บทที่ 11

1844 Words
ตืดดด…เพียะ! เป็นการรอเพื่อนรับสาย ที่ต้องตบยุงไปด้วย ตืดดด…เพียะ! “โอ๊ย! กัดเจ็บชะมัด ยุงป่าป่ะเนี่ย ตัวใหญ่โคตร” [บ่นอะไรของแก?] “โห่! กว่าจะรับสาย” [ก็ฉันทำสปาอยู่ แกนั่นแหละ ที่โทรมาดึกเกิน] “อะ แล้วถ้าฉันไม่โทรหา เดี๋ยวแกก็โวยวายอีก” [Crazy~ ฉันไม่ใช่คนวีนเหวี่ยงแบบนั้นค่ะซิส] “นี่แกเลิกเป็นห่วงฉันแล้วหรือไง?” [เป็นห่วงทำไม เพื่อนมีผัวแล้วนะ] “ฮะ!?” [ฉันรับรู้ตัวตนของผัวแกแล้ว ถ้าแกเป็นอะไรขึ้นมา ผัวแกจะถูกฉันเปิดประเด็นเป็นคนแรก แต่เท่าที่ดูจากสัมภาษณ์ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ว่าแต่แกเลือกแล้วใช่ไหม ว่าไม่เอาคนที่แกแอบชอบ แต่เอาพ่อหนุ่มมาเฟียแทน กรี๊ด เริ่ดมากค่าาา] “เดี๋ยว! ฉันยังไม่ได้บอกเลย ว่าฉันไม่เอาพี่นนท์แล้ว” [Oh girl~ แกจะทรีซั่มเหรอ?] “เดี๋ยววว!” [อูววว~ ไม่ธรรมดาเพื่อนสาว] “หยุดคิดเรื่องอุบาทว์ก่อน ฉันจะอ้วก” [งั้นแกจะเลือกใคร เป็นฉัน ฉันเลือกพ่อหนุ่มมาเฟีย ชัดเจนดี ส่วนคนที่แกชอบ ปกปิดเยอะเกินไป ไม่ชัดเจนสักที] “นี่ แกอย่าลำเอียง เพราะยังไม่มีใครชัดเจนทั้งนั้น” [อ้อเหรอจ๊ะ~] “ฉันจะวางสายแล้ว” [เดี๋ยวสิ แล้วนี่แกจะกลับมาวันไหนเนี่ย?] “อ่า…” จริงด้วย เธอต้องกลับหนึ่งครั้งต่อเดือน “ภายในสองสามวันนี้มั้ง เดี๋ยวขอก่อน” [อุ๊ย~ เดี๋ยวนี้มีขออนุญาตผัวก่อนด้วย] “ฉันพูดตอนไหนว่าเขาเป็นผัว?” [โอเคซิส ขอผัวให้ได้นะ สิ้นเดือนมีงานเลี้ยงรุ่นจ้า] เธอเหลือบตามองบน เพราะรู้สึกเอือมกับคำว่า 'ผัว' หึ! ผัวที่ไหน ขู่ฆ่าขนาดนี้ แถมยังบังคับให้เธออยู่อีก “ว่าแต่งานเลี้ยงรุ่นอะไร?” มินตราถามต่อด้วยความสงสัย [เอ้า! ก็งานเลี้ยงรุ่นบัณฑิตเทเวศร์ไงแก] มัสพูดถึงชื่อโรงเรียนเก่า ที่เรียนสมัยมัธยม [เราสองคนไปกันทุกปี แกจำไม่ได้หรือไง?] “จำได้” หนึ่งในเหตุผลที่จำได้ เพราะมีเพื่อนร่วมรุ่นชื่อ 'ลินลี่' นางเป็นหลานสาวผู้ที่มีเชื้อพระวงศ์ เลยยกตนเองเป็นใหญ่เหนือทุกคนในรุ่น แต่อยู่เหนือได้ไม่นาน ต้นตระกูลของนางก็ตุ้บ! ไม่มีศักดิ์ในเชื้อเจ้า ทำให้กลายเป็นสามัญชนคนธรรมดา แต่แม่ของนางดันได้ดีแต่งงานกับเศรษฐี นางเลยกลับมามีฐานะ จนปัจจุบันนี้ ก็เป็นหนึ่งในไฮโซสาวเหมือนกัน [นี่แก ยัยลิ้นหมา นางพูดถึงพวกเราในกลุ่มด้วยนะ] มัสเริ่มเปิดประเด็น เพราะพวกเรามีเรื่องไม่กินเส้นกัน “ก็คงพูดพล่ามไปเรื่อย ตามสไตล์ที่นางถนัด” [ประมาณนั้น แต่นางเน้นเรื่องแก เพราะแกหายไปจากการเคลื่อนไหวในสังคม นางบอกว่าแกเป็นซาแซงโรคจิต ตามติดพี่นนท์จนน่ากลัว] สิ่งที่มัสพูด ทำให้เธอเริ่มฉุน เพราะยัยลิ้นหมารู้ว่าเธอแอบปลื้มพี่นนท์มาตั้งแต่มัธยม นางเลยเอาเรื่องนี้ไปไล่บอกกับคนอื่น ว่าเธอน่ากลัว และน่าสงสารในเวลาเดียวกัน เพราะตามตื้อมาสิบปีแล้ว ผู้ชายเขาก็ยังไม่เอา [แต่แกไม่ต้องห่วง ฉันก็เอาเรื่องนางมาสาธยายลงกลุ่มเหมือนกัน พ่อเลี้ยงมีเมียน้อย สถานะเริ่มสั่นคลอน นางกับแม่กำลังจะถูกเฉียดหัวออกจากตระกูลเศรษฐีในอีกไม่ช้า] “หือ นางไปปรี๊ดแตกเลยเหรอนั่น?” [จะเหลือเหรอ กล้าพูดถึงเพื่อนฉัน มันต้องเจอแบบนี้] มินตรายกยิ้มพร้อมกับกลั้นขำ เพราะเรื่องนี้เด็ดมากๆ “แกเป็นนังตัวแสบ~” [แน่นอน~ ส่วนเรื่องธีมงานเลี้ยง เป็นธีมนักล่านะจ๊ะ ฉันจะเตรียมสั่งตัดชุดให้แกเอง แกเป็นแม่เสือสาว ส่วนฉันเป็นแมวสีสวาด ล่าผู้ชาย ฮ่าๆๆๆ แค่คิดก็โคตรแซ่บแล้วแก~] “แซ่บแบบไหน ถึงได้ขำขนาดนั้น?” [ฉันไม่ได้ขำเรื่องชุดของเรา แต่ฉันกำลังขำยัยลิ้นหมา ปีที่แล้วนางตุ้บแรงมาก เจอชุดแกกับฉันเข้าไปยับเยินเลยแก] “อ้อ จำได้ เพียะ!” [นั่นเสียงอะไรอะ?] “เสียงตบยุง เออแก ฉันวางสายก่อนนะ” [Ooh la la จะรีบกลับไปหาผัวเหรอจ๊ะ~] “จ้าาาา จะรีบกลับไปหาผัวจ้า แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ” ในเมื่อปฏิเสธแล้วเพื่อนไม่เชื่อ ก็ไหลตามน้ำไปเลย [โอเคจ้า อย่าหักโหมนะจ๊ะ แม่เสือสาว Good night~] หลังจากวางสาย มินตราก็เดินบ่นอุบอิบตลอดทางกลับบ้าน เพราะไม่อยากอุ้มท้องให้ผู้ชายบ้าอำนาจ แต่จะขอให้ใครช่วย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า เพราะเธอกลัวว่าคนอื่นจะต้องมาเดือดร้อน ในสิ่งที่เธอตัดสินใจทำลงไป แต่ถ้ายอมฝืนใจมีลูกให้เขา ก็แอบกังวลเกี่ยวกับอนาคต เพราะนั่นก็หนึ่งชีวิต เธอกลัวตัวเองตัดขาดจากลูกไม่ได้ ไหนจะเรื่องพี่นนท์อีก หากเขารู้ว่าเธอมีซัมติงกับน้าชาย รักแรกคงจบสิ้น! “ฉันจะทำยังไงดี…พรึบ!” ขณะที่กำลังตั้งคำถามกับตัวเอง หน้าผากกลมมนก็ดันไปชนเข้ากับแผงอกแกร่งกร้าน พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็น “เฮ้อ! คุณท่านต้องการอะไรอีกคะ?” “เธอไปไหนมา?” หนุ่มหน้าคม อารมณ์บูด เค้นถามด้วยโทนเสียงตำหนิ “ไปโทรหาเพื่อนมาค่ะ” พูดพร้อมกับโชว์โทรศัพท์ในมือ เพราะไม่อยากโกหก “ใครอนุญาตให้เธอติดต่อกับคนภายนอก?” “ไม่มีใครอนุญาตค่ะ แต่ดิฉันจำเป็นต้องติดต่อกับเพื่อน เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวต้องเป็นห่วง คุณท่านเข้าใจใช่ไหมคะ?” มินตราเงยหน้า พร้อมกับพูดโต้ตอบกับคนตัวสูง “แล้วก็เดือนนี้ดิฉันขอลากลับบ้านวันอังคารนะคะ” “ไม่ให้กลับ” “อ้อ ไม่ได้ขออนุญาตค่ะ แค่แจ้งให้ทราบเฉยๆ” พูดจบ เจ้าของร่างเพรียวบางก็โน้มตัวให้คนตรงหน้า พร้อมกับคลี่ยิ้มหวานเชื่อม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง เพื่อคืนโทรศัพท์ให้คุณป้ากลิ่นหยด แต่ยังไม่ทันจะก้าวผ่านประตูบ้าน แรงกระชากคอจากด้านหลัง ก็ดึงกลับยืนไปประจันหน้า “อือ!” “เมื่อไหร่จะเลิกกวนประสาทฉัน?” ท่านพญาเสือเค้นเสียงดุดัน มือบีบรัดลำคอระหงแน่น “อะ อือ!” มินตราดิ้นพล่านเพราะหายใจไม่ออก ก่อนจะยกมือขึ้น ข่วนเข้าที่ผิวแก้มตอบ สร้างบาดแผลเป็นรอยข่วนสามนิ้ว แค่ก แค่ก แค่ก! มินตราไอตัวโก่ง ขณะที่อีกฝ่ายยกมือสัมผัสรอยแผล “เธอข่วนฉันเหรอ?” “คะ คุณกำลังจะฆ่าฉันเลยนะ แค่ก แค่ก แค่ก!” “หึ!” หญิงสาวเงยหน้ามองคนตัวสูง แต่แทนที่เธอจะเป็นฝ่ายโกรธ เขากลับชักสีหน้าหงุดหงิดแล้วเดินหนีเข้าบ้านทันที “อะไรของเขา บีบคอเกือบตาย ขอโทษสักคำก็ไม่มี!?” มินตราเริ่มฉุนเฉียวกับพฤติกรรมดังกล่าว แต่เธอไม่สามารถตามไปด่าทอได้ เลยเลือกที่จะไปคืนโทรศัพท์ แล้วกลับบ้านไปพักสมอง เพราะไม่ใช่เขาคนเดียวที่ต้องอดทนกับเธอ เธอเองต้องอดทนกับพฤติกรรมบ้าคลั่งของเขาเหมือนกัน เช้าวันต่อมา กรึบ~ มินตราเปิดประตูบ้านในยามเช้าตรู่ เพราะอยากหวีผมยาวสลวยด้านนอกตัวบ้าน หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ซึ่งการแต่งตัวของเธอ อยู่ในชุดมิกซ์แอนด์ไม่แมทช์ เพราะเธอเอาเสื้อยืดสีขาวแขนยาว มาสวมใส่กับผ้าถุงลายไทย แล้วก็ใส่รองเท้าแบบหูหนีบ ซึ่งเป็นสไตล์สาวชาวป่ากึ่งสาวชาวกรุง “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณญาณี วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณป้า พอดีว่าหนูรีบตื่นมาสระผม เพราะเมื่อคืนกลับมาตอนฟ้ามืด หนูกลัวเจ้าตุ๊กมาทักทาย เลยไม่ทันได้สระค่ะ” หญิงสาวทักกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “คุณญาณีจะลากลับบ้านพรุ่งนี้เหรอคะ?” “อ้อ ใช่ค่ะ หนูว่าจะบอกคุณป้าอยู่เหมือนกัน” “คุณท่านบอกดิฉันแล้วค่ะ ว่าให้คุณลากลับได้” “อ้อค่ะ” “แต่คุณท่านจะไปด้วยนะคะ” “วะ ว่าไงนะคะ!?” “ดิฉันหมายถึง ออกจากที่นี่พร้อมกันค่ะ” “อ้อ ไม่ได้หมายถึงลากลับบ้านด้วยใช่ไหมคะ?” “ไม่ใช่ค่ะ คุณท่านแค่ไปทำงานในเมืองเหมือนกัน” “อะ อ้อค่ะ” ฟู่ววว! โล่งใจ นึกว่าเขาจะตามกลับไปยันบ้านเลย “คุณญาณีคะ” “คะ?” “เมื่อคืนทะเลาะกับคุณท่านเหรอคะ?” “อ่า…” “ขออภัยที่ถามละลาบละล้วงนะคะ เมื่อคืนดิฉันเห็นรอยแผลบริเวณแก้มด้านซ้ายของคุณท่าน เลยหยิบกล่องยาขึ้นไปให้ แต่คุณท่านปฏิเสธด้วยอารมณ์โมโหร้าย แล้วบอกว่าจะให้คุณญาณีรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ดิฉันเลยมาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะคุณท่านสั่งเอาไว้ หากคุณญาณีตื่นแล้ว ให้ขึ้นไปหาคุณท่านด้วยค่ะ” หลังจากฟังจบ มินตราถึงกับยืนค้างไปสามนาที เพื่อทำความเข้าใจ กับสิ่งที่คุณป้าเล่ามา สรุปคือเขาต้องการให้เธอขึ้นไปทำแผลให้ ถูกต้องไหม “ขอโทษนะคะ แต่คุณท่านทำตัวงี่เง่าบ่อยไหมคะ?” คำถามของเธอ ทำให้คุณป้ากลิ่นหยดคลี่ยิ้มเจื่อนๆ “โอเคค่ะ หนูได้คำตอบแล้ว เดี๋ยวหนูขึ้นไปดูเขาเอง” พูดจบ หญิงสาวก็ย้ายเรือนร่างอรชร ไปที่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งทางเข้าประจำคือด้านหลัง ที่ต้องผ่านห้องครัว เธอเลยแวะหยิบตะเกียบเหล็กมาหนึ่งอัน เพื่อใช้ในการมวยผมยาวสลวยให้เก็บเป็นทรงเรียบร้อย แล้วถึงจะขึ้นไปบนชั้นสอง ซึ่งพื้นที่ภายในบ้านหลังนี้ ใหญ่โตและกว้างขวาง ไม่ได้มีแค่ห้องครัวกับห้องนอน แต่มีห้องโถงขนาดใหญ่อยู่ชั้นล่าง เพื่อรับลูกน้องหลายร้อยคน ที่เคยมาที่นี่ ทว่าเธอเห็นแค่ผ่านๆ ตอนที่คุณป้าแม่บ้าน เปิดประตูเข้าไปทำความสะอาด ส่วนชั้นสอง เป็นพื้นที่ส่วนตัวของ 'ท่านพญาเสือ' มีประตูมากมาย แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามีห้องอะไรบ้าง เพราะห้องเดียวที่เคยเข้าไป คือห้องนอนสุดทางเดิน และห้องนี้ น่าจะเป็นห้องที่เล็กที่สุดในบ้าน หากไม่รวมห้องแม่บ้านที่อยู่ชั้นหนึ่ง (ขนาดแม่บ้านยังได้อยู่ที่นี่ แต่เธอยันอยู่ข้างนอก!) ฮึบ! คิดแล้วมันน่าหงุดหงิด แต่พอคิดใหม่ ก็ถือว่าเป็นข้อดี เธอจะได้ไม่ต้องอยู่ในสายตาของเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เอ๊ะ! อยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นแตกต่าง ยังไงเขาก็ให้คุณป้าตามติดชีวิตเธออยู่ดี เฮ้อ! รู้แบบนี้แล้วก็แอบเซ็งเหมือนกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD