“จริงๆเราสองคนรู้จักกันมานานแล้ว แต่เป็นห่วงความรู้สึกของหนูพั้นซ์” นิรุจน์พูดขึ้นด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ แล้วแนะนำชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ
“อ้อ! นี่ลูกชายอาเอง ชื่อนิพัฒน์ รู้จักกันไว้ซิ”
“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีครับเรียกพี่แพทก็ได้ เราชื่อน้ำพั้นซ์ใช่ไหม บังเอิญชื่อขึ้นด้วยพ.พานเหมือนกันเลยนะ”
ชายหนุ่มผอมบาง หน้าตามีรอยยิ้มแต่ดูเป็นรอยยิ้มที่พิชญ์นรีรู้สึกไม่เป็นมิตร แต่แม่ของเธอกลับยิ้มอย่างมีความสุขจนเธอพูดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อแม่บอกว่า
“บ้านเราก็มีห้องว่างเยอะ แม่ว่าจะให้คุณนิรุจน์กับแพทมาอยู่ด้วยกันกับเราที่นี่”
“อะไรนะคะแม่”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกจ๊ะ แม่จะให้คนมาปรับปรุงบ้านอีกสักนิด อีกสักเดือนสองเดือนถึงจะเข้ามาอยู่จ๊ะ”
“อยู่ที่นี่ บ้านเดียวกันนี่นะ”
หญิงสาวอยากจะหวีดร้องแต่เหมือนจุกในอก เธอไม่สามารถพูดอะไรได้เลย แม้ตั้งใจว่าจะใช้เวลาสองเดือนก่อนที่ว่าที่พ่อเลี้ยงจะเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่เมื่อเธอเห็นแม่มีความสุขและไม่ว่าเธอจะลองพูดจาหว่านล้อมอย่างไรก็ไร้ผล สองเดือนจากนั้น นิรุจน์กับนิพัฒน์ก็ก้าวเข้ามาในบ้าน
“คุณรุจน์เค้าทำงานเป็นเซลล์แมนนะลูก ส่วนแพทก็เพิ่งเรียนจบกำลังหางานทำอยู่ ก็เหมือนลูกนั้นแหละจ๊ะ”
แม่ทำตามสัญญา แม่ไม่ได้แต่งงานใหม่ ซึ่งบางทีเธอคิดว่าถ้าแม่จะแต่งงานก็ไม่แปลก แต่มันจะแตกต่างอะไร ตอนนี้แม่มีผู้ชายที่อยู่กินด้วยกันแบบนี้ แถมผู้ชายคนนั้นมีลูกติดอายุเท่ากับเธออีก แต่เขาก็เรียกเธอว่าน้องพั้นซ์ด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น
พิชญนรีได้งานทำตั้งแต่เรียนจบ เธอไม่เลือกงาน ไม่เกี่ยงตำแหน่ง มีความอดทนค่อยๆไต่เต้าหาประสบการณ์ให้ตัวเองจนได้มาทำงานที่แผนกต้อนรับของโรงแรมระดับห้าดาว ในขณะที่นิพัฒน์ใช้ชีวิตหลักลอยไปวันๆ และมักจะบอกว่าตัวเองเป็นฟรีแลนซ์ แต่เธอก็ไม่เคยเห็นทำงานอะไรชัดเจน และที่สำคัญสายตาของเขาที่แอบมองเธอ มันมีความหิวกระหายแบบที่เธอรู้สึกรังเกียจและขยะแขยง บางเรื่องที่เธอไม่พูดกับแม่ แต่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอจำใจย้ายออกมาก็ ก็เพราะคืนนั้น... คืนที่แม่ไปงานบวชลูกชายเพื่อนที่ทำงานซึ่งพ่อเลี้ยงไปด้วย แต่เธออยู่กับบ้านนิพัฒน์สองคน
วันนั้นเธอเลิกงานกลับถึงบ้านเกือบสองทุ่ม เหนื่อยและเพลียนอยากพักผ่อน และอยากอาบน้ำเป็นที่สุด หญิงสาวหยิบเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำจากฝักบัว น้ำอุ่นทำให้ร่างกายผ่อนคลายลงมาก เทสบู่เหลวใส่ฝ่ามือก่อนจะลูบไล้ผิวกายจนเกิดฟอง แล้วเปิดน้ำล้างออก ทันใดนั้นเอง ไฟฟ้าก็ดับวูบ หญิงสาวสะดุ้งตกใจรีบหยิบผ้าขนหนูมาพันร่างกายราวกับรู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น
“น้องพั้นซ์ เป็นอะไรไหม?”
“ไฟดับหรือคะ”
“ฮืม พี่เอาไฟฉายมาให้”
“ค่ะ”
เธอแง้มประตูยื่นมือไปหมายจะรับไฟฉายจากมือของเขา แต่นิพัฒน์กลับดันประตูเข้าไป พิชญนรีตกใจถอยหลังแต่อีกฝ่ายยื่นมือไปโอบรัดร่างของเธอไว้ พร้อมกับก้มหน้า เธอเบี่ยงหน้าตัวเองหลบทำให้นิพัฒน์ได้แค่จูบแก้ม
“ทำบ้าอะไร! ปล่อยนะ! ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ก็ทำความสนิทสนมแบบพี่น้องไงจ๊ะ น้องพั้นซ์”
“อย่าทำอะไรบ้าๆนะ ฉันจะฟ้องพ่อกับแม่ด้วย”
“โอ๊ยๆ น่ากลัวจริงๆ กว่าจะได้ฟ้องพี่แพทคนนี้คงกินน้องพั้นซ์ไปทั้งตัวแล้วล่ะ”
แม้อยู่ในความมืดแต่เธอก็เห็นแววตาหื่นกระหายของเขาได้ชัดเจน เธอดิ้นรนสุดชีวิต แต่ในห้องน้ำไม่ได้กว้างอะไรนักแถมยังลื่นด้วย นิพัฒน์เสียหลักจึงปล่อยมือจากร่างเกือบเปลือย เพื่อยันผนังห้องทรงตัวไม่ให้ล้ม หญิงสาวอาศัยจังหวะนี้ผลักเขาออกเต็มแรงแล้ววิ่งไปที่ห้องนอนตัวเอง ปิดประตูลงกลอนแน่นหนา เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว
“น้องพั้นซ์ครับ เปิดประตูให้พี่สานสัมพันธ์ต่อเถอะ”
นิพัฒน์หัวเราะ เสียงหัวเราะชวนขยะแขยงทำให้น้ำตาของพิชญนรีไหลออกมาไม่รู้ตัว หญิงสาวมือไม้สั่นพยายามตั้งสติว่าตัวเองจะเอาตัวรอดอย่างไร เสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดในบ้านทำให้เธอสะดุ้งแล้วรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง
“แม่กลับมาแล้ว”
“น้องพั้นซ์ คืนนี้รอดไปแต่อย่าคิดว่าจะรอดได้ตลอดนะจ๊ะ”
หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ไม่กี่นาทีต่อมาไฟฟ้าก็กลับมาสว่างอีกครั้ง เธอรีบแต่งตัวทั้งที่มือยังสั่นอยู่ รีบเช็ดน้ำตาแล้วเดินเร็วๆมาหาแม่ ทว่าสิ่งที่เธอทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก มันคือภาพครอบครัวอันแสนสุข แม่หน้าแดงคงเพราะดื่มมาจากงานเลี้ยง ส่วนพ่อเลี้ยงก็หัวเราะสนุกเล่าเรื่องตลกจากในงานบวช และพี่ชายร่วมชายคาบ้านก็หน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกสิ่งที่เธอเห็นมันทำให้เธอมึนงง เรื่องเมื่อครู่มันเกิดขึ้นจริงๆหรือเธอเป็นบ้าไปแล้ว
“ยังไม่นอนหรือลูกพั้นซ์” แม่ถามแล้วหัวเราะร่วน “ทำงานเหนื่อยๆ น่าจะหลับไปแล้วนะลูก”
“หน้าตาเหมือนคนฝันร้าย” นิพัฒน์พูดยิ้มๆ “เมื่อกี้ไฟดับคงจะตกใจ”
“บ้านเรานี่ไฟดับบ่อยนะ อาว่าต้องมีเครื่องสำรองไฟติดบ้านไว้บ้าง”
“ดีๆ คุณช่วยดูให้หน่อยซิ”
พิชญ์นรีอึกอักพูดอะไรไม่ออก เธอถอยหลังแล้วค่อยๆ เดินคอตกกลับมาที่ห้อง ขณะกำลังจะปิดประตู ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่านิพัฒน์ตามมา เขาสยะยิ้มให้เธอ
“จะพูดอะไรก็คิดดูดีๆแล้วกันนะ แม่เธอกำลังมีความสุขกับพ่อฉัน แล้วเราควรจะทำตัวเป็นลูกที่ดียังไง”
มือใหญ่ยื่นมาแตะแก้มเธอเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไป หญิงสาวรีบปิดประตูห้องล็อกกลอนแน่นหนา ร่างบางทรุดลงพิงบานประตูแล้วร้องไห้ไม่มีเสียง ถ้าพูดไปแม่คงไม่เชื่อ พ่อเลี้ยงอาจจะเป็นคนดีรักแม่จริง แต่กับลูกชายคนนั้น เธอคงทำใจให้เขาเป็นพี่ชายไม่ได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรเธอก็ดูจะกลายเป็นคนนอกในบ้านตัวเอง
เมื่อตั้งสติได้ เธอนึกจดหมายตอบกลับจากที่เคยส่งใบสมัครไป เธอหยิบมันมาอ่านดูแล้วก็พบทางออกให้ตัวเอง ไม่นานเธอก็ได้ที่ทำงานใหม่ และมีเหตุผลในการย้ายออกจากบ้านไปใช้ชีวิต
หญิงสาวเคยคิดว่าการย้ายออกจากบ้านมาแล้วจะจบ แต่เมื่อย้ายออกมา เธอกลับได้รับรู้แง่มุมร้ายๆ ของเขามากยิ่งขึ้น เขาไม่ได้ทำงานอะไรเป็นจริงเป็นจัง ซ้ำยังติดการพนันอีก ที่รู้เพราะเขามาหาเธอที่ทำงานและขอยืมเงินกับเธอ ครั้งสองครั้งไม่เท่าไหร่ พันสองพันพอให้กันได้ หลายครั้งเริ่มหนักขึ้น เธอต้องบอกรปภ.ไว้ ถ้าเขามาก็ช่วยกันเขาไปจากเธอ ซึ่งดูเหมือนมันจะทำให้เขาโกรธเธอมาก ถึงขั้นด่าหยาบคายฝากไว้กระบุ้งใหญ่
พิชญ์นรีได้แต่ถอนหายใจ การทำงานเป็นกะก็ดีไปอย่างเพราะเขาไม่รู้ตารางเข้างานของเธอ สองสามเดือนมานี้จึงไม่เห็นเขามาก่อกวน
เธอรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์แล้วกวาดสายตามองไปมาหลายครั้ง เพราะติดนิสัยถูกนิพัฒน์มาก่อกวนทำให้เธอต้องคอยเหลือบมองหาร่างผอมบางของเขาอยู่บ่อยๆ
“มีอะไรหรือพั้นซ์” ปาจรีย์ถามเพราะเห็นเพื่อนหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาใครอยู่