ติ๊งต่อง~ ติ๊งต่อง~
เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นในตอนสายของวันฉันที่รู้สึกตัวก็ทำได้เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยแล้วนอนต่อเท่านั้น แต่เสียงกริ่งนั้นก็ยังดังไม่หยุดสุดท้ายแล้วฉันต้องรีบลุกขึ้นเพราะกลัวว่าพี่สายลมจะตื่นขึ้นมา แต่เมื่อฉันมองไปที่ด้านข้างก็เจอเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ฉันสงสัยนิดหน่อยว่าคนที่ควรจะนอนอยู่ข้างกันหายไปไหน แต่แล้วเสียงด้านนอกที่ดังเข้ามาเพราะประตูห้องนอนปิดไม่สนิทก็ให้ความกระจ่างแก่ฉัน
“มาทำไรกันวะ”
“อ้าว อย่าบอกนะว่ามึงลืม”
“ลืมอะไรวะ”
“ก็เรานัดกันมาทำอะไรกินกันที่คอนโดมึงไง นี่แปลว่ามึงก็ยังไม่ได้บอกน้องฝันใช่มั้ยเนี่ย”
“กูนัดเหรอ?”
“เออดิ ก็เมื่อวันศุกร์ที่แล้วไง ที่พวกเราประชุมสายคุยกันอ่ะ”
“อ้อ จำได้แล้ว ซวยแล้วไงกูยังไม่ได้บอกน้องฝันเลย”
“ไปตรวจบ้างนะ สมองมึงผิดปกตินะเนี่ย”
ฉันได้ยินเสียงของเพื่อนพี่สายลม และฉันเองก็จำเสียงของทุกคนได้เป็นอย่างดี เพราะแม้ว่าทุกคนจะเรียนจบแล้วแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดีต่อกันเสมอมา
ฉันเลยลุกขึ้นจากที่นอน แล้วเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำเมื่อเรียบร้อยก็ไปที่โซนห้องแต่งตัว ก่อนจะเช็กความเรียบร้อยของตัวเองแล้วเดินออกไปที่ด้านนอก
“เซอร์ไพรส์!” พี่ขั้นเทพ พี่เคน พี่จีน พี่โชน และพี่เซฟ ต่างก็หันมาพูดเซอร์ไพรส์ฉันตอนที่ฉันเดินออกมาจากห้องนอน ส่วนพี่สายลมก็รีบเดินปรี่เข้ามาประคองเอวฉันเอาไว้
“เซอร์ไพรส์อะไรกันคะ?” ฉันแสร้งถาม
“ก็เซอร์ไพรส์ที่พวกพี่มาไงจ๊ะน้องฝัน” อ้อ กำลังแก้เก้อให้พี่สายลมด้วยการแสร้งบอกว่าเซอร์ไพรส์ฉันอยู่สินะ เพราะพี่สายลมลืมบอกฉันว่าเพื่อนของเขาจะมาสังสรรค์ด้วย
“ฝันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่คะ ทำไมต้องทำตื่นตูมไปด้วย”
ฉันแอบแซวเพื่อนของพี่สายลม จะว่าไปแล้วฉันก็แทบจะไม่มีเพื่อนเลยนะ เพื่อนที่สนิทที่สุดของฉันเมื่อสมัยเรียนแต่เรียนกันคนละที่ ก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับสามีแล้ว ส่วนเพื่อนของเพื่อนที่เคยมาแนะนำให้ฉันรู้จักก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ทำให้ตอนนี้เพื่อนที่ฉันสนิทมากที่สุดก็มีเพียงพี่สายลมคนเดียวเท่านั้น เพราะเพื่อนที่ทำงานฉันก็ไม่ได้ถือว่าสนิทด้วยก็แค่ทำงานด้วยกันเลิกงานไปก็กลายเป็นคนอื่น
เพราะเพื่อนร่วมงานที่สนิทกับฉันที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่าสนิทก็ลาออกกันไปหมดแล้ว แต่ก็นั่นแหละต่อให้สนิทกันมากแค่ไหนก็ตามสุดท้ายเวลาก็จะทำให้ห่างกันไปเอง
“ก็ไอ้ลมน่ะสิ เกรงใจน้องฝัน กลัวว่าน้องฝันจะว่ามันที่ไม่บอกว่าพวกพี่จะมา” พี่เคนเสริมขึ้นขณะกำลังจัดเตรียมพื้นที่สำหรับนั่งสังสรรค์ ฉันกวาดสายตามองดูก็เห็นได้ว่าพวกพี่เขาจัดเตรียมพื้นที่ไว้สองที่นั่นคือโซนด้านใน กับด้านนอกบริเวณสระว่ายน้ำ ฉันจึงพอจะเดาออกได้ว่าโซนด้านในคงเอาไว้ดื่มกินเรื่อยเปื่อยกันในช่วงเวลานี้ และโซนด้านนอกก็คงจะเอาไว้ดื่มกินในช่วงค่ำนั่นแหละ
“พี่เปล่าสักหน่อยครับ พี่แค่เกรงใจน้องฝันเฉย ๆ ทำงานมาเหนื่อย ๆ กลับมาถูกพวกกเฬวราก [1] ก่อกวนจนไม่ได้พักผ่อน” พี่สายลมโอบรอบเอวของฉันโดยไม่สนใจเพื่อนของเขาเลย อีกทั้งยังโน้มตัวลงมาซบที่ไหล่เล็กของฉันอีกต่างหาก ไม่รู้จักเขินอายเอาบ้างเลย
“ฝันไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ พี่ลมมีสังคม มีเพื่อนนะคะ จะมาขลุกอยู่แต่กับฝันได้ยังไง” ฉันลูบผมของเขาเบา ๆ พร้อมทั้งยิ้มไปด้วยก่อนที่จะหันไปเห็นสายตาของเพื่อนเขาที่จ้องมาทางฉันทางเดียว ใบหน้าของทุกคนยิ้มออกมาอย่างล้อเลียนเล่นเอาฉันเขินจนหน้าแดงไปหมด
“น้องฝันครับ พวกพี่ขอเล่นเกมได้มั้ยครับ”
พี่โชนเอาเกมออกมาจากตู้เก็บของ ฉันเองก็พยักหน้าอนุญาตพลางยิ้มไปด้วยเพราะว่าพวกเขาโตกันขนาดนี้แล้วแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งคำพูดคำจา ทั้งการกระทำ ยังคงสนิทสนมกันทั้งหมดทุกคนจนฉันเริ่มรู้สึกอิจฉาแล้วล่ะ
“เดี๋ยวฝันทำอะไรให้กินมั้ยคะ”
ฉันเสนอเพราะไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดรวมถึงพี่สายลมด้วย ฉันไม่อยากให้เขาเกร็ง และเสียใจที่เลือกฉันเป็นคู่ชีวิตแน่นอนว่าที่ฉันคิดอย่างนี้มันเป็นเพราะตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา พี่สายลมมักจะพูดถึงแผนอนาคตของเขา และในแผนนั้นย่อมมีฉันอยู่ด้วยเสมอ
“ไม่เป็นไรครับ พวกพี่เกรงใจ” พี่เซฟพูดขึ้นพลางเดินไปนั่งลงหน้าโทรทัศน์
“พี่ลมอยากกินอะไรมั้ยคะ ฝันจะทำให้ค่ะ”
“ถ้าถามว่าพี่อยากกินอะไรแน่นอนว่าต้องเป็นนะ...!” ฉันรีบยกมือปิดปากพี่สายลมในทันทีเพราะฉันรู้ว่าเขาจะพูดออกมาว่าอะไร ฉันอายเกินกว่าที่จะได้ยินพี่เขาพูดออกมาต่อหน้าเพื่อนของเขาอย่างนี้
“ไม่ต้องอายหรอกครับน้องฝัน พวกพี่ชินแล้วที่มันคลั่งรักน้องฝันตั้งแต่วันที่ได้เจอกันครั้งแรก วันที่ตามจีบ วันที่ได้เป็นแฟนกันมาจนถึงทุกวันนี้น่ะ” ฉันเคยคิดว่าพี่สายลมอาจจะไม่ได้จริงจังอะไรกับฉันมากเพราะว่าเขาเองก็หล่อ และรวยในระดับที่เลือกใครก็ได้ที่ไม่ใช่ฉัน แต่เวลาที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้ฉันรู้แล้วว่าเขามีใจให้ฉันแค่คนเดียวจริง ๆ ฉันขอไม่พูดถึงเรื่องอนาคตแล้วกันเพราะว่าสำหรับฉันแล้วจิตใจคนเรามันเปลี่ยนทุกวินาที
“ก็ฝันอายนี่คะ”
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฝันไปทำกล้วยบวชชีให้กินนะคะ”
“ดีเลยครับ กล้วยบวชชีของน้องฝันอร่อยที่สุดแล้ว” พี่จีนโพล่งขึ้นมาราวกับว่าเขากำลังอยากกินอยู่พอดี
“สำหรับพี่น้องฝันทำอะไรก็อร่อยครับ ต่อให้รินน้ำเปล่ามาให้ก็ยังอร่อยสำหรับพี่เลย” คำพูดคำจาหวานเลี่ยนแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะถ้าไม่ใช่ว่าที่สามีในอนาคตของฉัน
ฉันเดินไปหอมแก้มพี่สายลมที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมอยู่กับเพื่อนจากนั้นจึงเดินไปจัดการทำกล้วยบวชชี โชคดีที่เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันช่วยคุณยายคนหนึ่งที่แบกกล้วยน้ำว้าใสถาดเดินมาขายที่ป้ายรถเมล์ไม่อยากนั้นวันนี้ก็คงจะต้องทำไข่หวานให้พี่ ๆ เขากินกันเหมือนเดิมอีกแน่ ฉันทำไปก็เงยหน้ามองหนุ่ม ๆ ไป ไม่อยากเชื่อว่าจนป่านนี้แล้วทุกคนยังครองความโสดอยู่ได้เว้นเพียงแค่พี่สายลมของฉันเท่านั้นที่มีคนรักแล้ว
“เสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวฝันยกไปเสิร์ฟให้นะคะ”
“อุ๊ย! ไม่ต้องครับ เดี๋ยวพวกพี่จัดการเอง” พี่จีนพูดขึ้นแต่ตายังมองจอ
“ใช่ครับ เหนื่อยทำ เหนื่อยล้างแล้วยังจะต้องยกมาเสิร์ฟอีกเหรอครับ” พี่ขั้นเทพพูดบ้าง ก่อนจะหยัดตัวขึ้นแล้วเดินมาพร้อมกันกับพี่สายลมของฉัน
“ขอบคุณที่เหนื่อยดูแลพี่ กับเพื่อนพี่นะครับ” ริมฝีปากอุ่นแนบสัมผัสกับหน้าผากนูนของฉัน ก่อนจะเลื่อนลงมาที่เปลือกตาแล้วยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน แถมยังอวดลักยิ้มที่ทำให้ฉันไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลยแม้แต่น้อย
☆☆☆☆☆
[1] กเฬวราก (อ่านว่า กะ -เล-วะ -ราก) มาจากภาษาบาลีว่า กเฬวร (อ่านว่า กะ -เล-วะ-ระ) แปลว่า ร่าง ร่างไร้วิญญาณ ซากศพ. ในภาษาไทย กเฬวระ (อ่านว่า กะ -เล-วะ -ระ) แปลว่า ซากศพ คำว่า กเฬวราก หมายถึง คนไร้ประโยชน์ คนชั่ว คนเลว คนที่ชั่วและเลวจนคนทั่วไปรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงเหมือนที่ขยะแขยงซากศพ เช่น ตำรวจควรลากคอพวกกเฬวรากที่ปลุกปั่นให้คนไทยเกลียดชังกันไปเข้าคุกเข้าตะรางให้หมด. สังคมจะน่าอยู่ขึ้นมาก ถ้ากเฬวรากพวกนี้หมดสิ้นไป.