กรรณญาวีร์เดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ค่อยๆเดินไปตามถนนคอนกรีต ประมาณ 50 เมตรก็ถึงประตูไม้ หน้าบ้านหลังใหญ่ มีป้ายไม้ลายไทยเขียนว่า บ้านสุนทรธรรม ข้างในเป็นบ้านไม้ผสมปูนแบบทันสมัยหลังใหญ่ ปลูกอยู่บนเนินดินสูง ดูเด่น บัานหลังเก่าเป็นบ้านไม้โบราณชั้นเดียวใต้ถุนสูง เดิมอยู๋ด้วยกันหลายคน ลูกๆ ทั้งสามคนของปู่กับย่า เติบโตเรียนจบ ก็แยกย้ายกันไปทำมาหากิน รวมถึงพ่อของกรรณญาวีร์ด้วย ไม่มีลูกหลานคนไหน มาอยู่เป็นเพื่อนท่านทั้งสอง
บ้านหลังเก่าสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ผุกร่อนไปตามกาลเวลา ปู่กับย่า อายุมากแล้ว ไม่มีคนดูแล อยู่กันเพียงลำพัง 2 คน ท่านทั้งสองเลยตัดสินใจรื้อบ้านไม้หลังเก่า และสร้างหลังใหม่แบบสไตล์ผสมผสานและร่วมสมัย ใช้ไม้เก่าให้มากที่สุด ผสมผสานกันให้ออกมาดูน่าอยู่ ถูกใจคนอยู่มาก สะดวกสบายเหมาะสำหรับคนสูงอายุ ปู่กับย่าไม่ได้เรียกร้องหรือต้องการ ให้ลูก หลาน คนไหนมาอยู่ดูแล ท่านทั้งสองใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย
กรรณญาวีร์มาบ้านปู่กับย่าบ่อย สมัยเป็นเด็ก พ่อกับแม่ทำงานไม่มีเวลาดูแลเธอ ท่านทั้งสองก็จะส่งหญิงสาวมาอยู่กับปู่และย่า พี่สาวคนโต กับน้องชายคนเล็ก พ่อกับแม่ให้เรียนพิเศษช่วงปิดเทอม เด็กๆ กรรณญาวีร์ ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเมื่อเธอมาอยู่กับปู่และย่า กลับกลายเป็นว่า ย่าเป็นคนส่งให้เธอ เข้าไปเรียนพิเศษในเมือง ทดแทนที่พ่อกับแม่เธอ ไม่ค่อยสนใจ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอชอบมาอยู่ที่นี่ เพราะสงบและเงียบดี ไม่มีมลภาวะเป็นพิษ เหมือนในกรุงเทพฯ ได้เห็นต้นไม้ ภูเขา ท้องนา สบายตาสบายใจ
ปู่กับย่าชอบไปวัด ถือศีลทุกวันพระ นั่นทำให้น้ำอบต้องตามไปทำบุญด้วยตลอดสมัยเด็กๆ แถมทั้งปู่กับย่ายังชอบท่องเที่ยว แม้ว่าจะอายุมากแล้วก็ตาม น้ำอบก็จะคอยติดตามท่านทั้งสองไปด้วยตลอดเวลา เพิ่งจะมาเลิกขับรถเที่ยวต่างจังหวัด เมื่อคราวที่สายตามีปัญหา ขับรถลำบาก ปู่กับย่าเป็นข้าราชการครูเกษียณ บ้านปู่พื้นฐานครอบครัวเป็นคนมีอันจะกินอยู่แล้ว ปู่เป็นลูกคนเดียว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจึงไม่ไปไหน ถึงปูกับย่าจะมีฐานะพอมีพอกิน ก็ไม่เคยโอ่อวดอะไร กลับอยู่แบบสมถะเรียบง่าย ไม่โอ่อวด ไม่เบียดเบียนใคร
ทรัพย์สินมรดกที่มีก็แบ่งให้ลูกๆ ทั้งสามคน ท่านแบ่งให้เท่าๆ กัน เหลือเก็บไว้ใช้กินเลี้ยงตัวเองพออยู่ได้สบายๆ ไม่เดือดร้อนใคร ลูกหลานคนอื่น ไม่ค่อยกลับมาหาปู่กับย่าบ่อยนัก นอกจากน้ำอบ ทุกครั้งปิดเทอมตั้งแต่ประถม 4 พ่อกับแม่ก็ส่งเธอมาอยู่ที่นี่แล้ว มีแค่ช่วงที่น้ำอบทำงาน ถึงได้ห่างหายไปบ้าง เพราะไม่ค่อยมีเวลา แต่หยุดเทศกาลเมื่อไหร่ เธอเป็นต้องกลับมาที่นี่ตลอด เหมือนเป็นบ้านของเธอเอง เธอผูกพันกับที่นี่มากกว่าบ้านพ่อแม่ที่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ
หญิงสาวกดออดหน้าประตูบ้าน ไม่นานประตูไม้ก็ค่อยๆเลื่อนออก ผ่านการกดรีโมทจากในบ้าน กรรณญาวีร์ลากกระเป๋าเข้าบ้าน ผ่านศาลพระภูมิไม้หน้าบ้าน หญิงสาวยกมือไหว้ รู้สึกถึงลมหอมเย็นพัดมาปะทะใบหน้า แค่นี้ก็รู้สึกอบอุ่นมาก เหมือนกลับบ้านเก่า
“น้ำอบเหรอลูก มาๆ เข้าบ้านเราลูก ย่าเขารออยู่ ปู่คิดว่าหนูจะมาถึงต้ังแต่เมื่อวานแลัว ว่าจะโทรหาก็ลืม"
ปู่เปลว เดินออกมารับหลานสาวคนโปรด ถึงจะอายุ 72 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูแข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม เหมือนคนปักษ์ใต้ทั่วไป หน้าตายังมีเค้าของความหล่อเหลา สมัยเป็นหนุ่มปู่เปลวหน้าตาดี ถึงตอนนี้ก็แข็งแรงมาก เพราะออกกำลังกายทุกวัน เข้าสวน รดน้ำต้นไม้ ปลูกผัก ตามประสา
กรรณญาวีร์เดินตามปู่เข้าไปในบ้าน และก้มลงกราบผู้มีพระคุณทั้งสอง “ปู่ขา ย่าขา น้ำอบมาถึงแล้วค่ะ”
หญิงสาวก้มลงกราบที่ตัก ของปู่เปลว ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ และไปกราบย่าปราง ที่นั่งอยู่บนเตียงไม้
“ไหว้พระเถอะลูก ย่าดีใจนะที่น้ำอบ ยอมลงมาอยู่กับย่า ยังคิดอยู่เลยว่าหนูต้องทำงานหรือเปล่า”
“น้ำอบ ลาออกจากงานแล้วค่ะย่า หยุดอยู่บ้านได้สักพักแล้ว คิดไว้ว่าถ้าไม่มีงานบัญชีให้ทำ น้ำอบอยากหางานแถวต่างจังหวัด แต่ยังไม่ได้เริ่มหานะคะ มาอยู่กับปู่กับย่าก่อน ให้ย่าหายดีแล้ว น้ำอบค่อยหางานใหม่ค่ะ”
“ดีแล้วล่ะลูก ปู่ก็ดีใจ โล่งใจด้วยที่เป็นน้ำอบมา ถ้าเป็นคนอื่น คงต้องมาปรับมาจูนกันใหม่ แต่อย่างว่าล่ะ น้ำอบเหมาะสมที่สุดแล้วลูก อย่าเบื่อคนแก่ล่ะกัน” ปูเปลวแซวหลานคนโปรด ชายชรายอมรับว่าเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากกว่าหลานคนอื่นๆ
“น้ำอบไม่มีวันเบื่อปูกับย่าหรอกค่ะ ไม่มีวันแน่นอน ปู่กับย่าไม่ต้องกลัวนะคะ น้ำอบเต็มใจมากๆ ค่ะ” หญิงสาวพูดให้ปู่และย่าสบายใจ ซึ่งเธอก็คิดแบบนั้นจริงๆ ไม่มีที่ไหนอบอุ่นเท่าที่บ้านปู่กับย่าอีกแล้ว และเป็นที่ๆ หญิงสาวคิดว่าปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ
“เอาล่ะ ๆ น้ำอบเอาของไปเก็บในห้องเถอะลูก ห้องเดิมของหนูนั่นแหละ อาจจะต้องทำความสะอาดยกใหญ่นะลูก ตั้งแต่หนูกลับไปคราวโน้น ปู่กับย่าก็ไม่ได้เข้าไปทำความสะอาดเลย ปล่อยไว้เหมือนเดิมทุุกอย่าง อาบน้ำพักผ่อนให้สบายเลยนะหลาน เดี๋ยวค่อยออกมากินข้าวกัน เออ...วันนี้ดีจริงๆ เราคงเจริญอาหารกันนะย่า หลานมาแล้ว"
ย่าปรางหันไปหาปู่ หญิงชราดีใจที่หลานรักมาอยู่ด้วย หลานสาวคนนี้ทำอาหาร คาว หวาน เก่ง แถมอร่อย ถูกปากปู่กับย่ามาก ไหนจะเรื่องความมีระเบียบ สะอาด ความขยัน ของน้ำอบอีก บ้านช่องเป็นระเบียบ สะอาด
ชายชรายิ้มตอบภรรยา ปู่เปลวเองก็ดีใจไม่น้อยกว่าภรรยา ลำพังคนแก่อยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างแก่ ทำอะไรเคลื่อนไหวก็ช้า ลำบากไปหมด ตาก็มองไม่ค่อยเห็น หยิบจับอะไรก็ช้าไปหมด ขับรถขับราตาก็ไม่ค่อยดี มีหลานมาอยู่ด้วย น่าจะสะดวกสบายหลายอย่าง คงจะเบาแรงไปได้เยอะ
ในบรรดาลูกหลานทุกคนแล้ว มีน้ำอบคนเดียวที่น่าสงสารที่สุด ลูกชายกับลูกสะไภ้ ก็รักแต่ลูกคนโต กับลูกคนเล็ก ใจเขากับภรรยา อยากให้หลานมาอยู่ด้วยกันเสียที่ใต้นี่ อยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่มีอะไร ตาเปลวรู้ว่าหลาน ไม่มีความสุขหรอก นี่คงจะถึงเวลาแล้ว ที่น้ำอบจะได้มาอยู่ที่นี่ถาวร