รุ่งอรุณของวันใหม่
สองร่างที่ก่ายกอดกันมาทั้งคืนต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เพราะแสงแดดจ้าที่ทะลุผ่านผ้าม่านสีขาวไข่มุกมากระทบเปลือกตา
อัญชนาขยี้ตาเบาๆ เพื่อปรับภาพทุกอย่างในห้องจนคมชัด ร่างของเธอรู้สึกหนักๆ เหมือนมีบางอย่างอะไรพาดทับอยู่ เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร หล่อนก็ทุบกำปั้นใส่เขาและร้องโวยวายลั่นจนกฤตภพต้องรวบตัวหล่อนเอาเอาไว้แน่น
“โอ๊ย! ปล่อยนะ!” หล่อนเหวใส่เขาเสียงแหลมปี๊ดจนแสบแก้วหู
“ก็คุณตีผมก่อนทำไมล่ะ” เขาแกล้งกอดร่างบางแน่นขึ้นอีก
“ก็คุณ...คุณ...”
อัญชนาพูดต่อไม่ออก จึงหยุดพยศชั่วคราว เมื่อนึกได้ว่าหล่อนอยู่ในสถานะที่ไม่ควรต่อรอง
หญิงสาวจึงต้องเม้มปากเอาไว้แน่น เธอเสียตัวให้เขาแล้วนี่ ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เมื่อคืนเขาเอาเปรียบเธอทั้งคืน เขาใจร้ายมากที่ทำให้เธอแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน
“ผมทำอะไรเหรอ ทำไมไม่พูดต่อล่ะ หืม”
เสียงทุ้มกระซิบถามที่ริมหูอย่างหยอกเย้า เขาฝังจมูกเข้าหอมซอกคอของเธอฟอดใหญ่ ร่างบางได้แต่หลบหลีกพัลวัน
“อื้อ ปล่อยนะ!”
“ปล่อยทำไม ตัวคุณนุ้มนุ่ม หอมด้วย น่ากอดแบบนี้เรื่องอะไรจะปล่อย” เขาเอาเปรียบเธอได้ตลอดเวลาและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรังแกเนื้อสมันสาว
เมื่อมองเห็นร่างของเธอกับเขาเปล่าเปลือยอย่างกับทารกแรกเกิดกันทั้งคู่ อัญชนายิ่งเขินจัด หล่อนหน้าแดงไปจนถึงใบหู นี่เขาจะแกล้งเธอไปถึงไหนเนี่ย เมื่อไหร่จะตอบตกลงแต่งงานสักที เธอทุ่มสุดตัวขนาดนี้แล้วเขายังไม่คิดที่จะให้คำตอบเธออีกหรือ ร่างบางนิ่งคิดหลายวินาทีอย่างกดดัน
‘จะถามดีมั้ยนะ’
ร่างบางทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อย ในหัวกำลังขบคิดขนาดหนัก ว่าจะถามเขาดีมั้ย หรือว่าจะรอคำตอบจากเขาดี
สุดท้ายเธอก็ไม่กล้าถามเขาอยู่ดี เธอจำได้ว่าเมื่อวานเขาบอกว่า เขาจะให้คำตอบเธอไม่เกินวันนี้ จะรอต่อก็ได้ รอแค่นี้มันคงไม่ถึงตาย ร่างบางถอนหายใจยาวออกมาเพราะความอึดอัดที่สุมอยู่ภายในใจ
กฤตภพพอจะเดาออกว่าอัญชนากำลังคิดอะไร เขาอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะอุ้มคนที่กำลังหน้าบึ้งลุกลงจากเตียงและพาหล่อนเข้าห้องน้ำไป
แล้วทั้งคู่ก็อาบน้ำด้วยกันท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของอัญชนาดังลั่นในห้องน้ำ ขณะที่เสียงหัวเราะอย่างชอบใจก็ดังเล็ดลอดออกมาด้วย
อัญชนารู้สึกแปลกใจที่เช้านี้กฤตภพลงทุนเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้เธอทาน โดยที่ไม่เรียกใช้เธอสักคำ เหตุผลที่เธออยากรู้น่ะเหรอ
“ผมรู้ว่าเมื่อคืนผมเอาเปรียบคุณเล็กน้อย ผมก็เลยทำอาหารเช้าอร่อยๆ บำรุงคุณไง กลางวันนี้คุณจะได้มีแรงให้ผมเอาเปรียบคุณต่อ”
“คนบ้า! คุณเอาเปรียบฉันมากเลยต่างหาก นี่แน่ะ!”
กำปั้นเล็กๆ ตั้งใจจะตีคนตัวโตอีกครั้งแต่ก็พลาดเพราะเสียการทรงตัว ก็เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้เธอเพลียแรงแบบนี้
“เห็นมั้ย คุณแทบไม่มีแรงยืนแบบนี้ คุณต้องทานเยอะๆ นะ เดี๋ยวผมจะพาออกไปข้างนอก”
ร่างสูงใหญ่พูดไปเตรียมสำรับกับข้าวไปด้วย และพาหล่อนไปนั่งทานอาหารที่โต๊ะอาหารริมระเบียง
“คุณจะพาฉันไปไหน”
“นี่ แค่คืนเดียวก็ลืมแล้วเหรอ เวลาคุยกับผมต้องแทนตัวเองว่าอะไร” เขาทวงเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
อัญชนาทำหน้ากระเง้ากระงอดอย่างไม่เต็มใจ มองเขาด้วยแววตาดื้อดึง แต่ปากก็ต้องพูดตามที่เขาต้องการ
“คุณจะพาอัญไปไหน”
“ค่อยน่ารักหน่อย เอ้า...ทานข้าวให้อิ่มก่อน เดี๋ยวก็รู้เอง”
แค่นี้อัญชนาก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่ออย่างว่าง่าย ในใจก็ภาวนาให้เขาตอบตกลงแต่งงานกับเธอไวๆ เธอจะได้รีบไปบอกข่าวดีกับทางบ้าน
‘พ่อจ๋าแม่จ๋า อวยพรให้อัญประสบความสำเร็จในครั้งนี้ด้วยนะคะ อัญพยายามถึงที่สุดแล้ว’
หลังจากทานข้าวเสร็จ กฤตภพก็พาอัญชนานั่งรถออกมาจากบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน เขาพาเธอไปที่ที่หนึ่ง ถ้าตาเธอไม่ฝาดก็คงอ่านออกว่า ที่นี่คือ...ที่ว่าการอำเภอ เขาพาเธอมาที่นี่ทำไม ความหวังปรากฏแวบที่กลางหัวใจ
“คุณพาอัญมาที่นี่ทำไม”
“ก็คุณอยากให้ผมพามาที่นี่ไม่ใช่เหรอ มาสิ...ยืนบื้ออยู่ได้”
เขาแกล้งทำตาดุใส่เธอ ก่อนที่จะดึงแขนเล็กตามเขาไปข้างใน
พนักงานของรัฐมองคู่หนุ่มสาวที่ทั้งสวยทั้งหล่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่ฝ่ายจดทะเบียนสมรส
“สวัสดีค่ะ มาทำอะไรคะ” พนักงานสาวเหลือน้อยคนหนึ่งถามออกไปอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ ผมพาภรรยาของผมมาจดทะเบียนสมรสครับ” กฤตภพตอบชัดถ้อยชัดคำ
อัญชนาได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ นี่แสดงว่าเขายอมตกลงแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับเธอแล้วเหรอ นี่เธอควรจะดีใจใช่มั้ยกับการเป็นภรรยาทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยกับคนที่เธอไม่ได้รักแต่ เธอทำเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข
“อ้าวคุณ นั่งลงสิครับ มัวยืนงงอยู่ได้”
กฤตภพดึงร่างบางให้นั่งลงใกล้ๆ เขาเพื่อเซ็นชื่อและกรอกข้อมูลลงในเอกสารที่เจ้าหน้าที่เขาเอามาให้กรอก
เพียงแค่ไม่กี่นาที นางสาวอัญชนา ศิริพันธ์ไพบูรณ์ ก็เปลี่ยนเป็นนางสาวอัญชนา หิรัญภักดี ตามที่เขาบอกให้เธอกรอกนามสกุลของเขาต่อท้ายชื่อของเธอ อัญชนาดูเบลอๆ เหมือนคนที่ยังไม่ตื่นจากฝัน
อัญชนาเดินออกจากอำเภอมาขึ้นรถด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจนับจากวันนี้ไป เธอรู้ว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปเธอคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
ตอนนี้กฤตภพเป็นสามีของเธอโดยสมบูรณ์ และเขาคงไม่ปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระแน่ แต่เขาสิที่จะทำยังไงกับชีวิตของตัวเองก็ได้ตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ แต่นี่ก็ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของเธอไม่เหรอ เธอควรจะดีใจสิ
“เป็นอะไรไปอีกล่ะคุณ ไม่ดีใจเหรอที่ได้ใช้นามสกุลของผม” ร่างสูงใหญ่มองเมียทางนิตินัยและพฤตินัยของเขายิ้มๆ
“.......”
อัญชนาไม่ตอบ ได้แต่เหม่อมองออกไปนอกรถ ทุกอย่างยังไม่สมบูรณ์ หล่อนยังมีเรื่องมากมายที่ให้จัดการ ภายในเวลาอันใกล้นี้ งานแต่งงานยังไม่มี หนี้สินของครอบครัวยังไม่ได้ใช้ แล้วจะให้เธอดีใจได้ยังไง
ร่างบางมีสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยจนกฤตภพสังเกตได้
“ผมรู้นะ คุณคงยังไม่พอใจใช่มั้ย ที่ยังไม่ได้แต่งงานกับผม ใจเย็นๆ สิคุณ ของแบบนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไป” เขาพูดก่อนที่จะสตาร์ตรถออกไปบนถนนใหญ่อย่างอารมณ์ดี ซึ่งต่างกับอัญชนาที่ยังคงสับสนว้าวุ่นใจไปตลอดทาง
“อะไรนะ! จะแต่งงานเดือนหน้า!”
คุณหญิงบุษกรอุทานด้วยความดีใจแกมประหลาดใจ ว่าทำไมกฤตภพถึงได้เร่งรีบนัก และดูท่าทางลูกสาวของนางก็เหมือนจะตามใจเขาไปเสียทุกอย่าง ท่าทางของหนุ่มสาวทั้งคู่ก็ดูรักกันดี ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอัญชนาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หญิงสาวคัดค้านเรื่องงานแต่งงานมาตั้งหลายปี แต่ว่าวันนี้มันแปลกจริงๆ
“คือว่าผมใจร้อนน่ะครับ อยากแต่งงานไวๆ เอาเป็นว่าแต่งต้นเดือนหน้าเลยนะครับ แล้วผมจะให้ทางคุณพ่อคุณแม่ของผมมาคุยกับคุณน้าอีกทีนะครับ ว่าจะเอาฤกษ์แต่งงานวันไหน ผมพร้อมเสมอ จริงมั้ยครับอัญ”
ชายหนุ่มหันมามองว่าที่เจ้าสาวของเขายิ้มๆ อัญชนาหน้าแดงเมื่อแววตาของเขาฉายแววหยอกล้อเธอออกมาเล็กน้อย ใบหน้าหวานค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาจนเต็มใบหน้า เพราะไม่อยากให้มารดาจับได้ว่าทุกอย่างมันคือการแสดงละครว่าเขาทั้งสองรักใคร่กัน และอยากแต่งงานกัน
“ค่ะ” อัญชนาตอบรับคำเบาๆ
หญิงสาวไม่กล้าสบตามารดาของตัวเองนัก เพราะมีบางอย่างที่ปิดบังท่านอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เธอไม่กล้าบอกใครจริงๆ
“เออๆ วัยรุ่นสมัยนี้ ใจร้อนกันจริงๆ ก็เอาตามที่ลูกทั้งสองว่ามาก็แล้วกันนะ ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องฤกษ์แต่งงาน เดี๋ยวน้าจะไปจัดการให้นะพ่อกฤต เตรียมตัวเป็นลูกเขยของน้าให้พร้อมก็แล้วกัน ขบวนขันหมากยกมาเมื่อไหร่ น้าก็ยินดีจะมอบลูกสาวของน้าให้พ่อกฤตจ้ะ”
“ขอบคุณครับ”