ประตูเหล็กเลื่อนเปิดออกทำให้เกิดเสียงดังน่ารำคาญพอ ๆ กับเสียงโวยวายจากด้านนอก ภาพแรกที่ม่านอวี้อันเห็นคือ สตรีวัยกลางคน อายุคงราว ๆ ห้าสิบกว่าปี
ยามนั้นเยว่จือเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เธอพยายามออกมายืนอยู่ข้างหน้าม่านอวี้อัน แต่ก็มีอาการกล้า ๆ กลัว ๆ จนน่าสงสาร
“ป้าลี่ มีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ” เมื่อเยว่จือคลำหาเสียงตัวเองพบก็ถามไถ่อีกฝ่าย
“หน็อย นังเด็กเหลือขอ ยังกล้าเรียกฉันว่าป้าอีกเหรอ แล้วคุณนายอันของแกก็เหมือนกัน มุดหัวอยู่ในบ้านสี่ห้าวัน แหม แกล้งทำเป็นสำออย อยากให้ลูกชายฉันวิ่งเต้นตามหมอให้สินะ มารยาชั้นต่ำอย่างกับละครรักดอกไม้โรยที่ฉายช่วงกลางวัน พวกเธอทั้งนายทั้งบ่าวมีดีตรงไหนหา ถึงกล้าคิดอยากให้คนอื่นเขาดูแล”
ลี่ฮุ่ยสาดคำพูดร้ายกาจราวกับปากของเธอมีของเน่าและหนอนตัวเป้ง ๆ อยู่ในนั้นจนม่านอวี้อันเกือบเหลืออด เธอกำหมัดแน่น พยายามข่มใจที่เดือดเอาไว้ อย่างไรเธอก็ต้องฉลาดให้มาก ด้วยจำเป็นต้องรู้ว่าที่ผ่านมาเยว่จือกับนายของเธอรับมือกับคนที่มาหาเรื่องอย่างไร
“พูดอะไรเกรงใจกันบ้างนะป้าลี่ อีกอย่างเป็นเพราะเฮียข่ายเขามีจิตใจดี ชอบแบ่งปันหนูกับคุณผู้หญิง เอ่อ มาดามอันต่างหาก”
ขณะเดียวกันลี่ฮุ่ยก็นึกว่าตนเองหูฝาด นอกจากเยว่จือจะกล้าต่อปากต่อคำกับตนราวกับมีใครหนุนหลัง เด็กสาวยังเรียกม่านอวี้อันว่า ‘มาดาม’ ผับผ่า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“นี่คงป่วยหนักทั้งนายและขี้ข้าสินะ ถึงพูดจาพิลึกหูอย่างนี้” ลี่ฮุ่ยยังไม่หยุดล้งเล้งเสียงดัง ก่อนกวาดตามองหน้าของเยว่จือ
“แล้วนั่น หน้าแกไปโดนอะไรมาฮึ” ลี่ฮุ่ยจ้องใบหน้าแดงช้ำที่ตอนนี้เริ่มเขียวขึ้นของเยว่จือ ซึ่งอันที่จริง ช่วงที่ทำงานในครัว ม่านอวี้อันก็ให้เด็กสาวประคบไข่ต้มแล้ว
“หูหนวกรึ ป้าถามว่าหน้าแกไปโดนใครตบมา!”
ม่านอวี้อันทนฟังคนพูดจาไม่เข้าหูนานเกินไปแล้ว เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า
“เอ่อ... ป้าลี่ ฉันไม่ค่อยสบาย ตอนนี้ลูกรอกินข้าวอยู่ หากไม่มีธุระอะไร ฉันขอตัวก่อน”
“ต๊าย คุณนายอัน เปิดปากพูดเป็นแล้วรึ ป้านึกว่าที่ผ่านมาเธอกลัวทองจะร่วงจากปากเสียอีก เห็นกันมาสามสี่ปี นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ส่งเสียงตอบโต้ป้าเกินห้าคำ!”
ลี่ฮุ่ยเล่นใหญ่เล่นโต เธอคงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือผู้หญิงเลือดร้อนและพร้อมบวกแบบจัดหนัก
“แล้วป้าลี่ล่ะ ยืนตะโกนป่าว ๆ อย่างนี้ ทำเหมือนฉันกับเย่วจือไปสร้างความเดือดร้อนให้”
“โอ๊ย เดือดร้อนสิ นี่ถ้าลูกชายป้าอยู่บ้าน คงวิ่งเต้นหาหมอมารักษาเธอแล้ว และไหนจะของกินของใช้อีก คอยแอบเอามาให้กันยามกลางค่ำกลางคืน เธอน่ะหัดเจียมตัวเสียบ้าง ลูกก็มีแล้ว หากไม่อายคนอื่นก็เห็นแก่ผมหงอกบนหัวฉันสักหน่อยเถอะ วัน ๆ คิดแต่จะให้ท่าทอดสะพานให้ลูกชายฉันอยู่ตลอด เห็นแล้วขัดหูขัดตาจริง ๆ”
ในที่สุดม่านอวี้อันก็รับรู้ความในใจของลี่ฮุ่ย อีกฝ่ายคงเป็นนางสิงห์หวงลูกชาย และ ‘อาข่าย’ หรือเจิ้งข่ายคงมีใจให้เจ้าของร่างนี้ไม่น้อย
“เรื่องหัวใจห้ามกันไม่ได้นะป้าลี่ ใครจะรักจะชอบกัน หรือแม้แต่เกลียดชัง ก็คงต้องปล่อยกันไป แล้วถ้ามีเรื่องอยากระบายแค่นี้ ฉันไม่ว่างรับฟัง!” ม่านอวี้อันเอ่ยจบก็ดึงแขนเยว่จือที่ยังยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นให้เข้าบ้าน แต่เป็นลี่ฮุ่ยที่เอ่ยขัดเสียก่อน
“ฮึ ป้าจะบอกอะไรให้ ตอนนี้อาข่ายเขาไม่อยู่ร้านหรอก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็กลัวผิงเกอกับเจียวเกอจะถูกเธอตบตี หรือไม่คงเอาไปขายให้แก๊งมังกรซิ่ง จึงขอร้องให้ฉันมาสอดส่องอยู่บ่อย ๆ”
สิ่งที่ลี่ฮุ่ยเอ่ยขึ้นมานั้นสร้างความประหลาดใจแก่ม่านอวี้อัน ซึ่งหลังจากนั้น สตรีวัยกลางคนก็ได้ถือวิสาสะก้าวพรวด ๆ เข้าไปในบ้าน!
“ป้ารู้หรอกนะ คุณนายมือบางตีนบางอย่างเธอจะทำอะไรเป็น พอถูกจับได้ว่าคิดขายลูกให้แก๊งมังกรซิ่งก็ทำสำออย ล้มหมอนนอนเสื่อ”
ม่านอวี้อันไม่ตอบ เธออยากรู้หลายสิ่ง ซึ่งหากจะให้ดีก็ควรมาจากปากของลี่ฮุ่ยคนนี้
“ระวังคำพูดบ้างป้าลี่ กล่าวหาแบบนี้มันเกินไปหน่อย” เยว่จือทนไม่ไหวเลยต่อว่าลี่ฮุ่ย
ม่านอวี้อันยกมือห้ามเยว่จือ เด็กสาวเลยเก็บปากเงียบ
“เฮ้อ คุณนายอัน อย่าหาว่าสอนเลยนะ เธอน่ะ เปิดร้านอาหารไม่รุ่งหรอก ทางที่ดีหัดรับจ้างซักผ้า หรือไม่ก็ยอมเหนื่อยหน่อย รับงานร้อยดอกไม้หรือพับถุงกระดาษขายคงพอมีเงินซื้อข้าวสาร ซื้อไข่อยู่บ้าง อย่าได้รักสบายไปหน่อยเลย สงสารนังหนูเยว่จือบ้าง อีกสักหน่อยมันคงต้องออกเรือน ไม่อยู่ให้เธอกดหัวใช้งาน”
เยว่จือส่ายหน้าเร็วหวือ เธอไม่เคยคิดเช่นนั้น ม่านอวี้อันไม่เคยใจร้ายต่อเธอ อีกทั้งก่อนหน้านี้ บิดาและมารดาอีกฝ่ายก็เป็นคนรับเธอมาอุปการะ เพื่อให้เธอไม่ต้องถูกขายในซ่อง!
“หนูไม่เคยคิดไปจากมาดาม อีกอย่าง ชีวิตนี้หนูจะอยู่รับใช้มาดามจนกว่าจะ...” เยว่จือไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดต่อ เธออัดอั้นตันใจ และเป็นตอนนั้นที่ลี่ฮุ่ยยิ้มเยาะ
“นังหนู อีกหน่อยเจอผู้ชายดี ๆ ขี้คร้านแกจะหนีตามเขาไป”
ม่านอวี้อันถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่ คนอย่างลี่ฮุ่ยสมควรเป็นเพื่อนข้างบ้านเธอจริง ๆ ปากอย่างนี้ควรอยู่ใกล้ตัว เพื่อจะได้คอยเป็นโทรโข่งให้ม่านอวี้อัน!
เมื่อลี่ฮุ่ยเห็นว่าม่านอวี้อันไม่ตอบโต้ หญิงวัยกลางคนก็สืบเท้าเข้าไปข้างในต่อ หล่อนตั้งใจไปดูเด็กฝาแฝดทั้งสองคนว่ายังอยู่ดีมีสุขหรือไม่
เป็นช่วงเวลาที่ม่านอวี้อันได้เห็นด้านหลังของเสื้อยืดที่อีกฝ่ายสวมใส่ ซึ่งสกรีนโลโก้การแข่งขันกีฬาระดับโลก
“ตอนนี้ปี 1986 ใช่ไหม!”
ม่านอวี้อันถามด้วยความตื่นเต้น เธอจำได้แม่นว่าในปีดังกล่าวจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับประเทศนี้ เพราะมีนักกีฬาม้ามืดที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง เขาสามารถคว้าเหรียญทองเหรียญแรกได้สำเร็จ สร้างความสุขให้คนในชาติ ทำให้ผู้คนเฉลิมฉลองความดีใจจนลากยาวไปถึงเทศกาลปีใหม่ และเธอจะใช้โอกาสจากการล่วงรู้เหตุการณ์ในโลกอนาคตมาสร้างเม็ดเงินให้ตนได้ลืมตาอ้าปาก
“ค่ะ... ปีนี้ค.ศ.1986 มาดามจำไม่ได้หรือคะ”
“แล้วกำลังมีการแข่งขันกีฬาใช่ไหม...”
“เอ๋ ก็ใช่ค่ะ แล้วยังไง...” เยว่จือไม่ได้สนใจเรื่องกีฬา ตอนนี้เธออยากจะพุ่งเข้าไปขวางลี่ฮุ่ยที่ก้าวเข้าไปวุ่นวายในบ้านมากกว่า
“ดี ต่อไปเราจะรวยใหญ่แล้ว”
และม่านอวี้อันก็ยิ่งทำให้เยว่จือสับสนหนักขึ้นไปอีก เมื่อครู่ยังชวนเธอเข้าบ้านอยู่ดี ๆ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้แสดงท่าทีแปลกประหลาดราวกับถูกผีเข้า
“แต่ก่อนจะรวย ให้หนูไปไล่ป้าลี่ก่อนดีไหม”
“โอ๊ย เล็กน้อย เดี๋ยวฉันจัดการเอง เธอคอยดูฝีมือแล้วกัน”
“จะได้ยังไง ปกติแค่ป้าลี่เสียงดัง มาดามก็ยกมือปิดหู กลัวหน้าซีดจะเป็นลม แทบจะวิ่งไปหาหลุมหลบภัย ยังกับหมาแมว เวลาได้ยินเสียงพลุ เสียงคนจุดประทัดตอนปีใหม่!”
“ตายละ ฉันขี้ขลาดขนาดนั้นเลยหรือ”
เยว่จือจะตอบยังไงดี กระนั้นก็เลือกเอ่ยว่า
“มาดามไม่ชอบเสียงดัง ๆ และปวดหัวทุกครั้งเวลามีอะไรกระทบจิตใจ”
“ฉันคนเก่าช่างเปราะบาง มิน่าถึงได้ถูกทิ้งให้เป็นหม้ายแบบนี้” เอ่ยจบ ม่านอวี้อันก็ก้าวเข้าไปในบ้าน ตามหลังลี่ฮุ่ยไปติด ๆ
ซึ่งขณะนั้นลี่ฮุ่ยกับไม่ได้ตรงไปหาเด็กฝาแฝดทั้งสองคน แต่เธอกลับเดินตามกลิ่นหอม ๆ เข้าไปในครัวราวกับถูกดึงดูดด้วยรสชาติที่สร้างความสุขอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
วินาทีต่อมา หญิงวัยกลางคนก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่วางอยู่บนตะแกรงสแตนเลสที่มีพัดลมเปิดระบายความร้อนอยู่
ลี่ฮุ่ยมองขนมเค้กชิ้นนั้นแล้วก็ต้องยกมือขึ้นทาบอก หัวใจเธอเต้นแรง ร่างกายอุ่นซ่านขึ้น
นานเท่าไรแล้ว ที่ไม่เคยเห็นอาหารที่สร้างความอยากกินได้มากมายเพียงนี้
สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น เธอเคยเห็นแต่ในรูปภาพ หรือไม่ก็งานเลี้ยงหรูหราตอนที่สามีเธอยังไม่ขอแยกทางกัน
“คะ เค้กกล้วยหอม...” ลี่ฮุ่ยว่าเสียงสั่น ก่อนสืบเท้าเข้าไปมองใกล้ ๆ เธอแทบจะลืมหายใจด้วยซ้ำ นอกจากกลิ่นเนย กลิ่นกล้วยหอมแล้ว ยังมีอีกกลิ่นหนึ่งที่ทำให้เธอทึ่งจัด เค้กดังกล่าวผสมอบเชยป่นเข้าไปในตัวเนื้อแป้ง!
หอมมาก หอมเย้ายวน เป็นการผสมผสานอย่างลงตัว นอกจากนั้นยังมีเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับหยาบโรยด้านบนสุด หล่อนสัมผัสได้ถึงความหวาน มัน และรสชาติละมุนตรงปลายลิ้น
“ยอดเยี่ยม! หน้าก็แตกพอดี โปะด้วยกล้วยหอมที่ฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ทับไว้อีกชั้น แบบนี้ป้าต้องรีบไปเรียกให้คนมาถ่ายรูป!”
น้ำเสียงลี่ฮุ่ยเปลี่ยนไป เป็นภาพที่เยว่จือต้องยืนงงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันไปมองม่านอวี้อันและเอ่ยถามว่า
“เอ่อ มาดาม... รู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมคะว่าต้องเป็นแบบนี้!”
“อือฮึ ฉันเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง มันอาจเสี่ยงอยู่มาก แต่ยิ่งเสี่ยง ก็ยิ่งน่าตื่นเต้นดีออก ตอนนี้ฉันตกเหยื่อรายแรกสำเร็จแล้วละ เสี่ยวจือ”