้วฟัง” “ไม่ฟัง” ใบหน้าหล่อเหลาเบือนหนี ทำตัวเหมือนเด็กสามขวบ “ถ้าไม่ฟัง แม่จะปล้ำให้ดู” “ (0_0!) ” “จะฟังไหม?” “ (0_0!) ” “โอเค ถือว่าฟัง คืองี้ ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณไปตีความยังไงกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่รถที่ชนแฟนของคุณในวันนั้น มันไม่ใช่รถของพ่อฉัน พ่อฉันทำงานเป็นคนขับรถให้นาย ซึ่งรถคันนั้น ดันเป็นรถของลูกชายเขา ฉันเองก็มีความคิดนะ ว่าพ่ออาจจะยอมเป็นแพะรับบาป เพื่อแลกกับเงินที่จะนำมารักษาฉันหรือเปล่า แต่ฉันกลับไม่ได้คำตอบที่แท้จริงจากปากพ่อ นั่นเลยทำให้ฉันโกรธพ่อมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เรื่องหนึ่งที่ฉันมั่นใจ คือพ่อของฉันไม่มีทางฆ่าใคร เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนแน่นอน แต่เรื่องแพะรับบาป ถ้าคุณจะโกรธที่พ่อฉันทำให้คนร้ายลอยนวล ฉันก็เข้าใจนะ เพราะส่วนนั้น พ่อฉันผิดจริง” “พล่ามจบหรือยัง?” โทนเสียงกดต่ำถามกลับ แววตาคมกริบเปี่ยมล้นไปด้วยความแค้นเคือง จึงไม่ยอมเปิดใจรับฟังคำอธิบายของเธอ “ถ้าพล่ามจบแล้ว ก็ตายตามพ่อของมึงไปซะ” สิ้นสุดประโยคนั้น อีกฝ่ายก็ชันตัวลุกขึ้นยืน แล้วรีบ ย่างก้าวออกไปจากห้องด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง เรื่องความปากคอเราะร้าย บอกเลยว่าไอ้ปากปีจอนี่อยู่อันดับหนึ่ง เขานึกว่าตัวเองสูญเสียคนเดียวหรือไง เธอเองก็เสียพ่อไปเหมือนกันนะ แถมยังไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกต่างหาก แต่จะให้เธอไปทวงความเป็นธรรมจากคนพวกนั้น มันก็ยากเกินไป แต่ถ้ามีโอกาส เธออาจจะทำ แต่คงมีสติกว่าหมอนี่หลายพันเท่าและคงไม่เอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดแล้วก็หงุดหงิด เธอจะต้องทนอีกนานแค่ไหนเนี่ย!? ทางด้านเฮียทศ “เฮียครับ มีแขกมาขอ…” “บอกให้มันไสหัวกลับไป!” น้ำเสียงแข็งกร้าวตวาดใส่ลูกน้องคนสนิท แต่แล้วก็มีสัตว์นรกบางตัว เสนอหน้าเข้ามาทำให้อารมณ์หงุดหงิด พุ่งปรี๊ดยิ่งกว่าเดิม เจ้าตัวจึงไม่รอช้า เมื่อเห็นอริเก่ากล้าเข้ามาเหยียบถึงถิ่น เลยพุ่งตัวเข้าไปปล่อยหมัด เพื่อระบายอารมณ์ พรึบ! ทว่าหมัดหนัก กลับถูกหลบหลีกอย่างชำนาญ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนักมวย ที่มีชื่อเสียงในวงการมวยเถื่อน แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าของถิ่นยังคงไม่ยอมแพ้ รีบหันกลับมา หวังจะกระทืบอริเก่าให้จมตีน โดยที่ไม่ต้องให้เหล่าลูกน้องเข้ามารุม พรับ! “โธ่~ ฝีไม้ลายมือตกไปเยอะเลยนะเพื่อน ต่อยเตะยังไม่โดนแบบนี้ เป็นลูกชายของอดีตยากูซ่าได้ยังไงวะ?” เมื่อแรงสัมผัสไม่โดนตัว อริเก่าจึงแสยะยิ้มมุมปากอย่างเวทนา แล้วพูดเป็นการหยามฝีมือของคู่อริเก่า ที่ตกฮวบกว่าเมื่อก่อน “กล้ามาเหยียบถึงถิ่นกู แล้วยังจะมาพูดจาอวดดีอีกนะ ไอ้สัตว์นรก!” คำสรรพนามที่หยาบคาย มาจากชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ที่ยืนจ้องเขม็งอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง หากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เจือจางลงกว่านี้ตนมั่นใจว่าจะเอาชนะได้แน่นอน “สันดานหยาบคายเหมือนเดิมเลยนะมึงอะ หึ! แต่ไม่เป็นไร คนอย่างกูไม่ถืออยู่แล้ว เพราะวันนี้ที่กูมาเหยียบถึงถิ่นมึง กูไม่ได้อยากจะมาต่อยตีเหมือนเมื่อก่อน มึงก็เห็นแล้วหนิ ว่ากูเอาลูกน้องมาแค่สามคน ฉะนั้น เลิกทำตาขวางเหมือนผีเข้า แล้วฟังในสิ่งที่กูกำลังจะพูด เพราะกูมาถึงที่นี่ เพื่อเจรจา” “กูไม่เจรจาอะไรทั้งนั้น แต่กูจะเอาเลือดหัวมึงออก!” “เฮ้อ~ ไอ้เวรนี่มันหัวร้อนเหมือนหมาบ้าเลยเว้ย พวกมึงไม่เสนอหน้าต้องเข้ามานะ ไม่งั้นกูยิงไม่เลี้ยง” คู่อริหันไปชี้หน้าลูกน้องของอีกฝ่าย ที่ยืนห้อมล้อมกันสิบกว่าคน ก่อนจะตั้งรับหมัดที่พุ่งเข้ามาใส่หน้า แล้วปล่อยหมัดกลับคืนเต็มแรง ผลัวะ! “ไง~ เจ็บตัวแล้วทำให้มึงมีสติขึ้นมาบ้างหรือยัง?” น้ำเสียงยียวนกวนประสาทตั้งคำถาม ขณะที่ฝ่ายถูกสวนหมัด ยกหลังมือปาดเลือดบริเวณมุมปากด้วยความโกรธ “ถ้าหมัดแรกยังเรียกสติกลับมาไม่ได้ งั้นก็เข้ามาเลยไอ้หมาบ้า กูจะทำให้สติมึงกลับมาเอง” คู่อริยกมือกวักเรียกอย่างท้าทาย ด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว หากเป็นเมื่อก่อน คงเป็นการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ เพราะเจ้าถิ่นก็มีฝีมือในการต่อยตีไม่ต่างกัน ทว่าหกปีให้หลังมานี้ นอกจากแอลกอฮอล์เข้าเส้นก็ไม่ได้ฝึกทักษะต่อสู้ใดๆ อีกเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD