"เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอันใดนะ ท่านอ๋องเสด็จไปยังตำหนักของนางแพศยานั่นเช่นนั้นหรือ"
"เพคะ"
หลังจากจบคำตอบของนางกำนัลคนสนิทของตน หยุนฟางเซียนถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง และขว้างปาสิ่งของที่อยู่ในบริเวณนั้น ลงพื้นระเนระนาดอย่างที่นางมิเคยทำในตำหนักนี้มาก่อน เหตุใดกัน ท่านอ๋องถึงได้ไม่รีบมาปลอบใจนาง แต่กลับเสด็จไปยังตำหนักของสตรีชั่วช้านั่น นี่นางกำลังมองข้ามสิ่งใดไป
"พวกเจ้ายังรออันใดกันอยู่อีก ไม่รีบไปตามหมอมาดูอาการของแม่นมหลิว พวกเจ้าจะรอให้นางตายก่อนหรืออย่างไร เหตุใดถึงต้องให้ข้าได้บอกไปเสียทุกเรื่อง ไร้ประโยชน์สิ้นดี"
ด้วยแรงโทสะบวกแรงอารมณ์ที่มี พระชายาหยุ่นฟางเซียนที่โดยปกติจะมีนิสัยใจคออ่อนหวาน อ่อนโยนไม่เคยทำร้ายดุด่าบ่าวไพร่ กลับขว้างปาสิ่งของใส่เหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้ตนเอง อย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน รวมถึงจวิ้นอ๋องที่ยืนอยู่นอกตำหนักในตอนนี้เช่นกัน เขาไม่คาดคิดว่าพระชายา ที่แสนดีของเขา จะมีนิสัย ที่ดุร้ายเช่นนี้หรือที่ผ่านมาเขายังรู้จักนางมิดีพอกัน
" เกิดอันใดขึ้น เหตุใดภายในตำหนักนี้ถึงได้มีสภาพเช่นนี้ได้เล่า มีผู้ใดจะบอกกับเปิ่นหวางได้บ้าง"
ด้วยไม่คาดคิดว่าพระสวามีจะเข้ามาในเวลานี้ หยุนฟางเซียนถึงกับพูดคำใดไม่ออก
"เอ่อ เป็นเพราะแม่นมหลิว นางกำลังเจ็บมาก และเจ็บแค้นพระชายาลี่อิน ถึงได้ลงมือทำลายข้าวของในตำหนัก พระองค์ทรงอย่าได้ลงโทษนางเลยนางแก่แล้ว เห็นแก่น้องด้วยเถิดนะเพคะ"
"เป็นเช่นนั้นหรือ งั้นก็แล้วไปเถิด ต่อจากนี้ไปเจ้าก็เตือนนางเอาไว้ด้วยว่าอย่าลามปามพระชายาลี่อินอีก หาไม่แล้วคราวหน้าเปิ่นหวางคงต้องจัดการ ตามกฎของตำหนักอ๋องให้เป็นที่หลาบจำและให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ข้ารับใช้คนอื่น"
คำกล่าวที่จวิ้นอ๋องกล่าวออกมาถึงกับทำให้หยุนฟางเซียนตกตะลึง นางไม่คาดคิดว่าพระสวามีที่ปกติทรงโปรดปรานนางยิ่งกว่าสิ่งใดนั้น จะเข้าข้างเหมยลี่อินได้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดกล่าวโทษนาง ว่ามิรู้จักสั่งสอนอบรมบ่าวไพร่เช่นนั้นหรือ แต่ถึงแม้นว่านางจะไม่พอใจเช่นใด ก็ไม่สามารถที่จะแสดงมันออกไปได้
"น้องทราบแล้วเพคะ หลังจากนี้ น้องจะตักเตือนคนของตนเอง ให้รู้จักสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร"
"ดีแล้วงั้นคืนนี้เจ้าก็ดูแลแม่นมหลิวเถิด พี่จะไปค้างที่ตำหนักใหญ่"
"เพคะ"
หยุ่นฟางเซียนได้แต่ข่มกลั้นความไม่พอใจของตนเอาไว้ในอก จวิ้นอ๋องหยางจิวฮุ่ยไม่เพียงแต่จะไม่ปลอบ โยนนาง มิหนำซ้ำคืนนี้ยังจะไม่อยู่ค้างที่ตำหนักอีก เหตุใดนางจะไม่เข้าใจความไม่พอพระทัยของพระสวามีของนางเล่า ถึงแม้ว่าเขาจะหลงไหลนางเพียงใด แต่เขาก็ถือว่าเป็นบุรุษที่มีความคิดอ่านผู้หนึ่ง ย่อมไม่ชอบที่บ่าวรับใช้ทำตัวตีเสมอเจ้านายเช่นนี้
เมื่อจวิ้นอ๋องได้เข้ามายังตำหนักของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เรียกองครักษ์คนสนิทของเขา ออกมาเพื่อสั่งการบางอย่าง
"หลังจากนี้ไปให้เจ้าจับตาดูพระชายาหยุนฟางเซียน ไม่ว่านางจะทำอันใด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนางให้มารายงานให้กับเปิ่นหวางทราบ"
เมื่อเขาได้มาคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น บางทีความลุ่มหลงอาจจะทำให้เขาตาบอด มองไม่เห็นบางสิ่งที่ควรจะมองเห็นก็เป็นได้...
"คุณหนูจะทำอันใดเจ้าคะเหตุใดถึงได้มอบเงินมากมายถึงเพียงนี้ให้กับถิงถิงกัน"
"เพราะข้าต้องการให้เจ้า ไปจัด การซื้อโรงเตี๊ยม ที่อยู่ในทำเลที่ดีเหมาะแก่การค้าขายราคาจะถือว่าแพงหน่อยก็ไม่เป็นไร และเมื่อตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ไปหาคนงาน มาเตรียมปรับปรุงโรงเตี๊ยม หามามากหน่อยยิ่งดี เพราะข้าต้องการให้มันแล้วเสร็จเร็ว ตามที่ข้ากำหนดไว้ก็น่าจะประมาณสองเดือนนี้ ส่วนลู่ลู่ ไปจัดการหาแม่ครัวและรับสมัครคนงานที่จะเข้ามาทำงานยังโรงเตี๊ยม แค่ไปติดประกาศก็พอ ส่วนเรื่องคัดคนนั้นข้าจะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง และนำแบบร่างนี้ไปให้กับช่างตีเหล็ก ทำอุปกรณ์เหล่านี้ขึ้นมา"
เมื่อได้สั่งการกับสาวใช้คนสนิททั้งสองของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหมยลี่อินก็ได้แยกตัวออกไปต่างหาก เพื่อไปเตรียมขายแบบร่างให้กับพ่อค้าอาวุธ แต่เมื่อนางได้มาคิดให้รอบคอบอีกที นางก็เกรงว่าหากมันตกไปอยู่ในมือคนชั่ว คนเหล่านั้นก็จะเปรียบเสมือนเสือติดปีกไปในทันที เหตุใดนางถึงไม่ขายแบบร่างนี้ให้กับ ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าป็นกลุ่มกำลังทหารภายในแคว้นนี้เล่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็มีบุรุษถึงสองคนที่ทำให้นางคิดถึง นั่นก็คือชินอ๋อง และแม่ทัพหลิวซือหม่า ซึ่งบุรุษทั้งสองคนนี้ถือว่าคุมกำลังทหารมากที่สุดในแคว้นนี้แล้ว
เมื่อกล่าวถึงแม่ทัพหลิวซือหม่า ก็ทำให้นางนึกขึ้นได้ว่า นางยังไม่ได้เตรียมของขวัญไปมอบให้กับเขา ในงานวันเกิดพรุ่งนี้เลย มิหนำซ้ำนางยังไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่จะไปร่วมงานอีกด้วย
เหตุใดนางถึงลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้เล่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นเหมยลี่อินก็ตรงดิ่งไปที่ร้านขายเสื้อผ้าที่อยู่ในละแวกนั้นทันที ส่วนใหญ่เสื้อผ้าสตรีในสมัยนี้ ก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่การไปร่วมงานในครั้งนี้ นางต้องการ ชุดที่สามารถซ่อนอาวุธลับได้ เพราะว่างานในวันพรุ่งนี้นั้น เมื่อในอดีตที่ผ่านมานางจำได้ว่าจะมีคนร้ายลอบเข้ามาในงาน และนางเมื่อครั้งอดีตก็ได้รับบาดเจ็บ เพราะว่าพระสวามีของตนคอยแต่ปกป้องหยุนฟางเซียน เขาเพียงสั่งการให้องครักษ์ของตนมาคอยปกป้องดูแลนางเพียงเท่านั้น แต่ในครั้งนี้นางต้องการที่จะปกป้องดูแลตนเอง มากกว่าที่จะรอคอยการปกป้องจากบุรุษที่ใจดำเช่นนั้น เหมือนเช่นเมื่อกาลก่อนอีกต่อไป และหากมีโอกาสนางก็อยากจะถามในสิ่งที่ค้างคาใจของนางมาตลอดกับบุรุษผู้นั้นเหลือเกิน
และเพื่อเป็นการตอบแทนเขาที่เคยวิ่งเต้น เป็นเดือดเป็นร้อนช่วยชีวิตนาง นางควรที่จะเตือนเขาถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ดีหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ ก็ถือว่านางได้ลงมือช่วยเขาแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเหมยลี่อินจึงได้ลอบเข้าไปยังจวนแม่ทัพหลิวซือหม่า ในกลางดึกคืนนั้นก่อนที่จะถึงวันงาน ซึ่งในตอนนี้เป็นเวลาต้นยามจื่อ (ประมาณห้าทุ่ม) เหมยลี่อินคิดว่าลอบเข้าไปวางจดหมายไว้ที่ห้องหนังสือของเขา ด้วยคิดว่าในเวลานี้เขาอาจจะเข้านอนไปแล้วก็เป็นได้ แต่เรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่นางคาดคิดเอาไว้ หลิวซือหม่ายังคงทำงานอยู่ในห้องหนังสือของเขาในเวลานี้ แต่จะให้เธอถอยกลับก็คงไม่ทันเสียแล้ว คงต้องเดินหน้าอย่างเดียวและอีกอย่างเธอไม่ได้คิดร้ายกับเขา
"ใคร! หึถือว่ามีความสามารถพอตัวที่สามารถผ่านด่านองครักษ์รอบนอกเข้ามาข้างในโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ได้ ต้องการอันใด"
"ตอนแรกข้าว่าจะวางจดหมายไว้แล้วจากไป แต่ในตอนนี้ในเมื่อเจอตัวแล้ว คงไม่จำเป็น งั้นข้าก็จะขอเตือนท่าน พรุ่งนี้จะมีคนร้ายลอบมาที่จวนแห่งนี้ประมาณต้นยามซวี (ประมาณหนึ่งทุ่ม) ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ถือสะว่าข้าได้ทำหน้าที่ของข้าแล้ว ขอลา"
"เจ้าคิดว่า จวนแม่ทัพคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปเช่นนั้นหรือ "
ในขณะที่พูดจบประโยคหลิวซือหม่าก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของเหมยลี่อินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เหมยลี่อินไม่ทันได้ระวังตัว เอวบางของเธอ ถูกรวบเอาไว้ด้วยมือแกร่งนั้น ทำให้เธอโผเข้าสู่อ้อมกอดของบุรุษตรงหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อกลิ่นกายของเหมยลี่อินโชยเข้าจมูกของแม่ทัพหลิวซือหม่า เขาก็สามารถจดจำกลิ่นที่คุ้นเคยนี้ได้แทบจะในทันที