อานีสต์คันปากหยิกๆ อยากเอ่ยถามเหตุผลแต่เมื่อมองสบตากับดวงตาคมกริบที่ถลึงตาห้ามทำให้ไม่กล้าหลุดปากถาม
“กระหม่อมจะหาประวัติของหญิงงามผู้นี้มาให้เร็วที่สุดพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์พยักหน้ารับพลางหันมาต่อว่าแกมสั่งสอนหญิงสาวแสนสวยที่ยังยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผละเดินจากไป
“เจ้าโชคดีที่เจอคู่กรณีอย่างเรา ถ้าหากเป็นคนอื่นเขาคงไม่ยอมความง่ายๆ”
“โชคร้ายไม่ว่าสิ”
นีราพรรณงึมงำสวนกลับทันทีที่ชายชาติชาวอาหรับต่อว่าไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ถึงแม้ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้จะไม่เรียกค่าเสียหายแต่เธอก็ถูกเขาต่อว่าแกมด่ากลายๆ เสียยับ
เจ้าชายฮารีฟร์ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับท่าทางที่บ่งบอกให้รู้ว่าดื้อด้านอยู่ไม่น้อย นัยน์ตาสีดำคมกริบทอดสายตาจ้องมองใบหน้างามลออเพื่อประทับไว้ในดวงใจจากนั้นก็ผละไปขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรออกมา
นีราพรรณมองตามบุรุษชาติอาหรับหล่อเข้มด้วยสายตางงๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย ตะกี้ต่อว่าเธอทั้งถ้อยคำและสายตาจนเธอตัวสั่นหน้าซีดแต่บทจะผละจากไปก็เล่นเดินหนีไปดื้อๆ ทำเอาเธอตามอารมณ์ไม่ทัน
หญิงสาวละสายตาจากบุรุษหนุ่มรูปงามแล้วหยิบนามบัตรขอตนมาหนึ่งใบจากนั้นก็ยื่นให้ชายหนุ่มอีกคนที่เธอคาดเดาว่าอาจเป็นเลขาของคู่กรณี
“นามบัตรของน้ำเหนือ...เอ่อ...ของดิฉันค่ะ”
นีราพรรณรีบเปลี่ยนสรรพนามของตน ลืมไปว่าเธอยังไม่สนิทสนมกับบุรุษชาติชาวอาหรับเหล่านี้มากถึงขนาดให้เรียกชื่อเล่นของเธอได้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์รับนามบัตรมาอ่านในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแสนสวยแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ อย่างต้องการผูกมิตร
“คุณชื่อนีราพรรณหรือครับ”
“ค่ะ เอ่อ...ถ้าคุณไม่รังเกียจะชื่อเล่นน้ำเหนือก็ได้ค่ะ”
นีราพรรณยิ้มหวานให้อีกฝ่ายรู้สึกโล่งอกขึ้นเมื่อได้พูดคุยกับชายผู้นี้ที่มีท่าทางเป็นมิตรกว่าคนที่เป็นเจ้านาย
อานีสต์ หยิบนามบัตรจากเสื้อสูทยื่นให้กับหญิงสาวแล้วเอ่ยแนะนำตัวด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ยินดีที่ได้รู้จักน่ะครับ ผมอานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เป็นองครักษ์ของเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์”
“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณ...”
นีราพรรณชะงักคำพูดไม่รู้จะเรียกชื่อองครักษ์หนุ่มผู้นี้ด้วยชื่อไหนดีเพราะชื่ออีกฝ่ายค่อนข้างยาวเหยียดจนเธอจำไม่ได้
อานีสต์หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยอนุญาตให้หญิงสาวเรียกชื่อต้นของตนเองได้
“เรียกผมว่าอานีสต์ก็ได้ครับ ถ้าจะเรียกเต็มๆ ตามชื่ออาหรับผมว่าคงจะยาวไปหน่อย”
“ขอบคุณค่ะคุณอานีสต์ น้ำเหนือขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้คุณกับเอ่อ...กับเจ้าชายต้องเสียเวลา”
นีราพรรณปรายตามองไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งรออยู่ในรถเบ็นซ์คันงามแต่สิ่งที่เธอมองเห็นผ่านกระจกรถคือแผ่นหลังแข็งแกร่งในชุดสูทสากลที่นั่งตรงแด่วไม่ไหวติง
อานีสต์ยิ้มอบอุ่นให้หญิงสาวที่มีชื่อเล่นแบบไทยๆ แถมยังไพเราะอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณน้ำเหนือไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว ถ้าไงผมคงต้องขอตัวก่อน”
“คุณอานีสต์คะ น้ำเหนือไม่สบายใจเรื่องค่าซ่อมรถ ถ้าไงให้น้ำเหนือรับผิดชอบได้หรือเปล่า ยังไงน้ำเหนือก็ผิดเต็มๆ ที่ขับรถมาชนคุณอานีสต์”
นีราพรรณร้องขอด้วยน้ำเสียงทุกข์ร้อน ถ้าหากเป็นคนอื่นคงดีใจที่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องค่าซ่อมรถ แต่สำหรับเธอแล้วยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่ปล่อยให้คู่กรณีรับผิดชอบค่าซ่อมแต่เพียงฝ่ายเดียว
“คุณน้ำเหนืออย่ากังวลเลยครับ ถ้าหากเจ้าชายปฏิเสธเรื่องค่าใช้จ่ายก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีใครไปบังคับฝืนใจเจ้าชายฮารีฟร์ได้หรอกครับ”
อานีสต์จับความรู้สึกที่เป็นกังวลของหญิงสาวได้จึงแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายได้สบายใจ เขาค่อนข้างถูกชะตากับหญิงสาวผู้นี้เอามากๆ นอกจากจะกล้ารับผิดแล้วยังรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองด้วย
“ถ้าคุณอานีสต์ยืนยันแบบนี้น้ำเหนือคงไม่กล้ารบเร้าอีก”
“อานีสต์!...เจ้าจะเลิกคุยกับเธอได้หรือยัง“
เจ้าชายฮารีฟร์กดกระจกรถลงพร้อมกับตะโกนเรียกองครักษ์เอกด้วยภาษาอาหรับ
“ผมคงต้องขอตัวก่อนน่ะครับ ท่าทางเจ้าชายอารมณ์เริ่มไม่ดีแล้ว”
อานีสต์ยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวที่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบพลางเอ่ยขอตัวอย่างรีบเร่งด้วยรู้ว่าน้ำเสียงที่ตะโกนเรียกค่อนข้างดังของเจ้าชายฮารีฟร์นั้นเต็มไปด้วยกระแสแห่งความไม่พอใจเอาอย่างมาก
“เดินทางโดยปลอดภัยนะคะคุณอานีสต์”
นีราพรรณเอ่ยอวยพรบุรุษชาติอาหรับพออีกฝ่ายโค้งคำนับให้พร้อมกับรอยยิ้มแล้วเดินจากไปเธอก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ จริงๆ แล้วคนที่สมควรอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัยควรจะเป็นองครักษ์อานีสต์เสียมากกว่า
เมื่อรถเบ็นซ์คันงามใหม่เอี่ยมเคลื่อนที่ออกไปจนลับสายตาแล้วนีราพรรณจึงได้เดินเข้าไปสำรวจความเสียหายรถของตนเองบ้าง พอได้เห็นร่องรอยความเสียหายทำเอาลมแทบใส่ งานนี้ได้เสียค่าซ่อมรถเป็นหมื่นแน่
หญิงสาวเดินโผเผเข้าไปนั่งในรถพลางซบหน้ากับพวงมาลัย ใบหน้างามเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความหมองเศร้า วันนี้เป็นวันวิปโยคหรืออย่างไร เริ่มตั้งแต่เช้าก็มีเรื่องทุกข์ใจให้ทะเลาะกับมารดา พอออกมาจากบ้านก็มาเจออุบัติเหตุบนท้องถนนอีก เธอซบหน้านิ่งกับพวงมาลัยเป็นเวลานานหลายนาที พอเงยหน้าขึ้นเห็นตัวเลขเวลาบนหน้าปัดรถยนต์ก็ทำให้ต้องร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ
“แย่แล้วเก้าโมงครึ่งแล้ว เลยเวลาประชุมมาเกือบชั่วโมง ป่านนี้คณะกรรมการได้บ่นตายแน่เลย”
นีราพรรณบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งพร้อมกับสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หัวสมองคิดถึงแต่เรื่องงานและคำแก้ตัวที่จะเอ่ยขอโทษกับบรรดาคณะกรรมการโรงแรมที่ต้องนั่งรอเธอคนเดียวเป็นเวลานานนับชั่วโมง...
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ กระซิบบอกลูกน้องที่ทำหน้าที่เป็นสารถีให้ขับรถด้วยความนุ่มนวลไม่ให้กระทบกระเทือนอารมณ์ร้อนที่กำลังจะเดือดของเจ้าชายฮารีฟร์ เขาหยิบนามบัตรสวยงามใบเล็กที่ได้จากนีราพรรณขึ้นมาดูครู่หนึ่งจากนั้นก็แย้มยิ้มบางๆ แล้วยื่นให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ที่นั่งคู่กันด้านเบาะหลัง
“พระองค์พะยะค่ะ นามบัตรของคุณนีราพรรณพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ รับนามบัตรมาจากองครักษ์กวาดสายตามองชื่อนามสกุล ตำแหน่งหน้าที่การงานที่พิมพ์ไว้อย่างสวยงามด้วยตัวหนังสือสีทอง ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจขณะที่อ่านชื่อและนามสกุลของหญิงสาวที่แทบเรียกได้ว่าต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบก็ว่าได้
“นีราพรรณ กมลเนตร ประธานโรงแรมเดอะธาราแกรนด์โฮเทล”
“พะยะค่ะพระองค์ คุณน้ำเหนือเป็นประธานโรงแรมที่เราเพิ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่สัปดาห์”
อานีสต์ ยิ้มกริ่มขณะที่เอ่ยบอกเจ้าเหนือหัว ดีใจที่คุณนีราพรรณหรือน้ำเหนือเป็นคนใกล้ตัวทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาในการสืบเสาะตามหาประวัติของหญิงงามที่เจ้าชายฮารีฟร์ต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบ
เจ้าชายฮารีฟร์เลิกคิ้วเข้มหนาขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาคมกริบจ้องมององครักษ์เอกด้วยความแปลกใจ
“นี่เจ้าคุยกับเธอแค่ไม่กี่นาทีก็รู้จักชื่อเล่นเธอแล้วหรือ”
“พะยะค่ะ คุณนีราพรรณชื่อเล่นชื่อน้ำเหนือพะยะค่ะ ชื่อน่ารักสมกับเจ้าตัวจริงๆ”
น้ำเสียงขององครักษ์เอกที่เอื้อนเอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความนิยมชมชอบทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัวต้องเลิกคิ้วหันมามองอีกครั้ง
“เจ้าชอบเธอหรืออานีสต์”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยถามอย่างปลงๆ ถ้าหากองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ภักดีต่อตนได้มีใจรักต่อนีราพรรณเขาเองก็พร้อมที่จะหลีกทางให้
อานีสต์หัวเราะในลำคอเบาๆ รู้ความนัยของคำถามที่เจ้าเหนือหัวได้เอ่ยออกมา ถ้าหากเขาบอกว่ารักคุณนีราพรรณ ไม่ว่าจะต้องใจรักภักดีต่อหญิงสาวมากเพียงใดเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เจ้าชายผู้เสียสละมีอันต้องหลีกทางให้กับตนเองอย่างแน่นอน
“กระหม่อมชอบคุณน้ำเหนือพะยะค่ะ แต่ว่าชอบแบบพี่ชายชอบน้องสาวเสียมากกว่า กระหม่อมถูกชะตาคุณน้ำเหนือตั้งแต่ได้พูดคุยกับเธอ”
“อานีสต์ เจ้าคิดว่าหญิงสาวที่งดงามอ่อนหวานอย่างน้ำเหนือจะมีคู่รักหรือยัง”
เจ้าชายรูปงามหล่อเหลาดุจดังบุรุษอาหรับโบราณเอนกายพิงเบาะรถพลางถอนหายใจยาวขณะที่เอ่ยถามองครักษ์ ในใจภาวนาให้นีราพรรณหรือน้ำเหนือยังไม่มีภุมรินแวะเวียนมาลิ้มลองเรณูเกสรดอกไม้ที่แสนงดงาม
“กระหม่อมขอคิดเข้าข้างพระองค์ไว้ก่อน กระหม่อมคิดว่าไม่น่าจะมีพะยะค่ะ”
ด้วยรู้ว่าเจ้าเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศอัลนูรีนได้ต้องใจกับหญิงสาวชาวสยามที่แสนงดงามทำให้อานีสต์ได้ภาวนาขอให้นีราพรรณอย่างเพิ่งมีคนรักเลย เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ผู้ครองราชบัลลังก์อัลนูรีนแทนพระบิดาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มมิเคยให้ความสนใจกับหญิงใดมากเป็นพิเศษ หญิงสาวทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งล้วนแต่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปมิได้ทำให้เจ้าชายประทับใจหรือจดจำจนต้องเรียกหาเหมือนดังนีราพรรณหญิงสาวที่น่าหลงใหลใคร่เสน่หา
เจ้าชายฮารีฟร์ทอดสายตาจ้องมองแน่นิ่งนามบัตรที่ถืออยู่ในมือพร้อมกับเอ่ยบอกความในใจของตนเองให้องครักษ์เอกได้รับรู้
“ถ้าหากน้ำเหนือเป็นของเราและเกิดมาเพื่อเราไม่ว่าเธอจะมีคนรักหรือไม่!...เราก็จะช่วงชิงมาเป็นของเราให้จงได้”
อานีสต์ลอบถอนหายใจยาวขณะที่ได้ยินถ้อยคำหมายมั่นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากสีสดของเจ้าแห่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าหากได้เอ่ยเช่นนี้แล้วเจ้าชายฮารีฟร์มีอันได้ลงมือทำตามความต้องการของตนเองเป็นแน่...
“พระองค์พะยะค่ะ พระองค์จะอยู่ที่เมืองไทยนานแค่ไหน”
“ไม่เกินเดือนอานีสต์ เราไม่อยากจากอัลนูรีนนานเกินไป”
ซุ่มเสียงที่เอื้อนเอ่ยตอบคำถามขององครักษ์เอกเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยระคนเจ็บปวดกับปัญหาช่วงชิงราชบัลลังก์...ช่วงชิงแผ่นดินเกิด ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นหมักหมมก่อตัวเป็นคลื่นลูกเล็กมาอย่างช้านานจนกระทั่ง เจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาต่างมารดาได้เติบโตขึ้น เกลียวคลื่นแห่งความริษยาอาฆาต การช่วงชิงราชบัลลังก์ก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นลูกใหญ่เตรียมพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ราชบัลลังก์ไปไว้ในครอบครอง เขาไม่เคยพบเจ้าชายชารีฟร์ อนุชาต่างมารดา เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอมเผยตัวให้ใครได้พบเห็นง่ายๆ ชารีฟร์มีกองกำลังเล็กๆ เป็นชนเผ่า ‘คาลีส์’ แฝงกายอยู่ทางชายแดนประเทศคอยต่อต้านรัฐบาลอัลนูรีน ทั้งตัวเขาและอนุชาอีกคนคือ เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ต่างก็ช่วยกันประคับประคองให้คนในสายเลือดเดียวกันได้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุข แต่เจ้าชายชารีฟร์กลับปฏิเสธสิ่งที่เชษฐาทั้งสองได้หยิบยื่นให้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ องครักษ์เอกที่คอยให้การอารักขาเจ้าชายฮารีฟร์มาตั้งแต่แรกรุ่นได้ทราบดีถึงปัญหาศึกชิงราชบัลลังก์อัลนูรีน เขารู้ว่าเจ้าชายไม่อยากอยู่เมืองไทยเป็นเวลานานเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นช่องโหว๋ให้เจ้าชายชารีฟร์ได้ส่งกองกำลังเข้ามาเข่นฆ่าคนในประเทศเดียวกัน และการเดินทางมาเมืองไทยของเจ้าชายฮารีฟร์ในครั้งนี้ค่อนข้างเป็นความลับเนื่องจากไม่อยากให้เจ้าชายฮารีฟร์ต้องตกเป็นเป้าหมายในการถูกลอบสังหาร
“เสร็จจากการทำธุระที่เมืองไทยแล้วพระองค์จะกลับอัลนูรีนเลยใช่มั้ยพะยะค่ะ”
“อืม...อาจจะเป็นเช่นนั้น จริงๆ แล้วเราอยากไปเยี่ยมซารีฟร์ที่อเมริกาก่อน ถ้าหากสถานการณ์ในอัลนูรีนไม่ร้อนระอุมากเกินไปเราอาจไปเยี่ยมซารีฟร์ก่อนที่จะกลับอัลนูรีน”
เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ได้ไปศึกษาต่อด้านกฎหมายในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด การไปศึกษาต่อยังต่างบ้านต่างแดนห่างไกลกันคนละซีกโลกทำให้สองพี่น้องไม่มีเวลาพบเจอกันสักเท่าไหร่
“กระหม่อมได้แต่ภาวนาให้เจ้าชายชารีฟร์สงบศึกพักการช่วงชิงราชบัลลังค์ไว้ชั่วคราว เพื่อให้พระองค์ได้พักผ่อนได้พบเจาะเจอกับเจ้าชายซารีฟร์บ้าง”
อานีสต์ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจเป็นกังวลแทนเจ้าเหนือหัวของตน เจ้าชายฮารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์ไม่ได้พบกันมาเกือบปีแล้ว ด้วยงานทำนุบำรุงสุขให้ราษฎรอัลนูรีนได้อยู่ร่วมกันอย่างสุขสบายทำให้เจ้าชายทั้งสองต่างก็ละทิ้งความสุขของตนทรงงานหนักด้วยกันทั้งคู่จนไม่มีเวลาได้พบปะสังสรรค์กันตามประสาพี่น้อง ส่วนเจ้าชายซารีฟร์ก็ไม่ได้เรียนแต่เพียงอย่างเดียวแต่พระองค์ได้ศึกษาวัฒนธรรมวิทยาการล้ำสมัยของประเทศที่เจริญแล้วนำกลับมาพัฒนาประเทศอัลนูรีนบ้านเกิดเมืองนอนของตน
“เราก็ได้แต่ภาวนาเช่นเดียวกันกับเจ้า เราภาวนาต่อเม็ดทรายสีทองนับแสนนับล้านเม็ดทั่วทั้งอัลนูรีนให้ช่วยดลบันดาลใจเปลี่ยนจิตใจที่แข็งกร้าวกระหายเลือดของเจ้าชายชารีฟร์ อนุชาของเราให้แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณีต่อราษฎรอัลนูรีน”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยบอกจากใจจริง เขาได้แต่หวังว่าสักวันชารีฟร์จะได้เห็นคุณค่าความรักความเมตตาที่เชษฐาทั้งสองได้มอบให้กับอนุชาผู้มีสายเลือดอัลนูรีนที่เข้มข้นทุกหยาดหยด...