ระหว่างที่กำลังเดินกลับกระท่อมน้อยของตนเอง เสี่ยวเปาที่ยังไม่ทันหายตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงเอ่ยถามมารดา ลึก ๆ แล้วหนูน้อยกลัวว่าแม่จ๋าของเธอจะไม่สบายจริง ๆ
"ฮึก แม่จ๋าไม่ซาบายหย๋อ อึก แม่จ๋าจะทิ้งเป่าเปาม้าย" (แม่จ๋าไม่สบายเหรอ แม่จ๋าจะทิ้งเป่าเปาไหม)
หนิงซินที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบเอาน้ำในมิติออกมาล้างเลือดที่เปื้อนมืออยู่ออกให้หมด เพราะกลัวว่าเป่าเปาจะตกใจมากกว่าเดิม พอเห็นว่ามือสะอาดจึงรีบอุ้มลูกน้อยขึ้นมาปลอบ
"ไม่ใช่แบบนั้นจ้ะ เมื่อกี๊แม่จ๋าแค่แสดงละครเพื่อให้คนที่บ้านนั้นหลงเชื่อ พวกเค้าจะได้ไม่กล้ามาเข้าใกล้พวกเราอีก"
"ซาแดงลาคองหย๋อ" (แสดงละครเหรอ)
"ใช่จ้ะ อีกไม่นานพวกเราต้องไปจากที่นี่แล้ว ว่าแต่ลูกเสียใจไหมที่ต้องไปจากที่นี่ ลูกรักพวกเค้ารึเปล่า"
หนูน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่พยายามทบทวนคำถามเพื่อค้นหาคำตอบเท่าที่สมองเล็ก ๆ จะคิดได้ ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่หนูน้อยรู้สึกผูกพันหรือรักใคร่ มันมีแต่ความเจ็บปวดและความผิดหวังเสมอมา
"หื่อ ยักมะได้ ค้าวมะให้ยัก ย่าบอกเป่าเปายูกจู้ ม่ายมีป้อจ๋า ยูกจู้คือไยหย๋อแม่จ๋า"
(รักไม่ได้ เค้าไม่ให้รัก ย่าบอกเป่าเปาลูกชู้ ไม่มีพ่อ ลูกชู้คืออะไรเหรอแม่จ๋า)
หนิงซินพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด คำพูดไร้เดียงสา แววตาที่ใสซื่อของหนูน้อย แฝงไปด้วยตราบาปที่ผู้ใหญ่เห็นแก่ตัวพยายามยัดเยียดข้อหามาให้เด็กเพื่อเอาตัวรอดจากความรับผิดชอบทั้งปวง
"ก่อนอื่นคำว่าลูกชู้ห้ามพูดอีก เป่าเปาสัญญากับแม่จ๋าได้ไหมจ๊ะ มันเป็นคำพูดที่ไม่ดี คำนั้นลูกจึงไม่ควรพูด"
"อื้อ เป่าเปาไม่พูด แล้วป้อจ๋าละ เป่าเปาไม่มีหย๋อ"
"มีสิลูก ทุกคนที่เกิดมาต้องมีพ่อแม่ แต่พ่อของหนูไปทำงานที่ไกล ๆ ตอนนี้หนูถึงต้องอยู่กับแม่จ๋าไปก่อน"
"แย้วป้อปิงเฉิงอ่ะแม่จ๋า คายหย๋อ" (แล้วพ่อปิงเฉิงล่ะแม่จ๋า ใครหรอ)
เสี่ยวเปาถามออกไปตามความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ ก่อนหน้านี้แม่ของเธอเคยพูดอยู่บ่อยครั้งว่ามู่ปิงเฉิงคือพ่อของเธอ
"มู่ปิงเฉิงคือคนที่ไม่คู่ควร จากนี้ไปเราจะไม่พูดถึงคนบ้านนั้นอีก เริ่มต้นกันใหม่ 2 คนแม่ลูกดีไหมลูก ถ้าวันหนึ่งมีคนที่คู่ควรจะเป็นพ่อของหนูเมื่อไหร่เราค่อยตัดสินใจอีกที"
"เยือกหย๋อแม่จ๋า เยือกป้อจ๋าดี ๆ หย๋อ (เลือกหรอแม่จ๋า เลือกพ่อจ๋าดี ๆ หรอ)
"ใช่จ้ะ เลือกใหม่ เอาแบบดี ๆ ไปเลยดีไหม แต่หนูต้องช่วยแม่จ๋าเลือกด้วยนะ"
หนิงซินไม่รู้จะตอบยังไงจึงต้องจำยอมเออออไปกับลูกสาวตัวน้อย เพียงแค่ได้ยินว่าตนเองจะได้มีส่วนร่วมกับทุกอย่างเสี่ยวเปาที่เศร้าสร้อยก็กลับมายิ้มและหัวเราะได้อีกครั้ง
"ฮะ ฮะ ฮะ เป่าเปายักแม่จ๋าตี้ฉุด"
"แม่จ๋าก็รักหนู แม่จ๋าจะเป็นแม่จ๋าให้หนูเองนะเจ้าก้อนแป้ง เราไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวฟ้าสว่างแม่จะพาหนูเดินทางเข้าเมือง"
"โฮ๊ะ เข้าเมืองหย๋อ เป่าเปาขออม ๆ พี่กาต่ายได้ม้ายแม่จ๋า" (เข้าเมืองเหรอ เป่าเปาขอลูกอมตรากระต่ายได้ไหมแม่จ๋า)
หนูน้อยถูกญาติผู้พี่และเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านนำลูกอมตรากระต่ายมาอวดอยู่บ่อยครั้งเวลาที่พวกเขากลับจากเที่ยวในเมือง แต่เธอกับแม่ได้แต่นั่งกลืนน้ำลายมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยสายตาละห้อย
"ได้อยู่แล้ว เข้าไปพื้นที่ของเรากันนะลูก"
"ค่า"
หลังจากเข้าไปในกระท่อมน้อยของตนเองในเวลาช่วง 5.30 น. สองแม่ลูกรีบเข้าไปในมิติแล้วทำมื้อเช้ากินอย่างเอร็ดอร่อย ตอนนี้หนิงซินสามารถบำรุงลูกน้อยได้เต็มที่แล้ว อาหารดี ๆ ที่หนูน้อยไม่เคยได้กินหนิงซินก็ทำให้ได้ลิ้มลองจนท้องน้อย ๆ ใกล้จะรับไม่ไหวแล้ว
"เอิ๊ก ฮะ ฮะ ฮะ อิ่มมากเยยแม่จ๋า"
"อิ่มแล้วต้องทำยังไงคะ แม่จ๋าให้หนูทำเมื่อคืนลืมรึยังเอ่ย"
"งื้ออ เดิงเย่ง" (เดินเล่น)
"ถูกต้อง ค่อย ๆ เดินนะลูก ห้ามวิ่ง เดี๋ยวแม่จ๋าขอล้างถ้วยล้างจานแป้บนึง"
"ได้เยยค่า"
หนิงซินใช้เวลาเก็บกวาดครัวอยู่ประมาณ 15 นาที บางครั้งเธอมองไปรอบ ๆ ร้านก็อดนึกถึงลูกค้าและคนงานลูกน้อยคนอื่น ๆ อยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้าง หากร้านอาหารมีลูกค้าคงจะมีชีวิตชีวามากขึ้น
ใบหน้าหวานรีบสลัดความคิดต่าง ๆ ออกจากหัว ก่อนจะมาโฟกัสเพียงแค่สิ่งที่เธอควรทำในตอนนี้ นั่นก็คือการดูแลเสี่ยวเปาให้ดี หากอนาคตมีทุนรอนมากพอที่จะหาห้องเช่าทะเลดี ๆ ได้สักห้อง เธออาจจะได้มีโอกาสเปิดร้านเล็ก ๆ เลี้ยงชีพของเธอกับลูกสาวก็อาจเป็นได้
"เป่าเปาคะ ไปอาบน้ำกันได้แล้วค่ะลูก"
"คุงแม่คะ คุงแม่ค่ะ คุงแม่ขา คุงแม่จ๋า"
หนูน้อยรีบเดินกึ่งวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหามารดา พร้อมกับทำเสียงอ่อนเสียงหวานส่ายหัวไปมาอย่างน่าเอ็นดู คนเป็นแม่ที่เห็นแบบนั้นก็ใจอ่อนยวบอ้าแขนรับหนูน้อยเข้าสู่อ้อมกอด
ฟอดดดด
"ปากหวานจริง ๆ ไปอาบน้ำแปรงฟันกันดีกว่า เสร็จแล้วจะได้ใส่ชุดสวยเข้าเมืองกัน"
"ชุดจ๋วย ไปกังเย๊ยย" (ชุดสวย ไปกันเลย)
สองคนแม่ลูกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวกว่าจะเสร็จก็เกือบ 1 ชั่วโมง หนิงซินเลือกเอาเสื้อผ้าเก่าของมารดาสมัยเป็นสาวมาใส่ ซึ่งก็เป็นของยุคนี้พอดี โดยรวมจึงดูกลมกลืนไปกับผู้คน เสื้อผ้าไม่ใหม่จนโดดเด่นแต่ก็ไม่เก่าจนน่าเกลียด
ส่วนเสี่ยวเปาตัวน้อยก็ถูกสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่อย่างมิดชิด พร้อมกับสวมหมวกกันแดดกันลมให้อีกชั้นหนึ่ง แม้จะเป็นช่วง 8 โมงเช้าแล้ว แต่ก็ยังมีลมเย็นพัดเอื่อยมาเป็นระยะ หนิงซินเองตั้งใจจะเอาจักรยานคันเก่าพาลูกน้อยปั่นเข้าเมือง
"แม่จ๋าตาก้าไยหย๋อ" (แม่จ๋าตะกร้าอะไรเหรอ)
หนูน้อยเห็นมารดากำลังสะพายตะกร้าหวายใบใหญ่ที่มีฝาปิดใส่บนหลัง ระหว่างที่จะพาเธอออกจากมิติจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ตะกร้าใส่ของจ้ะ เข้าเมืองไปแล้วหนูห้ามถามอะไรเกี่ยวกับตะกร้านี้เด็ดขาด เข้าใจไหมลูก แต่ถ้าหิวข้าวหรือปวดอืออึ๊ให้รีบบอกแม่ จำเรื่องแพมเพิสที่แม่บอกได้ใช่ไหมคะ ว่าหนูสามารถฉี่ใส่ได้ 3 ครั้ง หนูต้องหัดจำและรับผิดชอบตัวเองให้ได้ ครบตามจำนวนแล้วรีบบอกแม่"
"จำได้ค่า ไปกังเยยแม่จ๋า"
สองแม่ลูกกลับออกมาที่กระท่อมน้อย หนิงซินโผล่ออกไปมองรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นใครเธอจึงอุ้มลูกสาวลงจากกระท่อม แล้วรีบเดินไปที่พุ่มไม้เพื่อหาที่บังสายตาที่เธออาจจะมองไม่เห็นแล้วเอาจักรยานออกมา
"ว้าว มีเบาะเล็กของเป่าเปาด้วยเหรอเนี่ย"
"วาว ว้าวแม่จ๋า เบาะเป่าเปาหย๋อ"
"ใช่จ้ะ ปิดหน้าให้เรียบร้อยแล้วมาออกเดินทางกันเลยนะลูก"
เสี่ยวเปาตาลุกวาวเมื่อเห็นว่าจักรยานคันใหม่ที่แม่จ๋าเอาออกมามีเบาะเล็ก ๆ สำหรับเธอด้วย อย่าว่าแต่เป่าเปาเลยที่ตกใจ เดิมที่จักรยานคันนี้เป็นเพียงจักรยานเล็ก ๆ ที่เธอซื้อไว้ใช้ลูกน้องปั่นออกไปซื้อกับข้าว หรือส่งของให้ลูกค้า
แต่เหตุไฉนพอนำออกมาจากมิติ รูปร่างหน้าตาของมันจึงเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากเก่าเปลี่ยนเป็นใหม่ จากเล็กเปลี่ยนเป็นขนาดพอดีแล้วยังมีเบาะเด็กของเป่าเปาอีกด้วย แบบนี้มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว
"ไปเยยค่า"
ทุกคนขึ้นประจำที่ของตัวเอง หนิงซินปั่นจรัยานไปตามทางเล็กท้ายหมู่บ้านที่รถใหญ่ไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีของเธอกับลูกที่สามารถหลบสายตาผู้คนออกมาตามเส้นทางนี้ได้ ระยะทางของทั้งคู่ต้องปั้นจัรยานไปเรื่อย ๆ กว่า 15 กิโล ตลอดทางหนูน้อยคอยพูดจาเจื้อยแจ้วกับแม่จ๋าของเธอไปตลอดทางราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ส่วนในหมูบ้าน เพียงแค่ฟ้าสางเท่านั้นแหละ นางมู่หลีกับลูกสาวทั้งสองก็ออกป่าวประกาศไปทั่วว่า หลี่หนิงซินกับลูกสาวเป็นวัณโรค ตอนนี้อาการหนักและใกล้ตายเต็มทีแล้ว
นั่นก็เพื่อหาข้ออ้างให้ลูกชายของนางได้อย่าขาดกับสองแม่ลูกโดยที่ไม่ถูกชาวบ้านนินทาว่าร้ายอย่างไรเสียงโรคติดต่อจำพวกนี้ก็ไม่มีใครอยากใกล้ชิด หรืออยากเฉียดเข้าใกล้กระท่อมของสองแม่ลูกนั่นแน่ ๆ
1 ชั่วโมงต่อมา
หลี่หนิงซินพาลูกสาวมาจอดรถที่หน้าร้านค้าใหญ่ใจกลางเมืองปักกิ่ง เธอถอดหมวกและถอดผ้าคลุมหน้า พร้อมกับเสื้อกันหนาวของเธอและลูกใส่ตะกร้าเอาไว้ แล้วฝากไว้กับคุณป้าที่ขายน้ำชาอยู่หน้าร้านนั้น
"ป้าจ๊ะ ฉันเอาโกปี๊กับนมชมพูอย่างละ 1 แก้ว ปาท่องโก๋ด้วย 5 ตัวนะจ๊ะ"
"ได้ ๆ แต่รอเดี๋ยวได้ไหมแม่หนู ตอนนี้โต๊ะเต็ม แต่อีกไม่นานหรอก"
"เดี๋ยวฉันจะเข้าไปเดินดูของในร้านค้ารอก็ได้จ้ะป้า ฝากดูจักรยานกับตะกร้าด้วยนะจ๊ะ"
"ได้ลูกได้ เอาจอดไว้ตรงนี้ไม่หายแน่นอน"
จังหวะที่หนิงซินกับเป่าเปากำลังจะเดินไป มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกสองคนแม่ลูกเอาไว้ก่อน
"เดี๋ยวครับคุณ นั่งตรงนี้ก็ได้นะครับ ผมกับลูกน้องกำลังจะไปพอดี"
หนิงซินหันกลับไปมองที่ต้นเสียงก็พบว่าเป็นผู้ชายสูงประมาณ 180 เซนติเมตร ใบหน้าคมเข้มเย็นชา แต่แววตาที่มองมาที่เธอกลับดูอ่อนลงจากบุคลิกที่พบเห็นจนน่าแปลกใจ
"ไม่เป็นไรค่ะฉันไม่รีบ ขอบคุณมากนะคะ เป่าเปาไปดูของข้างในกันเถอะลูก"
"ค่า คุงค่าคุงยุง" (ขอบคุณค่ะคุณลุง)
หลังจากสองคนแม่ลูกเดินไป แต่หูของหนิงซินยังแอบได้ยินกลุ่มคนงานเย้าแหย่กันมาตามหลัง
"อะไรกันครับลูกพี่ ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเห็นลูกพี่สนใจจะพูดกับผู้หญิงคนไหน แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงได้..."
"เงียบไปเลยเถียนซ่วย รีบกินเข้าไป อีกเดี๋ยวหมิงเจ๋อก็เอารถมารับพวกเราแล้ว"
ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าส่ายหัวอย่างระอาเมื่อถูกลูกน้องจ้องจับผิด
"โธ่พี่ชางหยวน เปิดโอกาสให้กับตัวเองบ้างเถอะครับ หรือพี่จะเก็บรักษาความโสดเอาไว้ให้คุณหนูอวิ๋นคนนั้น ผมเห็นนะว่าเธอจ้องแต่จะตะครุบพี่แล้วกลืนลงท้องอยู่ตลอดเวลา"
"พูดมาก!"
น้ำเสียงของหัวหน้าเข้มและจริงจังขึ้นหลายส่วนจนทำให้เถียนซ่วยต้องรีบปิดปากก่อนที่ระเบิดจะลง ทว่าสายตาของชางหยวนกลับมองไปในร้านค้า ราวกับว่ากำลังมองหาใครสักคนที่อยู่ในนั้น
เค้าเจอกันแล้ว พี่แอบมองแต่น้องไม่สนใจ