Love's so hot รักรสเผ็ดร้อน
บทที่ 9
ในห้องอาหารคลาสพรีเมี่ยมที่ถูกเหมาจองโดยลูกค้าระดับวีไอพี มีเพียงหญิงสาวในชุดเดรสสีครีมที่นั่งหน้าหงิกหน้างอรอคนนัดมานานกว่าชั่วโมง เสียงดนตรีบรรเลงเพลงคลาสสิคดังแว่วมาจากลำโพงในห้องอาหาร ดอกไม้ที่ถูกสั่งจัดพิเศษเป็นดอกบัวหลวงสีขาวและสีชมพู ตากลมโตลอบมองนาฬิกาที่ข้อมืออยู่หลายครั้งด้วยท่าทางกระวนกระวาย เธออยากจะหนีกลับใจแทบขาดแล้ว แต่ติดที่ว่าต้องมาเสนอโครงการของลูกพี่ลูกน้องที่จ้องจะใช้เธอเป็นสะพานกอบโกยโอกาสจากเฉินหมิงจิน
"ไม่รอแล้ว นี่เกินเวลานานแล้วนะรส!!"
เสียงใสปนหงุดหงิดของร่างบางในห้องอาหารดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ลุกจากเก้าอี้แล้วหันไปหยิบกระเป๋าถือเตรียมจะก้าวออกจากประตู เธอรอเขาผิดเวลามาสองรอบแล้วอุส่าห์โทรไปเตือนแล้วให้เวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง แต่เขาก็ยังไม่รักษาเวลา
"ใจเย็นสิครับ ต้องขอโทษจริงๆ ที่สาย"
แต่ไม่ทันได้ก้าวเท้าแม้แต่ก้าวเดียวอกกว้างของเฉินหมิงก็มาขวางทางเดินเสียก่อน
"คุณเป็นนักธุรกิจยังไง ทำไมไม่รักษาเวลาเลย"
"พอดีผมจัดเวลาพลาดไปนิดหน่อย ขอให้รับไอ้นี่ไว้แทนคำขอโทษนะครับ"
เขายื่นช่อดอกไม้ที่เพิ่งรับจากลูกน้องที่เดินตามมายื่นให้กับสาวสวยตรงหน้า แต่หล่อนดูจะไม่ประทับใจนัก
"ฉันไม่ใช่ผู้หญิงบ้าวัตถุหรอกนะ"
"คุณไม่ชอบของมีค่า ผมก็สั่งช่อดอกบัวราคาประหยัดแบบที่คุณชอบมานี่ไง"
สวรสแอบมองดูดอกไม้บนช่อในมือของเฉินหมิง เห็นเป็นดอกบัวจริงอย่างเขาว่าเพียงแต่มีดอกไม้อื่นๆ แซมมาด้วย ทำให้ดูช่อใหญ่โต
"รีบคุยเถอะ ฉันมีงานต้องไปสรุป"
สวรสพูดน้ำน้ำเสียงกระแทกกระทั้น แต่เฉินหมิงกลับไม่มีท่าทีจะสนใจไอ้โครงการนั่นสักนิด ทำเปลี่ยนเรื่องชวนกินข้าวแล้วพูดเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย
"คุณมีแพลนอยากจะไปเที่ยวต่างประเทศบ้างรึป่าว"
"ฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้นหรอกนะคะ แค่เวลางานของฉันก็จองเต็มทุกวันทั้งอาทิตย์แล้ว หลังเลิกงานยังต้องมากินข้าว เสนอโครงการใหม่ให้กับคุณอีก"
คนขี้ประชดว่าก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
"คุณนักจิตวิทยาใจดีหายไปแล้วจริงๆ"
เฉินหมิงแกล้งว่า ทำให้คนตรงหน้าหันมาค้อนเขาก่อนจะหันไปคว้ามีดขึ้นมาลงมือ หั่นสเต็กเนื้อชั้นดีที่สั่งมาพิเศษในคืนนี้
"หั่นแบบนั้นก็เละหมดสิคุณ มาผมหั่นให้"
"เละก็เละสิ เดี๋ยวก็ต้องเคี้ยว จะทำให้ยุ่งยากทำไม"
"ไม่ได้ เนื้อชนิดนี้ถ้าเละแล้วจะไม่อร่อย เอามาผมหั่นให้"
มือหนาพยายามยื้อแย่งจานเสต็กของสวรส จนในที่สุดก็ยกมาได้
"กินยากกินเย็นแบบนี้แหละของแพง ฉันถึงไม่อยากจะกิน อิ่มก็ไม่อิ่ม"
"มันไม่ได้ยากเลย คุณแค่ต้องใจเย็น และทำให้ถูกวิธี นี่ไงแค่นี้เอง"
เฉินหมิงยกจานสเต็กคืนให้กับคนตรงหน้าในสภาพพร้อมทาน
"กินสิอร่อยนะ"
"ขอบคุณค่ะ"
สวรสมองดูเนื้อวัวในจานที่ถูกหั่นเรียบร้อยก่อนจะยกส้อมขึ้นมาจิ้มเนื้อใส่ปากชิมดูหนึ่งชิ้น ดวงตากลมโตหรี่ลงเมื่อลิ้นได้รับรสสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าซอสที่ราดมาบนเนื้อหรือซอสที่ใช้หมักกันแน่ ถึงทำให้มันอร่อยขนาดนี้
"อร่อยมั้ย"
"อื้ม ค่ะ อร่อยดี"
เฉินหมิงยิ้มรับคำตอบอย่างพอใจ
"ถ้าคุณไม่ชอบของแพงนานๆ กินสักครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ทำให้ลิ้นฉันได้รับรสอาหารราคาแพง"
การพูดล้อเล่นของสวรสทำให้คนฟังเผลอจินตนาการถึงการถูกลิ้นน้อยๆ ไล้เลียบนเรือนร่างของตัวเองจนเผลอแสดงอาการออกมา
"คุณ!! คุณเป็นอะไร"
เฉินหมิงสะดุ้งหลุดจากจินตนาการของตัวเองเอได้ยินเสียงเรียกด้วยความตกใจของสวรส
"ป่าว ผมเบลอๆ นิดหน่อยวันนี้ทำงานค่อนข้างหนัก"
"งั้นรีบกินกันเถอะจะได้รีบกลับ"
"ไม่เป็นไร ผมมีเรื่องอยากถามคุณเยอะเลย"
"อื้อ ถามมาสิ"
สวรสว่าพร้อมกับตักอาหารเข้าปาก
"คุณเคยมีแฟนหรือเปล่า"
คำถามที่ดูธรรมดาแต่แฝงไปด้วยเจตนาอยากรู้ที่ไม่ธรรมดาของคนถาม
"ห้ะ!! ไม่ละลาบละล้วงไปหน่อยหรือไง"
สวรสโวยทันที
"ผมถามตรงๆ เพราะอยากรู้ ก็ผมกำลังจีบคุณอยู่"
คำพูดของเฉินหมิงพาให้นักจิตวิทยาสาวเขินอายเล็กน้อย ความจริงตลอดชีวิตของสวรสนั้น มีผู้ชายมากมายที่เข้ามาเกี้ยวมาจีบ แต่เธอไม่เคยแม้แต่จะปลายตามอง เพราะคนที่เข้ามาล้วนแต่เป็นพวกผู้ชายประเภทที่เธอไม่ชอบทั้งสิ้น
"ไม่มีนะ ฉันว่าอยู่แบบนี้ก็สบายใจดี"
"แสดงว่าตอนนี้ก็ยังไม่มี"
สวรสถอนหายใจเล็กๆ เมื่อรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกหลอกถาม
"ใช่ ยังไม่เจอคนที่ใช่ ฉันจะ 30 แล้วนะมีแฟนก็อยากคบยาวๆ ไปเลย"
"คุณชอบผู้ชายแบบไหน"
"ก็ เรียบง่าย ใช้ชีวิตปกติ เข้าใจฉัน ดูแลฉันได้ ให้เกียรติฉัน และรักครอบครัวฉัน"
"ก็ไม่ได้หายากนี่"
"แค่เรียบง่ายก็ยากแล้วคุณ ผู้ชายบางคนเงินเดือนแค่หมื่นห้าแต่ทะเยอทะยานไปผ่อนรถคันละเกือบล้าน ไหนจะบ้าน ไหนจะจิปาถะอื่นๆ อีก ฉันไม่อยากแต่งงานไปช่วยคนแบบนี้ใช้หนี้หรอกนะ"
"ผมนั่งรถคันละหลายสิบล้าน แต่ผมก็ซื้อสดนะ แล้วคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าจะได้แต่งงานมาช่วยผมใช้หนี้ด้วย"
"ฉันไม่ชอบคนอวดรวย"
"ผมไม่ได้อวด ผมรวย และมันก็เป็นเงินที่ผมหาเองจริงอยู่ที่พ่อแม่สร้างทุกอย่างไว้ แต่ท่านสร้างที่จีนผมเอาเงินที่หาเองมาสานต่อที่ไทย มาเริ่มจากศูนย์"
"แต่คุณก็ไม่ได้ใช้ชีวิตปกติอยู่ดี"
"ชีวิตผมมันไม่ปกติยังไง"
"คนธรรมดาที่ไหนเค้าเหมาร้านอาหารกินข้าวแบบนี้ล่ะ"
"ปกติผมก็ไม่ได้เหมานะ แค่มื้อนี้มันพิเศษที่มีคุณ"
"ฉันไม่เถียงกับคุณแล้ว เถียงคุณก็แถไปเรื่อย"
พูดจบสวรสก็ตั้งหน้าตั้งตากิน พออิ่มกันแล้วก็พากันกลับจนลืมโครงการที่รัดดาฝากให้เอามาเสนอให้เฉินหมิงไปจนสนิท
---------------------------------------
"ขอบคุณนะคะ"
เฉินหมิงลงทุนขับรถมาส่งสวรสด้วยตัวเองถึงที่บ้าน ทั้งที่ปกติแล้วเขาแทบจะไม่ขับรถเลย
"ด้วยความยินดีครับ"
"ขับรถกลับดีดีนะคะ"
เฉินหมิงได้แต่พยักหน้ารับ แต่ไม่กลับขึ้นรถสักที ส่วนเจ้าของบ้านก็ยืนรอคนมาส่งให้ออกไปก่อนถึงจะเข้าบ้าน
"คุณเข้าบ้านสิ ผมจะได้สบายใจว่าส่งคุณปลอดภัยแล้ว"
"คุณก็กลับไปสิ ฉันรอส่งคุณกลับ"
"คุณเข้าบ้านไปเถอะ ผมมาส่งคุณนะ"
สวรสรู้ดีว่าการเถียงกับเฉินหมิงโอกาสจะชนะมันน้อยเลยยอมเดินกลับเข้าบ้านแต่โดยดี เมื่อร่างบางเดินเข้าไปในรั้วบ้านพร้อมกับปิดประตูแล้วเฉินหมิงก็กลับขึ้นรถแล้วขับกลับบ้านทันทีเช่นกัน
"ยิ้มหน้าบานเลยนะ"
ร่างบางที่ยืนชะเง้อมองรถเก่งหรูแล่นออกไปสะดุ้งตกใจกับเสียงของแขกประจำอย่างลายไทย เมื่อหันมาดูก็พบว่าเขากำลังยืนหน้าบึ้งไม่พอใจอยู่
"อ่อ มากินข้าวล่ะสิ ฉันไปกินข้างนอกมาแล้ว แต่เดี๋ยวจะทำกับข้าวให้นะ"
"ไม่ต้องผมกินมาแล้ว"
"งั้น...แล้วโมโหอะไร"
"ใครโมโห"
"ก็คุณไง ดูทำหน้าเข้าสิ"
สวรสว่าพร้อมกับยกนิ้วชี้ไปที่หน้าของลายไทย
"ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่ติดต่อก็ไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าคุณไปดินเนอร์สบายใจอยู่กับฆาตรกร"
"นี่ ฉันตั้งใจไปคุยงานเถอะ"
"คุยงาน ไอ้ช่อดอกไม้เนี่ยหรืองาน"
"เค้าให้ฉันแทนคำขอโทษที่มาสาย"
"หึ ก็อย่างนี้แหละนะผู้หญิง ได้ของก็ลืมไปหมดว่าเค้าทำผิด"
"นี่แขวะฉันเหรอ"
"พูดตามเนื้อผ้า คุณอย่าลืมนะรสว่าไอ้เฉินหมิงมันเป็นโรคจิต ที่มันทำดีกับคุณ มันอาจจะแค่หลอกให้คุณตายใจแล้วฆ่าคุณเมื่อไหร่ก็ได้"
"ลายไทย ฉันพูดตามตรงนะ ฉันว่าเค้าปกติขึ้นมากจากที่เคยบำบัดเขาฉันว่า..."
"ฆาตกรก็คือฆาตกร มันอาจจะดีแค่ต่อหน้าคุณก็ได้ แล้วคุณไปไหนกับมันก็ต้องบอกผมทุกครั้ง เบอร์ผมก็มีโทรมาสักแป๊บจะเป็นอะไร ผมเป็นห่วงคุณมากแค่ไหนรู้บ้างหรือป่าว"
น้ำเสียงและแววตาของลายไทย ทำให้คนฟังนิ่งอึ้งไปสักพัก ตามหลักจิตวิทยาแล้วสิ่งที่ฉายมาจากดวงตาคู่นั้นมันจริงใจมาก มันคือความจริง ความรู้สึกของเขาจากใจจริงๆ
"ฉันขอโทษนะ ต่อไปฉันจะบอกคุณ"
"ผมแค่เป็นห่วง ถ้าเกิดมันทำอะไรคุณขึ้นมา ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"
"มากไปมั้ง"
"ก็ผมเป็นคนขอให้คุณช่วย"
ได้ยินแบบนี้สวรสก็ค่อยกระจ่างว่าคนตรงหน้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยมากไปกว่าเพื่อนร่วมงานกัน
"อืม งั้นฉันขอตัวนะ คุณก็กินข้าวมาแล้วนี่ ออกไปก็ปิดประตูให้ด้วยล่ะ"
"เดี๋ยว อะ"
ลายไทยหันไปหยิบดอกกุหลาบบนโต๊ะม้าหินมายื่นให้กับสวรส
"อะไร"
"ดอกไม้ไง มันอาจจะไม่ได้ใหญ่เท่าช่อที่คุณได้มา แต่ผมซื้อมาจากเด็กแถวสลัมไม่รู้จะเอาไปไหนเลยให้คุณ คิดว่าผู้หญิงก็น่าจะชอบดอกไม้"
"ขอบคุณนะ มันไม่เกี่ยวว่าดอกเล็กหรือดอกใหญ่หรอก มันอยู่ที่ความตั้งใจมากกว่า"
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป สวรสจัดการอาบน้ำแต่งตัวโทรหาพี่สาวก็ได้ความว่าไปค้างบ้านเพื่อน เลยกลับมาเคลียร์งานที่ห้องทำงาน ทำงานไปตาก็มองดอกกุหลาบสีแดงในแจกันไปเป็นระยะ ดอกไม้หนึ่งดอกที่ห่อด้วยกระดาษใสมีลายตกแต่งราคาน่าจะ 50 บาทแต่มันมีความพิเศษจากน้ำใจของคนซื้อ ผิดกับดอกไม้ช่อใหญ่ที่ต่อให้แพงแสนแพง แต่คนซื้อใช้เศษเงินซื้อมันมาเพื่อขอโทษปกปิดสิ่งที่ตัวเองทำผิด