ขอความเป็นธรรม

1764 Words
“หม่อมฉันมิอยากให้ท่านชายแต่งสตรีใดเข้ามา นับจากนี้ไปอีกสามปี” ตากลมชำเลืองไปมองใบหน้าของอี้โจวอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มตกใจจนเสียกิริยา ก็รู้สึกสนุกไม่น้อย ป่านนี้ในใจคงเดือดพล่านแล้วกระมัง หึ! “จะเป็นไปได้อย่างไร! อี้โจวไม่มีพี่น้อง อย่างไรก็ต้องมีทายาสืบสกุลให้มาก เจ้าจะแต่งเป็นฮูหยินเอก อย่างไรก็ต้องใจกว้างเข้าไว้” “…” “เจ้าขออย่างอื่นเถิด แล้วข้าจะมิขัด” ฮ่องเต้ยื่นข้อเสนอให้สาวงามที่ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง “ในใจของหม่อมฉันประสงค์เพียงเรื่องนี้ จึงไม่รู้จะกล่าวขอสิ่งใด ในเมื่อเรื่องที่ขอมิอาจเป็นจริงได้ หม่อมฉันก็มิอยากรบกวนฝ่าบาทเพคะ” “…” “เดิมทีหม่อมฉันไม่ได้ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน เพียงมิอยากเห็นองค์ชายประชวรก็เท่านั้น ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาเพคะ” ลี่อิ่งก้มคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังกลับ แต่เสียงของมารดาแผ่นดินก็ขัดขึ้นเสียก่อน “ฝ่าบาท คุณหนูสวีรักษาชีวิตของเชื้อพระวงศ์ ถือเป็นความดีใหญ่หลวง อีกอย่างสิ่งที่นางขอก็มิได้เหลือบ่ากว่าแรง นางขอเพียงสามปีเท่านั้น” “…” “ฝ่าบาท กษัตริย์ตรัสแล้วมิอาจคืนคำนะเพคะ” หงส์เคียงบัลลังก์กระซิบเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน พระนางพอจะทราบข่าวเรื่องของท่านชายอี้โจวกับคุณหนูใหญ่สวีอยู่บ้าง จึงรู้สึกสงสารลี่อิ่ง ในเมื่อครานี้นางทำความดี ก็ควรได้รับรางวัลตอบแทนตามใจอยาก “เช่นนั้นก็ได้ นับจากนี้ ห้ามเจี้ยนอี้โจวแต่งสตรีใดเข้ามา จนกว่าจะสมรสกับสวีลี่อิ่งครบสามปี และเจ้าเองก็ต้องทำหน้าที่ฮูหยินอย่าได้ขาดตก” “สวีลี่อิ่ง น้อมรับพระบัญชาเพคะ” “เจี้ยนอี้โจว น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ได้ยินน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจของว่าที่สามี ลี่อิ่งก็ยกยิ้มสุขใจ เพียงเท่านี้นางก็มีเวลาทำให้เจี้ยนอี้โจวปวดใจไปอีกสามปี แต่งกับคนที่ไม่ได้รัก…ข้าจะดูว่าท่านจะมีความสุขได้อย่างไร “เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้ เมื่อครู่หากเสด็จลุงทรงกริ้วขึ้นมา แม้แต่ความดีที่เจ้าทำไว้ก็มิอาจลบล้าง” ลี่อิ่งออกมาเดินเล่นกับมี่มี่ตามลำพัง เพราะไม่อยากได้ยินเสียงดังของคนเมา ทว่าก็ยังมีคนตามมาก่อกวนจนได้ “ที่โกรธ เพราะฝ่าบาทยอมทำตามสิ่งที่ข้าขอใช่หรือไม่” ลี่อิ่งว่า พลางหันไปพยักหน้าให้มี่มี่ถอยออกไปก่อน “จะทำให้ทั้งสกุลเดือดร้อน ยังไม่สำนึกอีก” แม่ทัพหนุ่มสะบัดชายผ้าอย่างเหลืออด “หึ ห่วงกันเหลือเกินนะเจ้าคะ คงอยากร่วมหอลงโรงกันใจจะขาดเลยสินะ…หรือแอบไปทำเรื่องบัดสีกันแล้ว” แววตาเย่อหยิ่งที่คนตัวเล็กพยายามแสดงออกมา กลับมิอาจปกปิดความเสียใจไว้ได้หมด “ข้ามิได้-” “รอเสียหน่อยเถิด สามปีคงไม่สายสำหรับความรักของพวกท่านกระมัง อ่อ หรืออาจจะเร็วกว่านั้น หากข้าเอาคืนพวกท่านสาสมแล้ว ก็ไม่คิดจะผูกชีวิตไว้กับคนจิตใจอำมหิตเช่นท่าน” ว่าเพียงเท่านั้น ลี่อิ่งก็เดินชนอี้โจว กลับเข้าไปลานพิธี นางยอมฟังเสียงคนเมา ดีกว่าต้องสนทนากับอีกฝ่าย หลังจากผ่านงานเลี้ยงคืนนั้นไป ผู้คนในท้องตลาดก็ลือกันสนั่น ว่าคุณหนูน้อยสกุลสวีใจจืดใจดำ มิเห็นแก่ความรักของท่านชายเจี้ยนอี้โจวกับพี่สาว ยืนยันจะไม่ถอนหมั้น ทั้งยังร้องขอต่อฝ่าบาท มิให้ท่านชายแต่งสตรีอื่นเข้ามา “นางคงต้องการกันท่า ไม่ให้พี่สาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นแน่” “ข้าก็คิดเช่นนั้น เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน จึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้” “สงสารก็แต่ท่านชายกับคุณหนูใหญ่สวี มีใจต่อกันแต่กลับไม่ได้ครองคู่” ปัง! เสียงตบโต๊ะดังลั่นไปทั่วเหลาอาหาร จนทุกคนต้องหันไปต้นเสียง ก็พบว่าผู้ที่นั่งทานอาหารอยู่ในมุมหนึ่งของร้าน เป็นบุคคลที่กำลังถูกนินทา “ปากมากนักนะ มิอยากทานข้าวเสียแล้วกระมัง” “พี่ใหญ่ใจเย็นไว้” ลี่อิ่งห้ามปรามพี่ชาย เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นมองเขาไม่ดี “แต่-” “ให้ข้าจัดการเถิดเจ้าค่ะ” ลี่อิ่งเดินไปหาสตรีสองคนที่พูดถึงนางเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “คุณหนูมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง” “เอ่อ ข้ายังไม่มี” สาวร่างอวบอ้วนเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นๆ แต่ก็ยังรักษากิริยาเอาไว้ได้ “เพราะท่านไม่มีคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า” “…” พอเป็นเรื่องของผู้อื่น ทุกคนในเหลาอาหารแห่งนี้ก็พร้อมใจกันเงียบฟังทันที “ตั้งแต่รู้ความ ข้าก็มีท่านชายเป็นคู่หมั้น ถูกสอนให้ซื่อสัตย์ ไม่เหลียวแลชายอื่น ข้าวาดฝันจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์กับท่านชาย แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งเขากลับมาขอถอนหมั้น เพราะเขาและพี่สาวของข้ามีใจรักใคร่กัน” “…” “ข้าขอถามทุกท่านในนี้ ว่าข้ามีความผิดอันใด หรือเพียงเพราะพวกเขารักกัน ก็ไม่ต้องสนใจผู้ใด ใครจะเป็นจะตายก็ช่างงั้นหรือ…พอข้าเรียกร้องตามสิทธิของตน คนผิดเลยเป็นข้าที่ใจจืดใจดำ ไม่ยอมถอนหมั้นให้พวกเขาสมหวังหรือ” ผู้คนพากันคิดตามคำพูดของลี่อิ่ง อันที่จริงคุณหนูน้อยผู้นี้ ไม่มีความผิดเลยสักนิด เพราะหากมองในมุมของนาง สวีลี่อิ่งเป็นผู้ถูกกระทำเสียด้วยซ้ำ พี่สาวเชื่อมสัมพันธ์กับว่าที่น้องเขย มีสตรีดีๆ ที่ไหนเข้าทำกัน “ขะ ขออภัยคุณหนู” “ข้ามิโกรธ เพียงแต่ข้าอยากขอความเป็นธรรมจากพวกท่าน เรื่องนี้ผู้ใดกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด พวกท่านลองตรองดูเถิด” ลี่อิ่งเดินกลับมานั่งทานอาหารกับพี่ชายราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จนสวีต้าหัวนึกกังวล เพราะช่วงนี้น้องสาวของเขาไม่ร่าเริงเช่นเคย ทั้งยังเหม่อลอยคิดบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ไหนจะคำพูดที่คล้ายเป็นการกล่าวโทษเสี่ยวปิงกลายๆ นั่นอีก “อิ่งเอ๋อร์ ช่วงนี้พี่ใหญ่มีงานวุ่นวาย จึงมิได้สนทนากับเจ้าบ่อยนัก หากเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาพี่ ก็อย่าได้เกรงใจ พูดคุยมาได้ อย่าเก็บเรื่องที่อัดอั้นตันใจไว้เพียงผู้เดียว” ระหว่างทางกลับเรือน รองแม่ทัพของแคว้นก็ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนาง เพราะบนรถม้ามีเพียงพวกเขาสองพี่น้อง “พี่ใหญ่อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้เป็นอันใด” “พี่เป็นห่วงเจ้ามาก ยิ่งช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไป มิร่าเริงเหมือนเคย พี่ก็ยิ่งห่วง” “ข้าเพียงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เลยอยากเอาคืนพวกเขาบ้าง หรือท่านคิดว่าไม่ควร” “…” ต้าหัวได้แต่ลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบใจ “ทั้งที่ข้าดีกับพวกเขา ไว้ใจพวกเขา แต่กลับถูกหักหลังอย่างเลือดเย็น ท่านไม่คิดว่าข้าควรเอาคืนบ้างหรือ” “เหตุใดจะไม่ควรเล่า พี่ใหญ่เองก็เตือนเจ้าหลายครา เจ้ามีสิ่งใดก็ให้เสี่ยวปิงไปหมด ขนาดของที่พี่ซื้อให้ เจ้าก็ให้นางโดยไม่นึกเสียดาย” “พี่ใหญ่ เหตุใดกลายเป็นท่านน้อยใจข้าเสียได้เล่า” ลี่อิ่งหัวเราะเบาๆ กับการกอดอก เชิดหน้าของพี่ชาย “หึๆ อิ่งเอ๋อร์ มีเรื่องใดอยากให้พี่ชายคนนี้ช่วย อย่าได้ลังเล ในเมื่อเจ้าอยากเอาคืนพวกเขา พี่ก็จะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด” “ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุด” คุณหนูสวีกอดแขนพี่ชายไว้แน่น แต่ไม่นานนักก็ต้องปล่อย เพราะมีทหารชั้นผู้น้อยมาแจ้งว่า มีนายกองทะเลาะวิวาท ท้าประลองกันจนเลือดตกยางออก ผู้ใดห้ามก็ไม่ฟัง ลี่อิ่งไม่อยากให้พี่ชายเสียเวลา จึงเดินทางไปที่ค่ายทหารด้วย จัดการเรื่องแล้วเสร็จค่อยกลับเรือนพร้อมกัน อีกอย่างเวลาเช้าเช่นนี้เจี้ยนอี้โจวคงยังไม่เข้ามาในค่าย “เจ้าอย่าไปเลย ประเดี๋ยวจะเป็นภาพติดตาเสียเปล่าๆ พี่จะให้นายกองไห่พาเจ้าไปขี่ม้าที่ลานอีกฟาก” “ได้เจ้าค่ะ ข้ามิได้พูดคุยกับพี่ไห่ฉงมานานแล้ว” ไห่ฉงเป็นลูกน้องคนสนิทของสวีต้าหัว เข้าออกสกุลสวีเป็นว่าเล่น ลี่อิ่งจึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี “เช่นนั้นเชิญคุณหนูทางนี้เถิดขอรับ ข้าจะแอบเอาม้าของรองแม่ทัพมาให้ท่านขี่” “ม้าที่พี่ใหญ่หวงน่ะหรือ เรารีบไปกันเถิด” ลี่อิ่งกระซิบกระซาบกับนายกองไห่เสียงดัง ตั้งใจให้พี่ชายได้ยิน หวังหยอกล้ออีกฝ่าย ช่วงนี้นางคงจะจมปลักอยู่กับเรื่องราวในชาติก่อนมากเกินไป จนทำให้คนในครอบครัวกังวลและทุกข์ใจไปด้วย เห็นที่ต้องปล่อยวางเสียบ้าง อย่างน้อยก็ตอนอยู่กับครอบครัว “คุณหนูขึ้นได้หรือไม่ขอรับ” “พี่ไห่ฉงดูแคลนข้าเกินไปแล้ว ช่วงนี้ข้าแอบท่านพ่อท่านแม่ มาขอให้พี่ใหญ่ฝึกขี่ม้า จับดาบ จับธนูอยู่บ่อยๆ” ลี่อิ่งว่าพลางกระโดดขึ้นม้าอย่างมั่นใจ ร่างบางบังคับม้าให้เดินไปรอบๆ ลานฝึกม้า มองดูบรรยากาศที่คุ้นเคย ในชาติก่อนนางเคยมาที่นี่หลายครั้ง แต่ช่วงแรกที่แต่งงานกับท่านชาย นางไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาในนี้ ตอนนั้นจึงฝากอาหารที่ทำ ไว้กับทหารยามหน้าประตูค่ายเท่านั้น แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมแน่! “คุณหนูระวังขอรับ!” “กรี๊ด!” เพราะใจลอยจึงไม่ทันระวัง บังคับม้าเข้าไปในเขตที่มีสิ่งกีดขวาง เนื่องจากนางพึ่งจะฝึกขี่ม้า การบังคับม้าให้กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางจึงเป็นเรื่องยาก “มิเป็นไรแล้วขอรับ ข้ารับคุณหนูไว้ทัน” “ฮื่อ~ พี่ไห่ฉง ข้านึกว่าตัวเองจะเจ็บตัวเสียแล้ว ขอบใจท่านมาก” ยังไม่ทันที่นายกองไห่จะปล่อยลี่อิ่งให้เป็นอิสระ ร่างบางก็ถูกดึง ย้ายมาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพใหญ่ “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง นายกองไห่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD