บทนำ
เฟยเฟย หญิงสาวที่โตมาในบ้านเด็กกำพร้า เมื่ออายุ 18 จำต้องออกมาใช้ชีวิตด้วยตนเอง เพราะบ้านเด็กกำพร้าต้องรับชีวิตใหม่เข้ามาแทนที่เธอ ที่โตพอจะดูแลตนเองได้แล้ว ยิ่งรู้ว่าโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่ได้สวยงามอย่างที่เป็น มีทั้งการกดขี่ข่มเหง กดดัน แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น การวางอำนาจเพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น
เฟยเฟยเป็นคนละเอียดอ่อนและเข้าใจความยากลำบากของชีวิตได้ดี ตั้งแต่ออกจากบ้านเด็กกำพร้า เธอทำงานหลายอย่างเพื่อส่งเสียตัวเอง บางครั้งต้องทำงานทั้งเช้าและกลางคืน แต่เธอก็ไม่เคยบ่น เพราะเธอเชื่อว่าทุกความลำบากที่เจอจะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น
ด้วยความที่โตขึ้นมาด้วยความขาดแคลน เฟยเฟยรู้จักคุณค่าของสิ่งเล็กน้อย และมักจะเก็บเงินและสิ่งของเล็ก ๆ น้อยๆ ไว้อย่างระมัดระวัง แม้เธอจะไม่มีครอบครัว แต่เธอไม่เคยอิจฉาคนอื่นที่มี เพราะเธอเข้าใจว่าแต่ละคนมีชะตาของตัวเอง การขาดคนหนุนหลังทำให้เธอเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองและไม่พึ่งพาผู้อื่นง่าย ๆ เธอจึงเป็นคนที่เข้มแข็ง และมักจะทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อความสำเร็จของตัวเอง
เฟยเฟยเชื่อว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนจะช่วยให้เธอได้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ในสังคมที่บางครั้งโหดร้ายและไม่ยุติธรรม หากเจอคนที่กดขี่หรือเอาเปรียบ เธอมักจะใช้วิธีสงบและหลีกเลี่ยงการมีปัญหา ยอมทนและเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ แต่ในใจลึก ๆ เธอยังมีความหวังว่า สักวันจะมีคนที่เข้าใจเธอและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เธอเป็น
หญิงสาวเปิดหน้าจอโทรศัพท์เมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนเงินเดือนเข้าด้วยจิตใจเบิกบาน เธอนั้นไม่รู้วันเกิดตัวเอง ตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ใช้วันเกิดเดียวกันกับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน เพื่อที่จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย ทางบ้านเด็กจะจัดวันเกิดเดือนละครั้ง สำหรับเด็กที่เกิดในเดือนนั้น ๆ ซึ่งตัวเฟยเฟยเองก็ไม่แน่ใจว่าตนเองเกิดวันเดียวกับในบัตรประชาชนหรือเปล่า เมื่อแยกตัวออกมาและมีงานทำ เธอจึงใช้วันเงินเดือนออกของทุกเดือนเป็นวันเกิด
วันเกิดที่มีทุกเดือน ไม่ได้มีเพียงปีละครั้ง
จะว่าเธอขาดสิ่งนี้ก็ไม่ผิด แต่ตลอดทั้งเดือนเธอประหยัดขั้นสุด เมื่อถึงวันเงินเดือนออกเฟยเฟยจึงใช้ข้ออ้างว่าจัดวันเกิดให้ตนเอง ซื้อของกินที่อยากกินและซื้อของบางสิ่งที่อยากได้
“ฟู่” และไม่ลืมเป่าเค้กก้อนจิ๋วที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ “ผ่านไปอีกเดือนแล้วนะเฟยเฟย เธอเก่งมาก” เฟยเฟยอดที่จะภูมิใจเล็ก ๆ ในตัวเองไม่ได้ เธอใช้ชีวิตอยู่เช่นนั้นตลอดมา
แต่เหมือนชะตาฟ้ากำหนด เมื่อเกิดอุบัติเหตุพรากชีวิตของเธอ แต่ดวงวิญญาณไม่ได้ดับสูญไปตามกาลเวลา เธอถูกดูดมายังดินแดนในยุคโบราณ มาสิงร่างของหญิงงามผู้หนึ่ง ผู้ที่มีพรั่งพร้อมทุกอย่าง ครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต่างมีชะตาเป็นของตนเอง หญิงงามผู้นั้นแม้จะได้เป็นถึงสนมรักของฮ่องเต้ แต่กลับถูกใส่ร้ายจนต้องมาถูกขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เมื่ออับจนหนทางและมิอาจทนความยากลำบากได้ สนมผู้งดงามเลือกที่จะใช้ผ้าขาวแทนการมีชีวิตต่ออย่างอดสู
เสียงร้อง “โอ๊ย” ดังสะท้อนเบา ๆ ภายในตำหนักเย็นร้าง เธอไม่เคยรู้สึกว่าการตกบันไดจะเจ็บขนาดนี้ นั่งกุมข้อเท้าอยู่สักพัก กวาดตามองไปรอบตัว ก่อนรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด วังที่เธอจำได้ว่าเพิ่งเห็นในซีรีส์โบราณ ตอนนี้กลับอยู่ตรงหน้าอย่างสมจริง ทั้งผนังหินที่เย็นเฉียบ บรรยากาศเงียบสงัด และกลิ่นอายของสิ่งที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน
“นี่เราทะลุมิติมาเหรอ” เธอพึมพำ พลางหัวเราะหยันตัวเอง
จากชีวิตเด็กกำพร้าที่ต้องปากกัดตีนถีบมาตลอด ทั้งทำงานพิเศษไม่รู้กี่งาน นอนบนฟูกเก่าในห้องเช่าที่แทบจะล้มพัง ความฝันที่จะมีชีวิตสบายถูกลืมไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้…กลับต้องมานั่งในตำหนักเย็น ท่ามกลางกำแพงสูงและลานกว้างเหมือนคุกที่ไม่มีทางออก
แม้จะถูกขังอยู่ในที่ซึ่งใครต่อใครต่างบอกว่าคือ “ตำหนักเย็น” ซึ่งเป็นสถานที่เลวร้าย แต่สำหรับเธอ มันช่างเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ต่างอะไรจากสนามเด็กเล่นที่ถูกล้อมด้วยกำแพงเท่านั้น นั่ง ๆ นอน ๆ ยังมีคนรับใช้เอาอาหารมาเสิร์ฟถึงที่ ขนาดในห้องเช่าของเธอยังไม่มีแบบนี้!
“ตำหนักเย็นแค่นี้เองเหรอ สบายยิ่งกว่าชีวิตก่อนเสียอีก” เธอพูดกับตัวเองพลางนอนเหยียดกายลงกับเตียง หัวเราะคิกคัก เพราะรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันน่าขำจริง ๆ
แต่ในขณะที่เธอคิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ประตูไม้ใหญ่ของตำหนักเย็นกลับส่งเสียงดังแอ๊ดออกมา เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังเข้ามาใกล้…ดูท่าความสงบสุขที่คิดเอาไว้คงจะไม่มีจริง
แต่สำหรับเฟยเฟยนั้นมิใช่ ตำหนักเย็นแห่งนี้มิต่างจากสนามเด็กเล่นเลยสักนิด จะยากลำบากเท่าไรกันเชียว ยากกว่าชีวิตเดิมของเธอหรือเปล่าล่ะ