“รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวมีคนมาดูแล”
หนึ่งในสามหันมาพูดคุยกับหญิงสาว โดยที่ไม่ก้าวขาขึ้นมาบนตัวบ้านไม้สัก ก่อนจะกระโดดกลับขึ้นรถ แล้วพากันออกไปจากบริเวณนี้ด้วยความเร่งรีบ ถ้าให้เดา พวกนั้นน่าจะไปรอรับ ‘นายใหญ่’ เพราะเธอแอบได้ยินผ่านหูตอนอยู่บนรถ
“ก็อยากจะใส่ใจอยู่หรอกนะ แต่…”
เจ้าของใบหน้าสวยคม ภายใต้กรอบแว่นตา พูดพลางหันไปมองประตูบ้าน แล้วกวาดสายตาไล่ไปตามระเบียงหน้าบ้าน ที่มีแต่เศษใบไม้แก่ปลิวเกลื่อน เพราะอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่
ดูจากทรง เธอคงต้องเก็บกวาดที่อยู่อาศัยเอง เพราะเจ้าของบ้าน ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะรับตัวเธอขนาดนั้น ส่วนคนที่บอกว่าจะมาดูแล คงจะเป็นหลังจากเก็บกวาดเสร็จแล้ว
“ฮึบ! เพื่อพี่นนท์ ต้องทนให้ได้”
มินตราพูดเรียกกำลังใจให้ตัวเองอยู่ต่อ ก่อนจะวางกระเป๋าเป้เอาไว้หน้าบ้าน แล้วเข้าไปจัดการทำความสะอาดด้านใน ซึ่งอุปกรณ์ในการปัดกวาดเช็ดถู ถูกวางอยู่หลังประตู ราวกับว่ารอให้เธอจัดการเอง และนั้นก็เป็นไปตามที่คิดเอาไว้
“เขาจ่ายให้เธอเท่าไหร่กันนะ ญาณี”
มินตราเอ่ยถึงชื่อ ‘แม่อุ้มบุญ’ ตัวจริง พร้อมกับตั้งคำถาม ด้วยความตะขิดตะขวงใจ เพราะไม่ได้ถามถึงจำนวนเงินที่อีกฝ่ายได้รับ อีกทั้ง เธอยังไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่พอได้มาเห็นสภาพความเป็นอยู่ และสิ่งที่ต้องทำ ก็เริ่มอยากรู้ขึ้นมาว่าผู้ชายคนนั้นจ่ายหนักหรือเปล่า ถึงได้ให้มาอยู่แบบนี้
“เดี๋ยวค่อยโทรไปถามคุณลุงแล้วกัน แต่ก่อนอื่น…”
ประโยคคำพูดถูกทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน (สีคอนแทคเลนส์) กำลังไล่มองเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนอน ที่เป็นไม้สักทั้งหมด และยังไม่มีเครื่องนอน มีเพียงเตียงหกฟุต ที่มีหน้าต่างสามบานตั้งอยู่บนหัวนอน ถ้ามองออกไปจะเห็นบึงด้านนอก ทว่าส่วนนั้นยังไม่จำเป็น ตัดภาพกลับมาที่ด้านในก่อน เพราะเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ที่มีโต๊ะเครื่องแป้งเก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า และเตียงแค่นี้เลย
โอ๊ะ! ไม่แค่นี้สิ เพราะยังมีฝุ่นและหยากไย่อีกมหาศาล
แต่แค่นี้ยังไม่ทำให้ลูกคุณหนูอย่างเธอฟิวขาดได้
กระทั่งเปิดประตูด้านหลัง ออกไปดูห้องน้ำ ซึ่งมัน…
เป็นแบบไทย (นั่งยอง) ไร้เทคโนโลยี เวลาอาบน้ำต้องตักน้ำในโอ่งมังกรขึ้นมาอาบ และนั่นทำให้เธอต้องวิ่งหน้าตั้งกลับเข้ามาดูภายในห้องนอนอีกครั้ง เพื่อพบกับความจริง ว่าที่นี่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงสองชนิดเท่านั้น คือพัดลมติดเพดาน กับหลอดไฟ (สามดวง) ส่วนปลั๊กไฟไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มี!
“บางทีมัสอาจจะพูดถูก ฉันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ เหอะๆ”
มินตราพูดพลางเค้นเสียงหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนจะรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าในกระเป๋าเป้หน้าบ้าน ออกมากดเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ เพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าสัญญาณที่นี่กลับไม่มีเลยแม้แต่ขีดเดียว ทำให้เธอถึงกับยืนอึ้งไปสามวิ
“ต้องล้อกันเล่นแน่เลย สัญญาณอยู่ไหนเอ่ย~”
หญิงสาวยังไม่หมดความหวัง เลยเดินถือโทรศัพท์หาสัญญาณไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มมืด หน้าเปื้อนรอยยิ้มก็เริ่มเจื่อน
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ?”
เสียงหนึ่งเอ่ยทักด้วยคำถาม ทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง
“ละ แล้วคุณป้าเป็นใครเหรอคะ?”
มินตราถามกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เพราะยังไม่รู้จักกับหญิงมีอายุ เจ้าของเรือนร่างอ้วนท้วมที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อ้อ ลืมแนะนำตัวค่ะ ดิฉันชื่อกลิ่นหยด มีหน้าที่เป็นแม่บ้าน เป็นผู้ช่วยในครัว และเป็นคนที่จะมาดูแลคุณญาณีด้วยค่ะ” คุณป้าแนะนำตัวอย่างสุภาพ ก่อนจะระบายรอยยิ้ม
“ดิฉันเพิ่งกลับจากเยี่ยมหลานที่ป่วยกะทันหัน เลยยังไม่ได้ทำความสะอาดบ้านให้คุณญาณี ดิฉันต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่เดี๋ยวดิฉันจะรีบจัดการให้ทุกอย่างเลย ว่าแต่คุณทานอะไรหรือยังคะ สามารถทานอาหารไทยโบราณได้ไหม?”
คุณป้าในชุดแม่บ้านตั้งคำถาม ด้วยน้ำเสียงใจดี
“ทานได้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาช่วยดูแลหนู”
พูดพลางยกมือไหว้ขอบคุณคุณป้า เพราะถ้าไม่ได้ยินประโยคนี้ เธอคงถอดใจแล้วหาทางกลับไปอยู่ในที่ของตัวเอง
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉัน”
คุณป้าพูดพร้อมกับทำไม้ทำมือให้เธอเลิกยกมือไหว้
“ว่าแต่คุณป้าคะ ที่นี่มีจุดไหนที่มีสัญญาณบ้างคะ?”
“ถ้าเป็นบริเวณนี้ไม่มีหรอกค่ะ ต้องไปแถวเรือนไทย”
“ต้องเดินไปตรงนั้นเลยเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ เพราะบริเวณนั้นเป็นจุดเดียวที่มีสัญญาณ แต่ตอนนี้ดิฉันขอตัวไปยกสำรับมื้อเย็นมาให้คุณทานก่อนนะคะ ดิฉันจะได้ไปทำความสะอาดบ้านต่อ” พูดจบ คุณป้าก็รีบเดินจากไป ซึ่งทางนั้น เป็นทางที่ต้องเดินผ่านต้นไม้สูงใหญ่หลายสิบต้น ที่เปรียบเสมือนกำแพงกั้น ระหว่างบ้านไทยประยุกต์หลังใหญ่ กับบ้านไม้สักหลังเก่าหลังเล็ก ที่ตั้งอยู่บริเวณริมบึง
“มองในแง่ดี อย่างน้อยก็มีคนมาช่วยดูแล”
มินตราพูดปลอบใจตัวเอง และเลือกที่จะมองข้ามปัญหา เพราะถ้ายังเก็บมาคิด มันจะทำให้เธอถอดใจไปง่ายๆ
ฉะนั้น สิ่งที่เธอควรทำในตอนนี้คือ เดินไปวัดระยะทางอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าต้องเดินไกลแค่ไหน ถึงจะไปถึงเรือนไทย ซึ่งบ้านสวนที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก ไม่จำเป็นต้องวัดพื้นที่ เพราะมันกว้างใหญ่เกินกว่าจะวัดได้ แต่ถ้าให้ลองคาดเดาจากสิ่งที่เห็น แค่บริเวณบ้านสวนน่าจะมีพื้นที่เกือบแปดสิบไร่
เมื่อเทียบกับพื้นที่ตั้งคฤหาสน์ ตระกูลไพศาลสมบัติแล้ว ที่นี่ใหญ่กว่าเกือบสามเท่า แสดงว่าเจ้าของต้องไม่ใช่คนธรรมดา ถึงได้ครอบครองอสังหาฯ ที่อยู่ในเขตป่าลึกแบบนี้ได้
“มองจากตรงนี้ไม่เห็นเลยแฮะ”
เจ้าของร่างเพรียวบางพูดกับตัวเอง ขณะที่ยืนมองเส้นทางอยู่ข้างๆ ต้นไม้ ทว่าบ้านหลังใหญ่ที่บดบัง ทำให้เธอต้องเดินอ้อมไปทางฝั่งซ้าย แทนที่จะไปฝั่งขวา เพราะกลัวว่าจะมีคนในบ้านออกมาเห็น และนั่นอาจจะทำให้มีคนไม่พอใจ
ซึ่งตอนนี้ เธอยังไม่อยากทำให้เกิดปัญหานั้น
จึงเลือกที่จะโฟกัสแค่แปลนบ้านสวน และเห็นว่าการจัดวางบ้านในแต่ละหลัง ค่อนข้างชัดเจนและเป็นสัดเป็นส่วน
ถ้าเริ่มต้นจากประตูรั้วเหล็ก จะเห็นเรือนไทยตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณซ้ายมือ (ซ้ายมือของคนที่เข้ามา ไม่ใช่ซ้ายมือของเธอในตอนนี้) ซึ่งบ้านหลังนั้น กินพื้นที่ไปเกือบสิบไร่ เพราะมีการจัดสวนดอกไม้หลากสีสัน บริเวณรอบบ้าน ให้สวยสะดุดตา ถัดมาอาจจะต้องนั่งรถ (ควรนั่ง เพราะเท่าที่วัดระยะทางจากตรงนี้แล้ว ถ้าหากเดินคงต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าวิ่ง อาจจะเร็วกว่านั้น) เพราะมันค่อนข้างไกลกัน
ซึ่งบ้านหลังที่สองถูกสร้างในแนวขวาง กินพื้นที่เกือบ สิบไร่เช่นเดียวกัน เป็นบ้านสไตล์ไทยประยุกต์ที่มีการยกสูงบริเวณชั้นสอง ส่วนวัสดุตัวบ้าน จะผสมผสานระหว่างไม้กับปูน มุงด้วยหลังคาทรงหน้าจั่ว สีน้ำตาลธรรมชาติ ที่ทำจากกระเบื้องดินเผาเกล็ดปลา (มีความรู้เพราะบ้านของคุณย่าสร้างสไตล์นี้เลย) แต่ว่าที่นี่ มีกลิ่นอายความเป็นไทยมากกว่า
แต่! มีบางส่วนที่ไม่เข้าพวกอยู่เหมือนกัน
และส่วนนั้นก็ไม่ใช่บ้านไม้สักริมบึง แต่เป็นกรงเหล็กด้านขวามือ ที่มีความสูงกว่ายี่สิบเมตร และกินพื้นที่ตั้งแต่รั้วด้านหน้า มาจนถึงหลังสุดของบ้านที่เธอต้องอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้พื้นที่เยอะมากที่สุดในบ้านสวน ยิ่งไปกว่านั้น จุดที่เธอกำลังยืนอยู่ในตอนนี้ ก็อยู่หน้าประตูกรงเหล็กพอดิบพอดี
ว่าแต่…คงมีคนที่สงสัยเหมือนกันกับเธอใช่ไหม?
ว่ากรงเหล็กที่สูงและใหญ่ขนาดนี้ ขังตัวอะไรเอาไว้
เพราะถ้าสงสัย แสดงว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน
ทว่าเธอคงไม่โง่ เปิดประตูกรงเข้าไปดูโดยพละการ แต่จะลองกลับไปถามคุณป้ากลิ่นหยด ว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างใน
แต่ตอนนี้เธอต้องหันมาโฟกัสที่เบื้องหน้า เพราะลานดินกว้างขวาง จุดศูนย์กลางของบ้านสวน กำลังมีรถออฟโรดเกือบร้อยคัน ขับเข้ามาจอดกันเป็นขบวนราวกับว่าที่นี่จัดงาน
บรืนนนนน!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงรถ เหล่าชายฉกรรจ์ที่ใช้ผ้าดำปกปิดใบหน้า ต่างพากันเดินลงมาจากยานพาหนะ แล้วตั้งแถวประกบสองฝั่ง เพื่อให้ใครบางคน เดินผ่ากลางจวบจนถึงบ้าน
ซึ่งคนคนนั้น ได้เดินลงมาจากรถออฟโรดสีดำเป็นคนสุดท้าย ทำให้หญิงสาวที่แอบมองอยู่ด้านข้าง ต้องปรับโฟกัสไปที่ตัวบุคคลสำคัญ และพอได้เห็นรูปร่างหน้าตา รวมไปถึงการแต่งตัวของเขา ทำให้เธอถึงกับอึ้ง เพราะไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหน วางมาดสมกับการเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย ขนาดนี้มาก่อน
เขาไม่จำเป็นต้องบอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่กลับทำให้ผู้คนที่พบเห็น สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขาม ที่แสดงออกผ่านทางสีหน้า และแววตาดุดัน ซึ่งนั่นทำให้เธอเกิดอาการสั่นกลัว เพราะไม่คิดว่าจะได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ของเจ้าพ่อมาเฟียจริงๆ
“โอ๊ะ!”
ก่อนที่ความกลัวจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกแปลกใจก็แทรกเข้ามา เมื่อชายหนุ่มที่หมายปอง ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของชายคนนั้น ด้วยลุคหล่อเนี้ยบ สไตล์คุณชาย สมกับที่ได้ฉายา ‘เทพบุตรแห่งสยาม’ เพราะเขาดูโดดเด่น แม้จะไม่ได้อยู่ในวงการ ที่ต้องเฉิดฉายหน้ากล้องแล้วก็ตามที
เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว แมตช์กับกางเกงสแล็คสีน้ำตาล โดยที่เก็บชายเสื้อเอาไว้ในกางเกง และมี Accessories เป็นเครื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็น สร้อย แหวน นาฬิกา คือถูกต้องทุกอย่าง ตรงตามสไตล์ ลุคคุณชายที่ดูสะอาดสะอ้าน เหมือนอาบน้ำวันละสิบรอบ แล้วแบบนี้ จะไม่ให้เธอชอบเขาได้ยังไง
แง้ว~ ขอโทษที พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย พอเห็นหนุ่มที่หมายตา แล้วโฟกัสมันดันไปอยู่ที่จุดเดียว ก็คือ พี่นนท์
“หือ! แบบนี้แสดงว่าเขา ลาออกจากวงการมายา เพื่อมาอยู่ในวงการมาเฟียจริงๆ สินะ!” ทันทีที่นึกขึ้นได้ มินตราก็เริ่มตื่นตัวกับการตัดสินใจของฝ่ายชาย แม้ว่าเส้นทางนี้จะดูตื่นเต้น และท้าทาย แต่มันก็ค่อนข้างอันตรายสำหรับเขามาก
ถึงเธอจะเคารพการตัดสินใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้จริงๆ เพราะผู้คนที่อยู่รอบตัวพี่นนท์ มีแต่รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน โดยเฉพาะผู้ชายที่เดินนำหน้าเขาอยู่ตอนนี้ ดูน่ากลัวเกินกว่าจะผูกมิตร แม้จะได้ชื่อว่าเป็น ‘น้าชาย’ แต่เธอก็ยังไม่ชัวร์ ว่าเขาจะใช่น้าของพี่นนท์จริงๆ หรือเปล่า เพราะรูปร่าง หน้าตา รวมไปถึงสีผิว ระหว่างขาวใสกับแทนเข้ม แตกต่างกันแทบจะทุกส่วน ยังไม่รวมถึงนิสัยใจคอ ที่ดูเหมือนจะต่างกันคนละขั่ว
“อยู่นี่เองเหรอคะ”
ขณะที่หญิงสาวกำลังแอบมอง และพิจารณาอยู่ไกลๆ เสียงหนึ่งก็เอ่ยทักอีกครั้ง ซึ่งเป็นเสียงของ ‘คุณป้ากลิ่นหยด’
“ดิฉันเห็นว่าคุณหายไปนาน เลยออกมาตามหา เผื่อว่าคุณจะต้องการความช่วยเหลือ หรือหลงทางค่ะ” คุณป้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และแสดงความห่วงใย อย่างชัดเจน
“หนูไม่เป็นไรค่ะ แค่มาเดินเล่นฆ่าเวลา”
มินตราหาข้ออ้าง พลางคลี่ยิ้มให้คู่สนทนา
“ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณญาณีรีบกลับไปทานมื้อเย็นที่บ้านเถอะนะคะ เลยเวลามานานแล้วเดี๋ยวจะไม่ดีต่อสุขภาพ”
“อ้อค่ะ ได้ค่ะ หนูจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย ว่าแต่…”
สองขาเรียวหยุดชะงัก เพราะมีเรื่องที่ยังสงสัยอยู่
“กรงเหล็กด้านหลังนี้ เป็นกรงขังตัวอะไรเหรอคะ?”
หญิงสาวเอ่ยถาม พลางชี้นิ้วไปที่กรงเหล็กขนาดใหญ่
“กรงเปล่าค่ะ”
คุณป้าตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ทว่ากลับทำให้เธอคาใจ
“ไม่มีตัวอะไรอยู่ข้างในนั้นจริงๆ เหรอคะ?”
“ไม่มีค่ะ คุณญาณีรีบกลับบ้านเถอะนะคะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจนก็ต้องตัดความสงสัย เพราะไม่อยากไปเสียมารยาท เค้นความจริงจากคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ถ้ามีโอกาส เธอจะเดินมาส่องอีกครั้งอย่างแน่นอน