เช้าวันต่อมา... ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอีกครั้ง หลังจากที่รอน้ำผึ้งนานเกินสามสิบนาที ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มกินเล็กน้อยแล้วบอกกับแม่บ้านประโยคเดิมเป็นครั้งที่สาม
“ไปตามน้ำผึ้งมากินข้าว”
เหล่าแม่บ้านก้มหน้ารับคำสั่งอย่างลำบากใจ ก่อนจะเดินแยกออกไปตามน้ำผึ้งบนห้องอีกครั้ง
“คุณน้ำผึ้งขา ลงไปทานข้าวเถอะนะคะ นายรอคุณอยู่...”
“ก็บอกว่าไม่กินไง!”
น้ำผึ้งลุกขึ้นมาโวยวายพร้อมสลัดผ้าห่มผืนหนาออกด้วยความรำคาญ ก่อนจะดึงมันมาห่อหุ้มร่างกายอีกครั้ง เธอคงรู้สึกสมเพชทรงผมสั้นประบ่าที่ยังแหว่งอยู่เล็กน้อย แม้เธอจะพยายามตัดแต่งให้มันออกมาสวยงาม แต่ผมทรงนี้มันก็ไม่เหมาะกับเธอเอาเสียเลย
“นายรอทานข้าวเกือบชั่วโมงแล้วนะคะ”
“ใครสั่งให้เขารอ”
“แต่นาย...”
“ฉันไม่อยากร่วมโต๊ะกับคนแบบนั้น ขยะแขยง!”
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูห้องทำให้คนใช้ในบ้านสะดุ้งตกใจ แม้แต่น้ำผึ้งเองก็ไม่ต่างกัน ผมรู้ว่าเธอยังคงหวาดกลัวผมอยู่แต่ก็แสร้งทำเป็นเมินเฉย
“ออกไป” ผมออกคำสั่งกับคนของตัวเองก่อนจะเดินไปหาน้ำผึ้งที่นั่งอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา “ที่เจอเมื่อวานไม่ได้ทำให้หนูจำเลยใช่ไหม”
ผมดึงผ้าห่มออกจากร่างเล็ก ซึ่งเธอก็พยายามยื้อแย่งผ้าห่มกลับคืนไป เพราะเธอคงอายทรงผมทรงใหม่ของตัวเอง ดูจากสีหน้าที่บูดบึ้งใส่ผม ก่อนที่เธอจะเอาผ้าห่มไปปกปิดตั้งแต่ต้นคอลงมาเช่นเดิม
“ตกลงไม่กินใช่ไหมข้าว”
“ไม่กิน! ไม่กินอะไรทั้งนั้น”
“งั้นก็ไม่ต้องกิน ป๋าไม่บังคับหนูหรอก แต่อย่ามาร้องขอทีหลังก็แล้วกัน เพราะป๋าจะไม่อนุญาตให้หนูกิน”
ผมดึงผ้าห่มออกจากร่างของคนตัวเล็กอีกครั้ง แล้วอุ้มเธอไปยังทิศทางของห้องน้ำ
“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน” น้ำผึ้งส่งเสียงร้องโวยวายพร้อมทุบตีผมด้วยความโกรธ แต่มีหรือที่ร่างกายของผมจะสะทกสะท้าน แรงทุบเท่ามดไม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ผมวางร่างของเธอลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ก่อนคนโวยวายจะเอ่ยถามเสียงดัง “จะทำอะไรฉันอีก”
“อาบน้ำให้หนูไง”
“ไม่นะ อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” น้ำผึ้งพยายามบ่ายเบี่ยงเมื่อผมยื่นมือเข้าไปปลดกระดุมเสื้อของเธอออก ผมจึงยอมหยุดการกระทำด้วยสีหน้าที่หงุดหงิด
“ป๋าให้เวลายี่สิบนาที จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ถ้าถึงเวลาแล้วหนูยังไม่ออกมาจากห้องน้ำป๋าจะมาช่วยอาบให้” ว่าจบ ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำปล่อยให้น้ำผึ้งจัดการธุระส่วนตัว
ผมพูดจริงนะ ถ้าผ่านไปยี่สิบนาทีแล้วเธอยังไม่ยอมออกมา ผมจะตามเข้าไปอาบน้ำให้ จะช่วยขัดช่วยถูทุกซอกทุกมุมของร่างกายเธอเลย
“จะพาฉันไปไหน” น้ำผึ้งส่งเสียงโวยวาย หลังจากที่เธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็อุ้มกระเตงเธอลงมาจากข้างบนบ้าน ตอนแรกที่เธอยอมสงบปากเสงี่ยมคำ เพราะงคงคิดนะสิว่าผมจะพาเธอลงมาทานข้าว หึ...เธอคิดผิดแล้ว พอผมเดินเลยโต๊ะอาหารไปเธอก็ร้องโวยวายใหญ่เลย “ขะ...ข้าวอยู่นั่น กินข้าวก่อน”
“ไหนบอกว่าไม่กินไง”
“แล้วจะพาฉันไปไหน”
ผมไม่ได้ตอบคำถามของเธอ นอกจากอุ้มเธอขึ้นไปนั่งบนรถตู้คันหรูที่จอดรออยู่หน้าเพนท์เฮาส์ ก่อนจะมีลูกน้องของผมอีกหกคนตามเข้ามารักษาความปลอดภัย
“จะพาฉันไปไหน ฉันถามว่าจะพาฉันไปไหน”
น้ำผึ้งตะโกนถามพร้อมกระชากคอเสื้อของผม เธอคงหงุดหงิดที่ผมไม่ยอมตอบคำถามของเธอสักที ลูกน้องที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็รีบดึงมือของเธอออกทันควัน เพราะกลัวว่าผมจะโมโหล่ะมั้ง ผมจึงตวัดสายตาปรามลูกน้องเชิงบ่งบอกว่าห้ามแตะต้องตัวเธอ ก่อนจะก้มหน้าลงมาพูดกับคนตัวเล็กที่ตอนนี้ยอมเป็นฝ่ายสงบปากสงบคำ
“เรียกคุณป๋าก่อน”
“จะพาฉันไปไหน”
ผมไม่ชอบเลยที่เธอแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ มันฟังดูห้วน ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมจึงเอ่ยถามพลางทำสีหน้าคาดโทษ หวังว่าเธอจะเกรงกลัวผมบ้าง
“หนูแน่ใจเหรอว่าจะเรียกแทนตัวเองแบบนั้นกับป๋า”
น้ำผึ้งถอนหายใจอย่างเอือมระอาก่อนจะเอ่ยถามผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นขึ้น
“จะพาผึ้งไปไหน”
“เรียกคุณป๋าด้วย”
“คุณป๋าจะพาผึ้งไปไหน”
ผมบิดยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินคำถามที่นุ่มนวลขึ้น ผมจับเส้นผมของเธอขึ้นมาดูอย่างรู้สึกผิด ผลงานของผมนี่มันเกินเยียวยาจริง ๆ
“ต่อไปนี้หนูต้องแทนตัวเองว่าผึ้งและเรียกป๋าว่าคุณป๋าตลอด โอ๊ย!” ผมอุทานร้องหลังจากพูดจบประโยค เพราะโดนมือเล็ก ๆ ตีเข้าให้อย่างจัง ก่อนที่ผมจะยกมือปรามลูกน้องที่กำลังจะเข้ามาดึงตัวน้ำผึ้งออก
“แค่ตอบคำถามผึ้งมันยากตรงไหน ทำไมคุณป๋าต้องลีลา”
“ป๋าจะพาหนูไปช็อปปิ้ง”
“ไม่ไป!” คำปฏิเสธของเธอไร้ซึ่งความหมาย เพราะนอกจากผมจะไม่สนใจฟังแล้ว ผมยังรั้งศีรษะทุยเล็กของเธอมาแนบอกอย่างสบายใจอีก
“ปล่อยผึ้งลงเดี๋ยวนี้นะคุณป๋า ผึ้งเดินเองได้” น้ำผึ้งร้องโวยวายเสียงไม่ดังนักเพราะคงกลัวคนจะมอง ขณะที่ผมอุ้มกระเตงเธอเข้ามาภายในห้างสรรพสินค้า โดยมีลูกน้องสองคนเดินตามอยู่ห่าง ๆ
“ขืนปล่อย หนูก็วิ่งหนีป๋าสิ”
“คุณป๋า...ผึ้งอาย” โวยวายไปก็เท่านั้น มีหรือผมจะฟัง
“จัดการทรงผมใหม่ของเธอให้ออกมาสวยที่สุด” ผมพูดกับช่างตัดผมที่มีชื่อเสียง ก่อนจะส่งสายตาคาดโทษน้ำผึ้งเอาไว้ไม่ให้ทำอะไรที่ไม่ควรทำ
น้ำผึ้งมองผมทรงใหม่ของตัวเองผ่านกระจกเงาด้วยความพอใจ ไม่คิดว่าใบหน้าของเธอจะสามารถเข้ากับทรงผมสั้นได้เหมือนกัน ก่อนที่ผมจะเดินมาอุ้มตัวเธอออกไปจากร้าน ปล่อยให้ลูกน้องคนสนิทจัดการค่าใช้จ่ายให้
“คุณป๋าผึ้งอาย” น้ำผึ้งโวยวายอีกครั้งก่อนที่ผมจะวางร่างของเธอลงบนรถเข็นสำหรับวางสินค้า ซึ่งผมได้สั่งลูกน้องอีกคนเตรียมมาไว้ก่อนหน้านี้ “คุณป๋า...”
“อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวตก” ว่าจบ ผมก็เข็นพาเธอไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ยังขาดเหลือ น้ำผึ้งได้แต่กอดอกทำหน้ามุ่ยใส่ผม เธอคงไม่ค่อยชอบที่ผมทำเหมือนเธอเป็นเพียงสิ่งของที่จะจับวางตรงไหนก็ได้
“น้ำ...ผึ้งหิวน้ำ” น้ำผึ้งตะโกนพูดเมื่อเห็นร้านชานมไข่มุก ก่อนจะหันมาสะกิดบอกผมที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ ดูเหมือนว่าชานมไข่มุกน่าจะเป็นเครื่องดื่มสุดโปรดปรานของเธอ ได้เวลาเอาคืนคนที่บอกว่าไม่อยากกินอะไรแล้ว “ไปซื้อน้ำเปล่ามาให้เธอ”
“ไม่เอา ผึ้งอยากกินชานมไข่มุก” ผมหันไปออกคำสั่งกับลูกน้องก่อนที่เธอจะรีบแย้ง ผมจึงบิดยิ้มแล้วโน้มใบหน้าไปพูดที่ข้างหูของเธอเบา ๆ
“อด!”
“คุณป๋า...”
“วันนี้หนูไม่มีสิทธิ์ได้กินอะไรทั้งนั้น เมื่อเช้าหนูเป็นคนพูดเองนะ ป๋าสนองให้” พูดจบผมก็เข็นรถผ่านร้านชานมไข่มุกที่น้ำผึ้งโปรดปราน เธอได้แต่มองเหลียวหลังด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ โคตรสะใจเลยที่ได้แกล้งเด็กดื้ออย่างเธอ
.
.
.
.
.
มาแย้วค๊าบ
น้องโดนคุณป๋าแกล้งอีกแล้ว ร้ายนักนะป๋าเดะให้น้องเอาคืนเลย 555
❤️ กดหัวใจให้กำลังควีนด้วยน๊า
💬 คอมเมนท์พูดคุยกันค๊าบบบ