บทที่ 3

1823 Words
“ตกลงค่ะ หนูจะใช้วิธีของคุณลุง” “Come on, you can think again.” มัสรีบขัดทันที เพราะยังไงก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ “แต่มันเป็นวิธีเดียว ที่ฉันจะเข้าไปได้อย่างปลอดภัย” “ปลอดภัยยังไง ในเมื่อมันต้องใช้เรือนร่างในการเป็นแม่อุ้มบุญ อิ้ว! แค่คิดก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว ฉันว่าแกล้มเลิกวิธีนี้ แล้วไปหาวิธีอื่นดีกว่า หรือไม่ก็เปลี่ยนคนที่ชอบไปเลย จบ” “ทำไมแกพูดง่าย เหมือนไม่เข้าใจฉันเลย?” มินตราสวนกลับด้วยประโยคคำถาม ที่คิดว่าเพื่อนน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าทำไมเธอถึงยอมวางมือจากงาน แล้วถ่อสังขารมาจนถึงที่นี่ การไล่ตามความรักมันไม่มีวันง่าย เธอรู้ แต่ที่ตัดสินใจเลือกทำสิ่งนี้ ก็เพราะว่าเธอชอบ ‘พี่นนท์’ จริงๆ “ฉันเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไป ฉะ ฉันแค่เป็นห่วง กลัวว่าแกจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้” มัสพูดพลางเอื้อมมือมาจับแขน แสดงความห่วงใยต่อเพื่อนที่คบหากันมานานกว่าสิบปี ซึ่งมัสมีเจตนาดี ถึงได้คัดค้านความคิดนี้ “ขอบคุณที่แกเป็นห่วงฉันนะ ฉันจะดูแลตัวเอง” “พูดแบบนี้ แสดงว่าจะไปให้ได้สินะ” เธอพยักหน้าแทนคำตอบ ทำเอาอีกฝ่ายส่ายหัวไปมา “ที่บอกว่าเอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ แกเอาจริงสินะ?” “อืม ฉันอยากลองดู เผื่อมันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่ถ้ามันอันตราย หรือไม่ปลอดภัยต่อชีวิตจริงๆ ฉันจะรีบโทรขอความช่วยเหลือจากแก ตกลงไหม?” คราวนี้เธอเป็นฝ่ายพูดเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนคลายความกังวล เพราะอยากรู้เส้นทางชีวิตของผู้ชายที่แอบชอบ ว่าลาออกจากวงการบันเทิงไปทำอะไร? และเส้นทางชีวิตของเขาต่อจากนี้ สามารถเปิดโอกาสให้เธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้อีกไหม ซึ่งเธอแอบมีความคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าหลังออกจากวงการบันเทิง เขาอาจจะเปิดใจเรื่องนี้ และยอมพัฒนาความสัมพันธ์ของเราสองคน ให้เธอเป็นมากกว่าแฟนคลับ เพราะยังไงเสีย เราก็เคยจูบกันมาแล้ว เพียงแค่เธอต้องใช้ความพยายาม ในการตามติดชีวิตของเขาอีกสักหน่อย ไหนๆ ก็ตามมาสิบปีแล้ว ลองดูอีกสักตั้ง บรืนนน! “นี่ แกรู้ไหม ว่าคำตอบของฉันคือไม่ตกลงนะ” ระหว่างที่รถตู้คันใหญ่ กำลังเคลื่อนตัวไปบนท้องถนน ที่สองข้างเป็นป่าทึบ เพื่อนสาวก็พูดขึ้น พร้อมกับทำสีหน้าไม่เห็นด้วย ทว่าเธอกลับยิ้มกริ้ม แล้วเอื้อมมือไปบีบแก้มอีกฝ่าย “ชิ! ไม่ต้องมาแตะเนื้อต้องตัวฉันเลย” มัสปัดมือของเธอออก แล้วสะบัดหน้างอนไปอีกทาง “ใกล้ถึงจุดส่งตัว…” “Shut up!” “เฮ้ อย่าพูดกับคุณลุงแบบนั้นสิ” “จะไม่ให้พูดได้ไง แกยังไม่ให้ฉันเตรียมใจเลยด้วยซ้ำ” “ก็ใครจะไปรู้ ว่าต้องมาวันนี้เลย” “เหอะ! ไม่รู้ งั้นแกก็ควรกลับค่ะซิส” “ฉันกลับไม่ได้หรอก มาถึงขนาดนี้แล้ว” “ฮึบ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแก ฉันจะโทรไปฟ้องพี่ติณห์” “อย่าเชียวนะ ฉันไม่อยากให้คนในครอบครัวเป็นห่วง” “แล้วจะปล่อยให้ฉันเป็นห่วงแกคนเดียวงั้นเหรอ?” “มัส” “ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉันเลย” “ขอร้อง” “I hate you.” “แต่ฉันรักแกนะ” “หึ!” “ฉันสัญญา ถ้ามันไม่เวิร์ก ฉันจะยอมถอย” “แกจะยอมถอยแน่นะ?” “ถ้ามันไม่เวิร์ก” “แล้วต้องไม่เสียตัวด้วย” “เว้นเสียแต่ผู้ชายคนนั้นเป็นพี่นนท์” “ (-_-) ” “เออ ผมอยากบอกรายละเอียด…” “ถ้าไม่อยากถูกไล่ออก ก็หุบปากซะ” “มัส” “s**t! ฉันโคตรไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย” มัสยังคงวีนเหวี่ยง เธอเลยหันไปคุยแทน “ในสัญญามีกำหนดแค่หนึ่งปีใช่ไหมคะ?” “ใช่ครับคุณหนู ห้าเดือนแรก คุณหนูสามารถออกจากพื้นที่ได้เดือนละหนึ่งครั้ง แต่หลังจากนั้น ห้ามออกเด็ดขาด...” “นี่มันตัวผู้จอมเผด็จการชัดๆ fuck king damn!” มัสแทรกด้วยคำหยาบ เธอจึงรีบจบบทสนทนาทันที “ถึงแล้วครับ” ไม่กี่นาทีต่อมา คุณลุงก็พูดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่รถตู้คันใหญ่ หยุดจอดอยู่บริเวณหน้าประตูรั้วเหล็กสูงสามเมตร ซึ่งสองข้างทาง ยังคงโอบล้อมไปด้วยป่าทึบ และจุดสิ้นสุดของถนน ถูกตัดอยู่แค่ตรงนี้เท่านั้น ไม่มีเส้นทางให้รถขับเข้าไปต่อ “คุณหนูมินตราลงไปพร้อมผมนะครับ” “ฉันจะลงไปด้วย” มัสพูดแทรก ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถ “ไม่ได้นะครับคุณหนู!” คุณลุงรีบห้ามปราม เธอจึงหันไปรั้งแขนเพื่อนเอาไว้ “จะให้คนของท่านพญาเสือเห็นคุณหนูไม่ได้นะครับ” “ท่านพญาเสือ หึ! แค่ชื่อก็ไม่น่าไว้วางใจแล้ว ฉัน…” “มัส แกช่วยฟังคำเตือนหน่อยได้ไหม?” “ทำไมฉันต้องฟัง ในเมื่อแกยังไม่ฟังฉันเลย?” “คุณหนูครับ ถ้าคุณหนูลงไปจะเกิดอันตรายนะครับ” คุณลุงช่วยเตือน เพราะไม่เห็นด้วยที่อีกฝ่ายจะลงไป “เหอะ!” “ฉันขอโทษนะที่ไม่ฟังแก แต่ขอร้อง ช่วยฉันได้ไหม?” มัสกรอกตามองบนอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ยอมปล่อยมือออกจากประตูรถ พอเธอเห็นว่าเพื่อนเริ่มนิ่ง เลยรีบลงจากรถ “หยุดยืนอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับไปไหน” ทันทีที่รองเท้าผ้าใบขาวโพลน เหยียบลงบนเส้นตัดของถนนยางมะตอย ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่น่ากลัว ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าสีดำ คุมโทนสีนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็เริ่มออกคำสั่งให้เธอกับคุณลุงหยุดยืนอยู่กับที่ เพื่อตรวจสอบเอกสารที่เตรียมมา พอเธอได้เห็นการทำงานของทั้งสามแล้ว ทำให้นึกถึงโจรป่า มากกว่ามาเฟีย เพราะดูหยาบโลนกันพอสมควร “ถอดแว่น” หนึ่งในสาม หันมาออกคำสั่งให้ถอดแว่นตา ซึ่งเธอก็ยอมถอดอย่างว่าง่าย ปราศจากพิรุธ เพราะเตรียมตัวมาแล้ว “อืม ที่เขาว่าผู้หญิงไม่ตรงปก คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ” มินตราเลิกคิ้วให้กับประโยคนั้น ก่อนที่ทั้งสามจะหันไปเค้นเสียงหัวเราะ และยอมให้เธอผ่านเข้าไป แต่เธอยังค้างคงคาใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะเธอสวยไม่เท่าลูกสาวของคุณลุง หรือว่าเธอหน้าตาไม่เหมือน จนพวกนั้นทักว่าเธอไม่ตรงปก!? “โทรศัพท์ที่เอาไว้ใช้ติดต่ออยู่ในกระเป๋าเป้นะครับ” ระหว่างที่ร่างเพรียวบาง กำลังเดินคิดไม่ตกไปที่ประตูรั้วเหล็ก คุณลุงก็รีบวิ่งตามมาบอก ถึงสิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ในการติดต่อสื่อสาร เพราะเธอไม่สามารถนำสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดเข้าไปใช้ได้ เพราะมีข้อมูลส่วนตัวเยอะจนเกินไป เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ และง่ายต่อการถูกจับตั้งแต่วันแรก “เลิกอำลาอาลัยลูกสาว แล้วไสกลับไปซะ!” โทนเสียงแข็งกร้าวขับไล่คุณลุง ก่อนจะเดินมาผลักแผ่นหลัง ให้เธอรีบเดินผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าไป ซึ่งด้านในยังคงเป็นป่าทึบ วังเวง ไม่มีโครงสร้างของบ้านตั้งอยู่บริเวณนี้ “รีบขึ้นรถ อย่ามัวโอ้เอ้” ประโยคต่อมา ทำให้มินตรารู้ว่าการเดินทางไม่ได้จบลงแค่เพียงเท่านี้ แต่ยังต้องนั่งรถออฟโรดสีดำ เพื่อเข้าไปในป่าลึกแทนการเดิน ซึ่งถนนที่เห็น ไม่มีเส้นทางชัดเจน มีแต่ดินแดงให้ขับผ่านเหมือนอยู่ในหนังโจรป่าลักพาตัวยังไงอย่างงั้น ซึ่งปกติ เธอไม่ใช่คนขี้กลัว ถึงได้ดึงดันมาจนถึงที่นี่ แต่พอเห็นเส้นทาง ที่ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปพร้อมชายฉกรรจ์แปลกหน้าทั้งสามคน ก็เริ่มแอบหวั่นใจขึ้นมา กลัวว่ารถจะหยุดจอดกะทันหัน แล้วเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอ ขึ้นมาจริงๆ กึก! “จอดรถทำไม!?” เมื่อสิ่งที่คิดดันเกิดขึ้นจริง เธอจึงรีบตั้งคำถามเสียงดัง “แล้วจะแหกปากทำไม รถมันแค่ดับ” คนที่นั่งข้างกายสวนกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะเปิดประตูรถลงไปดูเครื่องยนต์ด้านหน้า ขณะที่อีกสองคน นั่งคุยกันอยู่บนรถ ถึงเรื่องรอรับนายใหญ่ ที่เพิ่งออกจากซังเต “เอาจริง ข้าดีใจที่นายใหญ่กลับมา พวกเราจะได้ไม่ต้องอยู่ใต้ตีนไอ้เสี่ยเปรม ถึงองค์กรมันจะมีอำนาจ แต่ยังไงก็สู้นายใหญ่ของเราไม่ได้” คนขับพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง ขณะที่คนข้างกายก็พยักหน้าเห็นด้วย ส่วนเธอที่อยู่เบาะหลัง ได้แต่นั่งตัวเกร็ง ไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น “เออนี่!” จู่ๆ คนขับก็หันมาคุย ทำเอามินตราถึงกับสะดุ้งโหยง “ถ้านายใหญ่ไปหา ต้องดูแลนายใหญ่อย่างดีเลยนะ” “ค่ะ จะ จะดูแลเป็นอย่างดีเลยค่ะ” ตอบรับเสียงสั่น ขณะที่ชายฉกรรจ์อีกคนกลับขึ้นมาบนรถ ก่อนที่คนขับจะสตาร์ทเครื่องอีกครั้งหนึ่ง แล้วขับต่อไป ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก! ทั้งที่เตรียมใจมาแล้ว ว่าจะเกิดความท้าทาย แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำให้ตื่นเต้นถึงขนาดนี้ จากลูกคุณหนู สู่แม่อุ้มบุญ มันไม่ง่ายเลยที่จะทำตัวสงบเสงี่ยม แต่ยังไงเธอก็ภาวนาให้ตัวเองรอดพ้น จากค่ำคืนแรกไปได้ โดยไม่ต้องเสียพรหมจรรย์ หรือถ้าจำเป็นต้องเสียจริงๆ ขอให้ผู้ชายคนนั้นเป็นพี่นนท์ เพราะเขาเป็นรักแรกที่เธออยากจะมอบความบริสุทธิ์ให้ บรืนนน! เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ที่รถคันนี้ต้องบุกป่าฝ่าดงมาจนถึงหน้าประตูรั้วเหล็กอีกชั้น ซึ่งสภาพแวดล้อมโดยรอบ แตกต่างจากโลกภายนอกลิบ ทว่าสิ่งที่กำลังหมายถึง ไม่ใช่ในทิศทางที่แย่ เพราะหลังที่จากรถคันนี้ ขับเคลื่อนผ่านประตูรั้ว ทำให้เธอได้เห็นเรือนไทยหลังใหญ่ สวยเด่นเป็นสง่า ตั้งอยู่ท่ามกลางอาณาเขต กว้างใหญ่ ที่มีต้นไม้หลากสีสันโอบล้อม นั่นทำให้หญิงสาวถึงกับตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะมีเรือนไทยตั้งอยู่กลางป่าลึกแบบนี้ แต่ดูเหมือนที่นั่น จะไม่ใช่ปลายทาง เพราะรถยังคงขับเคลื่อนเข้าไปด้านใน ผ่านบ้านสวนสไตล์ไทยประยุกต์อีกหลัง แต่รถคันนี้ก็ยังคงไม่หยุดจอด จนกระทั่ง มาถึงบ้านไม้สักเก่าๆ ริมบึง “ถึงแล้ว รีบหยิบกระเป๋าตามลงมา” เอิ่ม…แม่อุ้มบุญคงไม่มีความสำคัญสินะ ถึงได้จัดให้อยู่บ้านหลังสุดในส่วนที่ลับตาคน แถมยังหลังเล็กอีกต่างหาก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD