พ่อพร้อมเดินตามแพทย์โอสถออกมาด้านนอกห้อง พลางหันมองคนที่นั่งยิ้มน้อยๆ อยู่บนเตียงก่อนจะรีบหันกลับมองตรงไป เพราะรอยยิ้ม สายตา และสีหน้าราวกับกำลังทำเรื่องสนุกของหล่อน มีผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจเขา
“คุณหลวงครับ”
หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้งเมื่อแพทย์โอสถสูงวัยเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“ครับอาหมอ อาการของหล่อนเป็นอย่างไรบ้างครับ”
คุณหมอสูงวัยไม่ตอบในทันทีแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด ร่างท้วมเดินไปหยุดที่เก้าอี้ยาวริมระเบียงนั่งลงอย่างคนกำลังปะติดปะต่อเรื่องราว ราวคนไม่แน่ใจในคำตอบ
“อาการทั่วไปก็ปกติดีนะครับคุณหลวง ไม่มีไข้ ไม่ปวดหัว ไม่ปวดท้อง แต่เรื่อง...”
“ความจำของหล่อน”
“ครับ ความทรงจำของหล่อน ก็อย่างที่คุณหลวงได้ยิน”
ใช่ เขาได้ยินทุกสิ่งที่หล่อนพูด ‘หนูไม่รู้ค่ะว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หนูจำได้ว่าหนูไปงานแถลงข่าวเปิดคอนเสิร์ตของเฮียที่ช่องจี แล้วหนูก็รีบวิ่งไปให้ทันเฮียขึ้นรถ หนูวิ่งบนตะแกรงท่อระบายน้ำน่ะค่ะ แล้วตะแกรงมันผลุบลงไป หนูก็เลยร่วง จากนั้นหนูก็ไม่รู้อะไรอีกเลย หนูน่าจะสลบแล้วก็มาตื่นที่นี่แหละค่ะ บนเตียงนี้’ หล่อนพูดฉะฉานไม่มีความตื่นกลัว ไม่มีความลังเลในคำพูด
“มันน่าแปลกครับคุณหลวง เพราะหากหล่อนความจำเสื่อมหรือหลงลืมชั่วขณะ หล่อนก็ไม่น่าจะตอบคำถามได้ฉะฉานขนาดนั้น น่าจะลังเลในคำตอบบ้าง อาจจะต้องนึกทบทวนก่อนตอบ แต่นี่ไม่มีเลย หล่อนตอบราวกับว่าหล่อนเห็นแบบนั้นมาจริงๆ แล้วงานคอนเสิร์ตที่หล่อนอ้างถึง... ที่ไหนกันครับคุณหลวง ผมไม่ยักทราบว่าคุณหลวงอยู่ในวงเครื่องสายฝรั่งหลวงด้วย”
“เรื่องงานคอนเสิร์ตนั่นไม่มีดอกครับอาหมอ ผมถนัดแค่เรื่องร้องเรื่องละครเท่านั้น แต่เรื่องเครื่องสายฝรั่ง ผมไม่ถนัดเลยครับ หล่อนอาจจะคิดเองเออเอง”
สีหน้ายุ่งยากใจมากขึ้นของแพทย์โอสถทำให้เขาต้องถามตรงประเด็น “อย่างนี้แล้ว อาหมอคิดว่าหล่อนวิปลาสหรือไม่ครับ”
“ผมยืนยันว่าไม่แน่นอนครับ หล่อนปกติดีทุกอย่าง แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหล่อนจึงไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน ผมแนะนำให้คุณหลวงพาหล่อนไปศิริราช อาจารย์หมอที่นั่นน่าจะให้คำตอบกับคุณหลวงได้ หรือหากหล่อนรู้จักสถานที่ใด คุณหลวงก็อาจสอบถามจากคนแถวนั้นว่าหล่อนเป็นใคร ถ้ามีญาติพี่น้องมาแสดงตัวก็จะช่วยฟื้นความทรงจำของหล่อนได้นะครับ”
“ผมจะทำตามที่อาหมอแนะนำครับ”
.
.
.
พ่อพร้อมกลับเข้ามาในห้องนอนที่เขายังไม่เคยได้นอนเลยสักครั้งหลังจากส่งแพทย์โอสถลงเรือเรียบร้อย ดวงตาคมเข้มทอดมองหญิงแปลกหน้าที่เขาเพิ่งได้เห็นหน้าและรู้จักหล่อนในวันนี้ หล่อนนั่งอยู่บนเตียงที่ใช้ส่งตัวคู่บ่าวสาว ส่งยิ้มดีใจมาให้เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา
“คุณหลวงจะให้ยกสำรับมาที่นี่หรือไว้ที่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
เขาหันมองป้าอ้อยและมองเลยไปยังบ่าวหญิงอีก 2 คนที่นั่งขนาบข้าง ดูก็รู้ว่าทุกคนคงกลัวเจ้าหล่อนอยู่มาก จึงยกโขยงกันมาเป็นเพื่อนแบบนี้ ก็ควรจะกลัวอยู่หรอกเพราะเสียงกรีดร้องของหล่อนราวกับคนเสียสติจริงๆ
“เอาไว้ที่ด้านนอกเถอะป้า เดี๋ยวฉันจะพาหล่อนออกไปเอง”
“เช่นนั้น คุณหญิงสั่งให้... คุณ... ผลัดผ้าใหม่ด้วยเจ้าค่ะ ที่สวมอยู่ ท่านว่าไม่งาม”
เขามองนิราวดีทันที ไม่แน่ใจว่าหล่อนจะอาละวาดอีกหรือไม่ แต่เมื่อหล่อนพยักหน้ายิ้มๆ เขาก็หันมองอีกคน ซึ่งป้าอ้อยไม่ยิ้มเลย ใบหน้าหญิงสูงวัยที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงของแม่และของเขาดูหวาดหวั่นเหมือนจะกล้าแต่ก็ยังกลัวอยู่ดี
“หล่อนก็เป็นคนเหมือนเรานี่แหละป้า หล่อนแค่ป่วย ป้าช่วยดูแลด้วยนะ ฉันจะไปรอด้านนอก”
“เฮีย...”
พูดแล้วก็หันหลังจะออกไป แต่เสียงเรียกโหยหาก็ทำให้เขาต้องหันกลับ ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยแววเว้าวอนไม่อยากให้เขาจากไป เขาก็อยากทำตามนั้น แต่ไม่ได้
“แม่นุช ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่ป้าอ้อยบอกนะ เฮียจะไปรอด้านนอก จะได้รับประทานข้าวเย็นกัน”
“ค่ะ รอแป๊บหนึ่งนะคะ เดี๋ยวนุชตามออกไป”
คำตอบฉะฉานของหล่อนทำให้เขาอึ้งเล็กน้อย จริงอย่างที่แพทย์โอสถบอกทุกอย่าง หล่อนไม่เหมือนคนวิปลาสดอก เพราะหล่อนไม่ลังเลที่จะพูดเลยสักนิด โดยเฉพาะรอยยิ้มกับใบหน้าระรื่นนั้นก็เรียกความร้อนรุ่มในกายเขาให้พุ่งวาบ เขาแทบจะละสายตาจากรอยยิ้มนั้นไม่ได้เลย อยากจะสัมผัสที่ก่อเกิดรอยยิ้มนั้นใกล้ๆ อยากจะดูดดื่มชื่นชิมความหวาน
รอยยิ้มอบอุ่นปลอบประโลมใจส่งให้หล่อนก่อนจะรีบพาตัวเองออกมาให้ไกลจากห้องหอ พลางคิดว่า... ผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของเขาได้มากขนาดนี้จะ ‘วิปลาส’ ไปได้อย่างไร
.
.
.
แค่ประตูห้องปิดลง นิราวดีก็รีบรุดลงจากเตียง แต่กลายเป็นว่าป้าที่ชื่ออ้อยกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับหล่อนพากันร้องวี้ดว้ายถอยหลังกรูไปจนสุดมุมห้อง ไม่เหมือนตอนที่ช่วยกันฉุดกระชากลากถูหล่อนลงจากเตียงเลยสักนิด
“ป้า!”
“ว้าย! เจ้าขา ว่าอย่างไรเจ้าคะ”
นิราวดีอมยิ้มขำขัน แค่หล่อนแสร้งเรียกเสียงดัง ป้าอ้อยและสาวๆ ก็สะดุ้งร้องวี้ดว้ายกอดกันกลม หล่อนนึกชื่นชมที่นักแสดงเหล่านี้ฝึกแอคติ้งมาเป็นอย่างดี จนหล่อนเกือบจะเชื่อแล้วว่ากลัวจริง