“แม่ครับ”
“หืม?”
“จริง ๆ ผมมีคนในใจอยู่แล้วนะ” สิรดนย์พูด เงยหน้าคุยกับคุณเสาวภาคย์ที่ตอนนี้ได้แต่เบิกตากว้างมองเขาอย่างตื่นตกใจ “ผมพยายามแล้ว…หมายถึงกับมธุรส แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้อีกแล้ว”
“…”
“ผมเจอคนคนนั้นของผมแล้วนะแม่”
แน่นอนว่าคำพูดแสนจริงจังของลูกชายทำให้เสาวภาคย์ได้แต่จ้องมองพินิจพิเคราะห์ลูกชายตนเองท่ามกลางความเงียบที่รายล้อม และใช่…ดวงตาของเจ้าสิรดนย์ไม่มีแววโกหกแม้แต่น้อย
“ก่อนหน้านี้พ่อเขาก็คุยเรื่องนี้แล้วนะดนย์ว่ามันมีความจำเป็น”
“แต่แม่เข้าใจผมไหม ว่าผมไม่ได้ชอบมธุรสเลย”
“…”
“ให้แต่งงานกันไป อยู่ด้วยกันอีกสิบปีหรือยี่สิบปี ผมก็ไม่มีวันชอบเธอหรอกครับ”
กลับกลายเป็นว่าในเย็นวันนั้นอึมครึมกว่าที่คิด สิรดนย์ทำเพียงยิ้มบาง ๆ ตามมารยาทและพูดคุยตอบโต้กับคุณปานชีวา และคุณหฤเดชบ้างเมื่อถูกถามไถ่ แต่ถึงเช่นนั้นคนเป็นพ่อและแม่จะดูไม่ออกหรือว่าเจ้าลูกชายตัวดีนั้นเมินเฉยมากขนาดไหน ตัวมธุรสเองก็ดูออกจนกลายเป็นยิ้มเจื่อน ๆ ไปตลอดทั้งช่วงเย็นนั้นเลย
จากตอนแรกที่คิดว่าจะชวนอยู่คุยกันเรื่องผลประโยชน์ต่ออีกสักหน่อยก็กลายเป็นว่าครอบครัวของมธุรสนั้นเลือกที่จะกลับบ้านกันไปก่อน อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วของคนเป็นพ่อยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม เมื่อสิรดนย์ไม่แม้แต่จะรั้งไว้สักคำ อีกทั้งยังกล่าวสวัสดีแล้วขอตัวไปนั่งทำงานไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในห้องนั่งเล่นแทนเสียอย่างนั้น
เขาพิมพ์ข้อความคุยตอบโต้กับลูกค้าที่เพิ่งทักมานิ่ง ๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อหน้าจอโน้ตบุ๊คของตนถูกพับปิดจอลงไป ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเงยหน้ามองผู้เป็นบิดาของตนอย่างไม่พอใจ
“ไอ้ที่ทำลงไปวันนี้มันคืออะไร ฮะ?” จักรภพเอ่ยอย่างไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งครอบครัวของมธุรสหน้าเจื่อนเช่นนั้นคุยกันคราวหน้าจะเข้าหน้าติดหรือเปล่าเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ งามหน้าเสียเหลือเกินกับลูกชายคนเล็กคนนี้
“ผมก็ทำในสิ่งที่ควรทำ ตามมารยาทแล้วนะครับ” สิรดนย์พูดด้วยท่าทีเฉยเมย
“แต่หนูรสเป็นคู่หมั้นของแกนะ!”
“เรายังไม่ได้หมั้นกันครับพ่อ! และผมก็ไม่ชอบมธุรสด้วย” เขากดเสียงทุ้มต่ำหันกลับไปมองชายรูปร่างท้วมที่โกรธจนหน้าแดงก่ำไปหมด จนสิรกานต์ต้องเดินเข้ามาบอกให้พ่อใจเย็นลงพลางลูบไหล่หนาของผู้เป็นพ่อปลอบประโลม
“…”
“ผมถามจริง ๆ นะพ่อ พ่อเห็นผมเป็นตัวอะไรกันแน่”
“…”
“กับแค่ความรักที่ผมต้องการ ผมยังเลือกไม่ได้เลยหรอ? นี่คือความรักที่พ่อนิยามไว้หรอกครับ”
“เจ้าดนย์!”
“ผมไม่ได้ชอบมธุรส และผมก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอและครอบครัวด้วย เพราะเธอก็เหมือนเพื่อนของผมคนหนึ่ง” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่ออธิบาย “และผมเจอคนที่ผมอยากจะเรียนรู้ด้วยแล้วนะพ่อ”
“แต่พ่อตกลงกับคุณเดชเขาไปแล้ว แกจะหักหน้าพ่อหรอ?”
“แล้วความรู้สึกผมล่ะพ่อ?”
“เรื่องนี้แกให้พ่อไม่ได้หรือไง ที่ผ่านมาเสเพลแค่ไหนพ่อก็ส่งแกให้เรียนจนจบ ได้ไปเมืองนอก ช่วยออกทุนก้อนแรกทำบริษัท นี่แกก็รู้ว่าที่ตรงนั้นมันหาซื้อยากขนาดไหน ถ้าไม่ได้คุณเดชเขาช่วยพ่อก็ยังติดต่อไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
“ผมไม่คุยแล้วครับ” สิรดนย์ถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ หันกลับไปมองพี่ชายตนเองที่มองทางเขาและพ่อสลับกันไปมาด้วยความกังวล “พี่ดอนก็ดูพ่อด้วยแล้วกัน ผมจะกลับแล้ว”
“อย่าคลานมาขอเงินกูนะโว้ย ไม่ให้แน่”
เสียงของพ่อดังไล่หลังมาแต่สิรดนย์เองก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ร่างสูงเก็บของแล้ววางส่ง ๆ ไว้ตรงเบาะข้างคนขับก่อนจะสตาร์ทรถแล้วเร่งเครื่องขับออกไปทันที ก่อนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงไหล่ถนนที่มองเห็นเขื่อนลำตะคลองได้อย่างชัดเจนแทน พระจันทร์ในวันนี้ไม่ค่อยจะสวยสักเท่าไหร่ แถมฟ้ายังแดงราวกับฝนจะตกอีก
จะกลับบ้านก็ไม่ได้ จะกลับกรุงเทพก็ไม่น่าถึง
สิรดนย์ลูบหน้าลูบตาตั้งสติกับตนเอง ก่อนจะเปิดโทรศัพท์หาโรงแรมที่ใกล้ที่สุดแทน เมื่อเขาทำการจองสำเร็จและกับทางโรงแรมว่าจะเข้าไปราวสี่ทุ่ม เขาก็เปิดประตูรถออกมารับลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านจนทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้างเล็กน้อย
อยู่กรุงเทพไม่มีทางได้เห็นภาพและบรรยากาศที่แสนบริสุทธิ์แบบนี้จริง ๆ นั่นล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นการอยู่ที่เมืองหลวงกลับสบายใจมากกว่าเมื่อไม่ต้องทะเลาะกับคนที่รักด้วยเรื่องเดิม ๆ แทบทุกวัน
มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองรายชื่อที่เขาเมมเอาเป็นฉายาตลก ๆ ที่เขาชอบล้อเลียนอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจกดโทรหาเจ้าตัวโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรเพิ่มเติมอีก
สิรดนย์เหนื่อยมาก ๆ
ทั้งร่างกาย และหัวใจ
(ฮัลโหล โทรมาดึก ๆ ทำไมกันเนี่ย ฉันจะนอน) น้ำเสียงหวานที่รับสายอย่างงัวเงียทำเอาสิรดนย์หลุดยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย
“ก็ว่าง โทรไม่ได้หรือไง” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เอนกายพิงกับตัวรถพลางมองไปยังผืนน้ำและป่าเขาด้านหน้า
(ก็โทรตอนหัวค่ำกว่านี้ไม่ได้หรือไงเล่า วันนี้งานหนักนะ) โปรดปรานบ่นกระปอดกระแปด แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นมานั่งคุยโทรศัพท์กับอีกฝ่ายแต่โดยดี
สิรดนย์ไม่ได้พูดอะไรตอบไปอีก เขาเพียงใช้ความคิดของตนในการหาทางออก และฟังเสียงกุกกักที่โปรดปรานอาจจะทำอะไรสักอย่างอย่างไม่ถือสานัก เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งก็เป็นโปรดปรานเองนั่นล่ะที่ทนไม่ไหว
(นี่ มีอะไรหรือเปล่า?) โปรดปรานชักจะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาดื้อ ๆ ในยามปกติแล้วสิรดนย์ไม่เคยเงียบนานหลายนาทีเช่นนี้โดยที่ไม่วางสายไปก่อนเลยสักครั้ง เพราะหากมีธุระด่วน อีกฝ่ายก็จะขอตัวแล้ววางสายไปทำงานทันที
สิรดนย์เหลือบสายตามองรองเท้าหนังของตนเองอย่างครุ่นคิด
เขาควรจะบอกให้โปรดปรานรู้หรือไม่นะ?
“ไม่มีไร แค่ว่าง” เขาตอบ พยายามทำให้ทุกอย่างเหมือนปกติ แต่กลับกลายเป็นว่าโปรดปรานนั้นจับสัมผัสของเขาได้ผ่านน้ำเสียง อีกฝ่ายจึงไม่ได้ด่าหรือว่าเขากลับมาอย่างทุกที “ง่วงยัง”
(อืมง่วง)
“ไปนอนเถอะ เผื่อพรุ่งนี้จะแวะเข้าไปหาได้”
(มาทำไม ทำงานตัวเองไปนั่นล่ะ)
“คิดถึง”
(…)
“อยากเจอเธออีกครั้ง” สิรดนย์พูดด้วยรอยยิ้ม เงยหน้ามองพระจันทร์สีนวลอีกครั้ง ความรู้สึกแย่ ๆ ค่อย ๆ ถูกชะล้างไปด้วยตัวตนของโปรดปรานทีละน้อยราวกับมีเวทมนตร์
(พูดอะไรเนี่ย)
“ฮะ ๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่เธอรับฟังก็พอแล้ว” เขาตอบกลับเสียงของอีกฝ่ายไปด้วยความเอ็นดู
ก่อนเสียงทุ้มจะกระซิบแผ่วเบากับปลายสาย ที่ทำเอาโปรดปรานใจเต้นเสียจนตาสว่างไปเลย
(…)
“ฝันดีนะครับโปรดปราน”