“แล้วถ้าบอกว่าฉันเป็นสาวใช้ละคะ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรใช่หรือไม่ ตอนมาที่นี่ฉันน่าจะมีทรัพย์สินติดตัวมาบ้าง อย่างน้อยเครื่องประดับก็ยังดี”
ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตนเอง เธอจึงเลือกที่จะเสนอความคิดเห็นออกมา แต่คำพูดของเธอนั้น ทำให้สามพ่อลูกส่ายหน้าหัวแทบหลุด และร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกันว่า
“ไม่ได้!!”
หยางเหมยจินไม่เข้าใจว่า ‘ไม่ได้’ นี่คือคำพูดไหนของเธอ
“เรื่องสาวใช้นั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แล้วคุณไม่ต้องคิดเรื่องนี้ด้วย บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนในเมืองที่จะมีเงินมาจ้างสาวใช้ไว้ดูแล อีกอย่างพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั้งนั้น เรื่องในบ้านต่าง ๆ ล้วนแต่ทำเอง ส่วนเรื่องเครื่องประดับไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะบางอย่างเป็นสิ่งของต้องห้ามของที่นี่” ชายหนุ่มรีบบอกกับเธอให้เข้าใจ
จากนั้นตงเหวินหมิงก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวของยุคนี้ให้หญิงสาวตรงหน้าฟังอย่างละเอียด โดยมีลูกทั้งสองคนคอยสลับเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เช่นกัน
เมื่อได้ฟังทุกอย่าง หยางเหมยจินก็พยักหน้าเข้าใจ ยุคสมัยนี้แตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของเธอไม่น้อย หรืออาจจะเรียกว่าแตกต่างแทบจะทุกอย่างก็ว่าได้
“เอาเป็นว่าคุณอาศัยอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน ทน ๆ ไปก่อน หากหาเงินได้เราค่อยขยับขยาย คุณไหวหรือเปล่าที่ต้องทนอยู่แต่ในบ้าน” เมื่อเล่าเรื่องราวที่ควรจะรู้ให้กับหยางเหมยจินฟังแล้ว ตงเหวินหมิงจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
นี่จึงทำให้หยางเหมยจินพยักหน้ารับยืนยันว่าเธอไม่มีปัญหาอะไร “ฉันยินดีค่ะ ขอแค่ได้อยู่ที่นี่และช่วยทุกคนทำงานแม้จะเล็กน้อย หรืออยู่แต่ในบ้านเพื่อไม่ให้ทุกคนเดือดร้อน ฉันก็ยินดี”
เวลานี้หากจะถามว่าเธออยากจะอยู่ที่นี่หรือไม่ เธอเองตอบไม่ได้เช่นกัน การที่ต้องมาพึ่งพาคนอื่นที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีหรือเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเธอข้ามกาลเวลามาอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ก็คงจะต้องทำใจและปรับตัวให้ได้เร็วที่สุด
“แต่ฉันมีเรื่องจะรบกวน คุณพอจะมีเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว พร้อมอุปกรณ์ตัดเย็บหรือไม่ ฉันรบกวนพวกคุณได้หรือไม่”
หยางเหมยจินพูดจบก็ก้มมองดูสภาพเสื้อผ้าของตัวเอง เพราะมีเพียงชุดนี้ชุดเดียวเท่านั้นที่ติดตัวมาและมันก็ไม่เข้ากับยุคสมัยนี้ แถมตอนนี้ยังเปียกไปทั้งตัว
“ผมพอจะมี แต่เป็นเสื้อผ้าเก่าของพี่สาวผมเองเวลานี้เธอไม่อยู่แล้ว ตอนย้ายมาที่นี่มีติดมาสองสามชุด หากไม่รังเกียจก็เอาไปใส่ก่อนเถอะ แล้วผมจะขึ้นเขาล่าสัตว์แล้วค่อยพาคุณไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ในเมือง แต่นั่นก็ต้องเป็นตอนที่ผมจัดการเรื่องเอกสารและเปิดเผยความเป็นอยู่ของคุณต่อคนอื่นเสียก่อน” ตงเหวินหมิงพูดขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จะว่าไปตอนที่เขาพาสองแฝดมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ตอนนั้นเพราะต้องหนีบางอย่าง และด้วยความเร่งรีบจึงหยิบเสื้อผ้าของพี่สาวมาสองสามชุด แต่เพราะไม่ได้ใช้เลยยังอยู่ในหีบ ไม่คิดว่าวันนี้จะต้องหยิบออกมาใช้
พอคิดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มจึงหันมองเด็กแฝดทั้งสองคน พร้อมกับขอโทษในใจที่เอาเสื้อผ้าของพี่สาวมาให้คนอื่นใส่
“ขอบคุณมากค่ะ ฉันยินดี ขอแค่มีเสื้อผ้าใส่แทนชุดเดิมก็พอแล้ว แต่เสียดายนะที่ฉันไม่สามารถขึ้นเขาล่าสัตว์กับคุณได้ฉันเองพอจะมีความสามารถด้านการยิงธนูไม่น้อย ในอดีตเคยไปกับท่านพ่อ...” เมื่อคิดถึงตรงนี้ใบหน้าของเธอก็เศร้าหมองลงทันตา ทำให้สามคนพ่อลูกรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวคงคิดถึงครอบครัวที่จากมา
จากนั้นตงเหวินหมิงจึงเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง เพื่อไปหยิบชุดออกมาให้หยางเหมยจิน และชายหนุ่มหายไปไม่นาน ก็ออกมารวมตัวกับทุกคนอีกครั้ง พร้อมกับยื่นเสื้อผ้าให้หญิงสาว
“นี่ครับเสื้อผ้า ผมหวังว่าคุณจะใส่ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับมาด้วยความยินดี แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ คนที่พลัดหลงเข้ามาในยุคที่พัฒนาและไม่รู้จักใครสักคน หวังว่าชีวิตต่อจากนี้จะดีขึ้น อย่างน้อยก็ต้องหาทางช่วยเหลือบ้านตง บ้านที่มีบุญคุณกับตนเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเช่นกัน
เมื่อพูดคุยเรื่องนี้กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตงฟางลี่ก็พูดขึ้น
“อย่างนั้นเราไปกันเถอะค่ะ วันนี้น้าเหมยไปนอนกับลี่ลี่ก็แล้วกันนะคะ” ตงฟางลี่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
“จ้ะ ขอบใจนะ” หยางเหมยจินได้นอนห้องของตงฟางลี่ เนื่องจากบ้านหลังนี้มีเพียงสองห้องเท่านั้น
“นอนไม่หลับหรือครับพ่อ” ตงจี้หยวนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าพ่อของตนนั้นยังไม่นอน
“แล้วทำไมลูกยังไม่นอนล่ะ” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่เอ่ยถามลูกชายกลับไป
“ผมแค่เป็นห่วงน้อง ไม่รู้ว่านอนกับน้าเหมยเป็นอย่างไรบ้าง ว่าแต่พ่อเห็นน้าเหมยหล่นลงมาจากฟ้าจริง ๆ หรือครับ”
ตงจี้หยวนถามขึ้นอย่างสงสัย เรื่องนี้ยังคงติดใจในความคิดของเด็กน้อย มันจะมีจริง ๆ หรือที่มนุษย์เราหล่นลงมาจากฟ้า แล้วข้ามมิติเวลามาแบบน้าเหมย ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
“เรื่องนี้มันเหนือธรรมชาติเกินไป พ่อเข้าใจที่ลูกจะระแวงและเป็นกังวลที่น้าเหมยนอนกับลี่ลี่ แต่เชื่อเถอะ เธอหล่นลงมาจากฟ้าจริง ๆ และพ่อเห็นกับตาตัวเอง ในเมื่อตัดสินใจช่วยแล้ว พ่อก็จะลองไว้ใจดู อีกอย่างบ้านเราเองก็ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไร ที่สำคัญน้องสาวเราก็แสบไม่น้อย กลัวว่าคนที่ต้องกังวลจะเป็นเหมยจินน่ะสิ” ตงเหวินหมิงพูดยืนยันกับลูกชายอีกครั้ง
เรื่องที่เหมยจินนั้นจะทำอะไรลูกสาวเขา ตงเหวินหมิงแม้จะมีความกังวลแต่ไม่เท่ากับตงฟางลี่ว่าจะเล่นงานหยางเหมยจิน เพราะเมื่อไรที่มีสตรีเข้าใกล้เขา ตงฟางลี่ตัวแสบจะหาทางกลั่นแกล้งและเล่นงานอยู่เสมอ
“นั่นสิครับพ่อ ผมคงกังวลเกินไป จนลืมไปว่าลี่ลี่ของพวกเรานั้นเป็นอย่างไร เช่นนั้นผมนอนก่อนนะครับพ่อ” เมื่อคิดได้อย่างนั้น ตงจี้หยวนจึงขอตัวนอน เนื่องจากพรุ่งนี้เข้าจะต้องไปโรงเรียนแต่เช้านั่นเอง
“อืม ฝันดีนะลูก” ตงเหวินหมิงตอบกลับ ก่อนจะนอนเอามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก คิดทบทวนเรื่องที่ตนเองช่วยหญิงสาวปริศนาอย่างหยางเหมยจินนั้นคือเรื่องที่สมควรจริงหรือไม่
เช้าวันต่อมา...
ตงเหวินหมิงตื่นแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี เนื่องจากต้องตื่นมาทำอาหารเช้าให้ลูกทั้งสองกิน และให้ลูกทั้งสองห่อมื้อเที่ยงไปกินที่โรงเรียนด้วย
หลังจากลุกออกมาจากห้องแล้ว ปกติชายหนุ่มจะต้องเข้าไปหาลูกทั้งสองคน แต่ทว่าเมื่อคืนตงจี้หยวนนอนกับตนเอง และตงฟางลี่นั้นมีหญิงสาวอีกคนนอนด้วย จึงไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปดูลูก เขาจึงเลี่ยงเดินมาเข้าครัวแทน
หยางเหมยจินก็ตื่นเช้าไม่ต่างกัน อาจจะเพราะต่างที่หรือเพราะคิดมากเรื่องที่ข้ามเวลามาในยุคนี้ เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยยังนอนหลับอยู่ จึงได้สวมเสื้อคลุมอีกชั้นเดินออกมาด้านนอก ตั้งใจจะช่วยงานบ้านเพื่อตอบแทนพระคุณของคนบ้านตง
เมื่อเดินมาถึงครัว กลับพบร่างของใครบางคนกำลังสาละวนอยู่หน้าเตาจึงได้เอ่ยถามขึ้นมา “ให้ข้า...เอ่อ ให้ฉันช่วยอะไรท่านดีหรือไหม งานพวกนี้เป็นของสตรี เป็นงานชั้นต่ำ ท่านเป็นบุรุษไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง”
ยุคสมัยที่เธอจากมานั้น งานพวกนี้เป็นงานชั้นต่ำ บุรุษไม่ว่าบ้านไหนก็แทบจะไม่แตะต้อง ดังนั้นเมื่อเห็นภาพของตงเหวินหมิงทำอาหาร จุดเตาเอง ทำให้หญิงสาวอย่างหยางเหมยจินแปลกใจไม่น้อย
ตงเหวินหมิงหันกลับมามอง ทว่ามือยังคงทำอาหารต่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาบ้าง “ผมไม่รู้หรอกว่าบ้านเมืองของคุณใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่ที่นี่ผมไม่มองว่าเป็นงานชั้นต่ำ หรือว่าเป็นเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่ทำได้ บ้านนี้อยู่กันเพียงสามคน หากผมไม่ทำ ลูกทั้งสองคนอดตาย และต่อให้บ้านนี้มีผู้หญิง ผมก็ยังคงทำเช่นเดิม คุณไปนั่งรอเถอะ อีกหน่อยก็เสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าคุณจะกินได้หรือไม่ ดีหน่อยที่วันนี้มีเนื้อตากแห้งเหลืออยู่เลยได้เอามาทำอาหารมื้อนี้”
จะว่าไปเขาคงต้องหาเวลาเข้าป่าอีกครั้งแล้ว เนื่องจากเนื้อสัตว์ที่ตากแห้งหมดแล้ว
“ให้ฉันช่วยเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ช่วยหยิบจับถ้วยชามก็ยังดี”
หยางเหมยจินไม่พูดเปล่า เธอยังคงเดินไปหยิบถ้วยชามมาจัดเรียงที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับถามว่าอะไรอยู่ตรงไหน
“อย่างนั้นคุณช่วยเช็ดกล่องข้าวทั้งสองกล่องนั้นด้วยเถอะ ผมจะได้ห่อข้าวให้ลูกทั้งสองคนไปกินที่โรงเรียน”
เมื่อห้ามไม่ได้และดูหญิงสาวจะรั้นไม่น้อย เขาเลยไหว้วานให้เธอเช็ดกล่องข้าวให้ลูกทั้งสองคน เพื่อเอาไปกินที่โรงเรียนเสียเลย
ทั้งสองช่วยกันจัดเตรียมอาหารเช้า โดยที่ตงเหวินหมิงคอยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่หยางเหมยจินสอบถามให้ฟังจวบจนทุกอย่างเสร็จสิ้น จากนั้นทั้งสองจึงแยกไปปลุกสองแฝด เพื่ออาบน้ำเตรียมตัวมากินข้าวก่อนจะไปโรงเรียน