บทที่ 1

2314 Words
[ไม่ทราบว่าคุณนนท์ วางแผนอนาคตเอาไว้ไหมคะ?] พิธีกรสาวเอ่ยถามนักแสดงหนุ่มหน้าหล่อ เจ้าของฉายา ‘เทพบุตรแห่งสยาม’ ซึ่งฉายานี้ ได้มาจากผลงานการแสดง ที่เจ้าตัวรับบทเป็นเจ้าชายของเมืองไทย และทำผลงานเอาไว้ได้ดี จนสาวๆ ทั่วประเทศ เอ่ยปากชมในความสามารถ บวกกับหน้าตาหล่อเหลา ลูกครึ่งไต้หวัน ที่เหมือนเทพบุตรจุติ ความสูงยาวเข่าดี ดูสะอาดสะอ้าน เหมือนอาบน้ำวันละสิบแปดรอบ ทำให้ผู้ชายคนนี้ เหมาะสมกับบุคลิกเจ้าชาย และเป็นที่หมายปองของเหล่าไฮโซสาวสวยเฉกเช่น ‘มินตรา’ [แน่นอนครับ ผมต้องวางแผนอนาคตเอาไว้อยู่แล้ว] น้ำเสียงอ่อนโยนตอบกลับด้วยความสุภาพ ก่อนที่รอยยิ้มมีเสน่ห์จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อตี๋ ทำให้แฟนคลับที่กำลังเฝ้ารอซีนนี้อยู่หน้าจอ ต่างหลอมละลายไปตามๆ กัน เพราะความหล่อมันกระแทกตาจนอยากได้มาเป็นพ่อของลูก [แต่แผนนั้น อาจจะทำให้แฟนคลับของผมเสียใจ] [เอ๋? ยังไงเหรอคะ?] พิธีกรทำหน้าสงสัย ไม่ต่างจากแฟนคลับที่ถูกพูดถึง [ผมจะลาออกจากวงการครับ] “ฮะ!!” ร่างเล็กสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาหลุยส์ พร้อมกับอุทานเสียงดังลั่นคฤหาสน์ร้อยล้าน [คะ คุณนนท์พูดจริงเหรอคะ?] พิธีกรทวนซ้ำคำตอบ เพราะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ซึ่งคนในรายการ ก็ไม่คิดว่าจะมีการประกาศข่าวนี้เกิดขึ้น ดูจากสายตาเลิ่กลั่กของพิธีกร และเสียงอื่นที่แทรกเข้ากล้อง ทำให้รู้ว่า นี่ไม่ใช่การเตี๊ยม แต่เป็นการประกาศสดจากเจ้าตัว [แน่นอนครับ ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง แม้ว่าผลตอบรับด้านการแสดงจะทำให้ผมมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แต่งานอีกด้านก็เป็นสิ่งที่ผมวางแผนเอาไว้ หลังจากประสบความสำเร็จทางด้านนี้แล้ว ซึ่งผมไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ผมอยากให้แฟนคลับของผมรับรู้ ว่าผมซาบซึ้งใจในแรงซัพพอร์ตของทุกคนที่รักผม หากไม่มีทุกคน ก็คงไม่มีผมในวันนี้ หากไม่มีชาวิน ก็คงไม่มีนนท์เช่นเดียวกัน] “ (-0-!) ” [ผมจะไม่คาดหวัง แต่จะภาวนาให้เทพบุตรแห่งสยามอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส และขอบคุณแฟนคลับทุกคนนะครับ] สิ้นสุดประโยคนั้น นักแสดงหนุ่มหน้าหล่อก็ยกมือไหว้ขอบคุณทุกทุกคน ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วบอกลาด้วยรอยยิ้มที่สุดแสนอ่อนโยน จากนั้นก็เดินออกไปจากการสัมภาษณ์สด ซึ่งการสัมภาษณ์ในวันนี้ สร้างความฮือฮาให้แก่คนในวงการ แล้วแฟนคลับนับหมื่นชีวิต ที่ติดตามผลงานของนนท์ ทวิวัฒมานานกว่าสิบปี จนกระทั่งเจ้าตัวประกาศลาออกจากวงการอย่างกะทันหัน เพื่อเดินตามเส้นทางที่เจ้าตัวได้เลือกไว้ “ฮืออออ!” หลังจากฟังสัมภาษณ์ช็อกโลกได้ไม่นานนัก หนึ่งในแฟนคลับนับหมื่น ก็ตกอยู่ในสภาวะโศกเศร้า เสียใจ ร้องห่มร้องไห้เหมือนมีคนในครอบครัวตายจาก จนเพื่อนสนิทที่เป็นไฮโซด้วยกัน ต้องรีบบึ่งรถหรู มาปลอบใจเพื่อนสาว ที่ยังอยู่ในอาการโคม่า ฟูมฟายเหมือนคนกำลังจะเป็นบ้าในอีกไม่ช้า “Don’t cry นะ honey ต่อให้หนุ่มที่ชอบจะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสเจอเขาในแวดวงอื่นอยู่นะ” “ฮรึก เขาไม่เปิดเผยเรื่องนั้น แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง?” “Really!?” “ไม่ต้องมาทำเป็นตกใจเลย ฉันส่งบทสัมภาษณ์ให้แกอ่านทุกประโยค แกก็น่าจะรู้ ว่ามันทำให้ฉันเจ็บปวดแค่ไหน!” “Oh I’m so sorry” “ฮืออออ!” “รู้ว่า sad แต่ช่วย calm down ก่อนได้ไหม?” “ฮืออออ!” “Ok สภาพหนังหน้าแกตอนนี้ ugly มากค่ะซิส” “Fuck you (-*-!) ” “ฮ่าๆๆๆ ปรับอารมณ์ไวมาก แต่ก็ดี แกจะได้ฟัง” “ไม่ฟัง (-*-!) ” “แกต้องฟัง เพราะฉันจะหาทางช่วยให้แกสมหวัง” “ยังไง?” “ไหนบอกไม่ฟัง?” “Fuck you (-*-!) ” “หยาบใส่ เดี๋ยวไม่ช่วยนะคะ” “Pleaseee (T~T) ” “ถ้าอยากให้ช่วย ก็ต้องฟังค่า” “ (พยักหน้าหงึกๆ) ” “ฉันจะให้พี่ชายของฉันช่วยสืบสิ่งที่แกอยากรู้” “แบบนั้น…มันจะกลายเป็นซาแซงหรือเปล่า?” “หรือว่าแกไม่อยากรู้?” “อยากสิ!” “ถ้าอยากรู้ก็ช่างหัวเรื่องพวกนั้นไปก่อน เพราะแกเคยมีโมเมนต์กับหนุ่มที่แอบชอบ แถมยังลงทุนไปเรียนทำอาหารชาววังตั้งหลายปี เพื่อส่งอาหารสามมื้อ สามเวลา ทั้งที่แกไม่เคยทำอาหารให้พ่อแม่แกกินเลยด้วยซ้ำ (อันนี้เหมือนด่า) แกทำเพื่อเขาขนาดนี้ มันเกินหน้าที่แฟนคลับไปแล้ว ฉะนั้นแกมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ว่าเขาจะไปทำงานอะไรต่อ หลังออกจากวงการ” “แต่มันจะไม่ก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวเกินไปเหรอ?” “นี่! แกตามเขามาสิบปีแล้วนะย่ะ ต้องให้ฉันพูดไหม ว่าแกเป็นคนที่ซัพพอร์ตเขาทุกอย่าง ทั้งเรื่องงานในวงการ ทั้งเรื่องบทละคร ล้วนมาจากแกที่เป็นคนติดต่อผู้จัดให้ ถึงแกจะอยากปิดทองหลังพระ แต่ยังไงความสำเร็จที่เขาได้ไป ส่วนใหญ่มันก็เป็นเพราะแกดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่แกชอบ” “…..” “ซึ่งมันไม่ผิดเลย ถ้าแกอยากจะรับรู้ชีวิตเขาต่อจากนี้” “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” “Good girl ถ้าเข้าใจ งั้นเราไปสปากันดีกว่า เน๊อะ~” “โอเค bestie~” สาวสวยตอบตกลง ด้วยโทนเสียงร่าเริงต่างจากตอนแรก ก่อนจะกอดแขนเพื่อนซี้ไปขึ้นรถหรู เพื่อออกไปทำสปารวมถึงชอปปิงสักสิบล้าน ฆ่าเวลาระหว่างรอข้อมูลจากเพื่อน อะแฮ่ม~ อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว อย่าคิดว่ามินตรา เป็นลูกคนรวยที่ชอบผลาญเงินพ่อแม่ไปวันๆ เพราะประวัติของ ‘มินตรา ไพศาลสมบัติ' ก็ไม่ธรรมดา เป็นถึงนักศึกษาปริญญาตรี มหาลัยอินเตอร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แม้จะเป็นพวกคลั่งไคล้นักแสดง แต่ในเรื่องการทำธุรกิจ มินตราก็ไม่เคยผิดพลาด เพราะหลังจากเรียนจบ เธอก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์น้ำหอม จนแบรนด์นั้นเติบโตเป็นแบรนด์ใหญ่ สร้างชื่อเสียงทั่วทั้งโลก และนอกเหนือจากธุรกิจแบรนด์น้ำหอม ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมไปถึงธุรกิจเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ ฟังดูอาจจะยิ่งใหญ่เกินตัว แต่ก็ยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจของตระกูลไพศาลสมบัติ ซึ่งพ่อของเธอเป็นเจ้าของ ส่วนแม่เป็นหนึ่งในผู้บริหาร ที่ช่วยทำธุรกิจต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมีพี่ชายคนโต ชื่อ ‘มาติณห์' อายุสามสิบกว่า แต่เป็นถึงนายทุนในแอฟริกา ขุดหาเหมืองแร่ เหมืองทอง กับเพื่อนนายทุนจีนอีกสามคน ซึ่งเธอกับพี่ชาย ไม่ได้เจอกันมาแปดปีแล้ว แต่เราไม่ได้มีปัญหากับการเจอหน้า เพราะรู้ดีว่า ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ตัดภาพไปที่พี่สาวคนกลางของเธอ มีชื่อว่า ‘เมทัล' เราสองคนได้เจอกันปีละสามครั้ง ต่างจากพ่อแม่ ที่มีโอกาสได้เจอลูกแค่เพียงปีละครั้งเท่านั้น เพราะท่านทั้งสองค่อนข้างยุ่งอยู่กับธุรกิจ ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะแบ่งให้ลูกทั้งสามคน จึงแวะเวียนมาหาในวันเกิดเท่านั้น ส่วนพี่ชายจะโทรมาอวยพร (หากไม่ลืม) ซึ่งเธอก็ไม่ได้วอรี่เรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะเหตุผลเดียวคือ ทุกคนทำงานเพื่อ ‘หาเงิน’ และเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชีวิตเราสุขสบาย นั่นเลยไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องนอยด์ครอบครัว พรึบ~ ถุงใส่กระเป๋าแบรนด์เนมจำนวนหลายสิบใบ ถูกวางลงบนพรมหนังแกะสีขาวบริสุทธิ์ ขณะที่เจ้าของทิ้งร่างอรชรลงนอนบนเตียงคิงไซซ์ เพื่อพักขาหลังจากเดินชอปปิงมานานกว่าห้าชั่วโมง เพื่อคลายความเหงา หลังจากไม่มีอะไรทำแล้ว ในเมื่อธุรกิจมันโฟลได้ด้วยตัวมันเอง เจ้าของแบรนด์อย่างเธอก็มีเวลาว่างมากพอ ที่จะใส่ใจชีวิตของคนอื่น ซึ่งในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่เธอกำลังจะตัดสินใจ ว่าจะเลือกอนาคตไปทางไหนดี เพราะได้รับคำแนะนำจากพี่สาวมา ว่ามีไฮโซหนุ่มสนใจในตัวเธอ และเขาก็เป็นเพื่อนสนิทของเมทัล แน่นอนว่าเธอรู้จัก เพราะเขาเป็นถึงลูกชายนักธุรกิจหมื่นล้าน ซึ่งมันฟังดูไม่แย่เลย หากเธอจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายคนนี้แล้วใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองไปจนวันตาย ทว่ากลับมีผู้ชายคนหนึ่ง เข้ามาเป็นช้อยส์สำคัญ ให้เธอต้องเลือกระหว่างชีวิตสุขสบาย อย่างที่เคยเป็นมาตลอดยี่สิบสามปี หรือเปลี่ยนไปใช้ชีวิตท้าทาย เพื่อไล่ตามความรัก จากผู้ชายที่แอบชอบ ซึ่งมันไม่ใช่แค่แอบปลื้มสไตล์แฟนคลับทั่วไป แต่เธอใส่ใจเขามากจริงๆ จนถึงขั้นเป็นห่วงอนาคต เลยพยายามทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ผู้ชายคนนี้ประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งปัจจุบัน เขาได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ฝันเอาไว้ นั่นทำให้เธอคิดว่าหลังจากนี้ เราสองคนอาจจะมีโอกาสได้สานสัมพันธ์กันต่อ ในสถานะที่ลึกซึ้งกว่าแฟนคลับ แต่อย่าคิดว่าเธอเป็นพวกซาแซงโรคจิต ที่ตามติดชีวิตศิลปินจนเกินความเหมาะสม เพราะหากไม่มีการโต้ตอบจากฝ่ายชาย เธอคงไม่ตามติดชีวิตผู้ชายคนนี้มานานกว่าสิบปี ทว่าเขาดันเป็นเจ้าของ ‘จูบแรก’ ทำให้เธอตัดใจทิ้งเขาไม่ได้จริงๆ [ถึงขั้นส่งข้าวส่งน้ำสามมื้อ เขาก็น่าจะโทรมาบอกแกบ้างว่ากำลังออกจากวงการ ไม่ใช่มาเซอร์ไพรส์แกแบบนี้เลย] ปลายสายพูดขึ้น ระหว่างการสนทนาในยามค่ำคืน “เขาอาจจะมีเหตุผลเป็นของตัวเองละมั้ง” [มีเหตุผลยังไงก็ควรบอกแกค่ะ เพราะแกเป็นถึงบิ๊กแฟนคลับ ที่เคยกอดจูบดูดปากกับเขา ถ้าจะให้พูดตรงๆ ตามทฤษฎีแล้ว แกสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนได้เลยนะ] “บ้า~ ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” [บ้าาา~ หึ! ก็แกเป็นซะอย่างนี้ไง ความสัมพันธ์ถึงยังไม่เดินหน้า เพราะแกรอผู้ชายรับรัก ซึ่งเขาก็ไม่ยอมง้างปากพูดว่าชอบแกเสียที แต่ดันแอบกิ๊กกั๊ก ทำให้แกหวั่นไหว ชวนไปดื่ม ชวนไปนั่น ชวนไปนี่ เหลืออย่างเดียวคือชวนขึ้นเตียง ที่ยังไม่ได้ทำ เอ๊ะ! หรือว่าทำแล้ว แต่แกไม่ยอมบอกฉันคะซิส?] เพื่อนสาวในเฟสไทม์ถึงกับหรี่ตาจับผิด “หยุดคิดถึงเรื่องนั้น เพราะมันยังไม่เคยเกิดขึ้นค่า~” [What! แกกับเขาก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมเขาถึง…] “ก็เรายังไม่ใช่แฟนกัน จะไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง” [โธ่~ แม่สาวน้อย เรื่องแบบนั้นที่แกหมายถึง มันควรเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนอายุสิบแปด ไม่ใช่ปล่อยให้เหือดแห้งมาจนถึงเรียนจบ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าแกเตรียมเสียตัวให้เขามาโดยตลอด เพราะแกลงทุนไปเลเซอร์ขนอ่อน ตั้งแต่หัวจรดเท้า เข้าสปาบำรุงผิวนู่นนี่นั่น ก็เพื่อให้เขาสนใจแกไม่ใช่เหรอ] “ก็ใช่ เรื่องนี้ขอไม่เถียง” [ขอไม่เถียงเพราะแกเถียงไม่ได้ค่ะซิส] “ (-/////-) ” [นี่ ฉันจะบอกเอาไว้เลยนะ ว่าแกไม่ใช่ผู้หญิงขี้ริ้วขี้เหร่ กลับกัน แกเป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟกต์ทั้งด้านรูปร่างหน้าตา และสถานะทางสังคม เหล่าไฮโซในแวดวง ต่างอย่างมีชีวิตแบบแกทั้งนั้น เพราะแกประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังสวยพิฆาต ตัวเล็ก เซ็กซี่ ผิวสีน้ำผึ้ง หน้าตามีเสน่ห์ หุ่นดีโคตรๆ แล้วแบบนี้ แกจะไปกลัวอะไรกับการเลือกผู้ชาย] “ฉันไม่ได้กลัว ฉันแค่รอเวลา” [แล้วจะรอไปจนถึงเมื่อไหร่?] “ถึงตอนนี้ไง ฉันจะจริงจังแล้ว” [Really?] “อื้ม~ ได้ข้อมูลจากพี่ชายของแกมาเมื่อไหร่ ฉันจะเดินหน้าเต็มกำลัง ชนิดที่ว่า เอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ เพราะฉันอยากจะแต่งงานกับเขา ไม่ว่าเขาจะทำงานสายไหน ฉันจะยัดเยียดตัวเองเข้าไป ทำให้เขาเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ คู่ควรที่จะเป็นแม่ของลูก และพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อเขาคนเดียว!” [Calm down ค่ะซิส มีเป้าหมายได้ แต่อย่าหลงผู้ชายจนหัวปักหัวปำ แกต้องเข้าหาเขาอย่างมีสติ เพราะอาจจะมีบางเรื่องที่แกยังไม่รู้จักเขาดีพอ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเรื่องนั้นคืออะไร แต่ฉันอยากให้แกเผื่อใจรัก เผื่อใจเจ็บเอาไว้บ้าง เพราะฉันเคยผ่านความรู้สึกนั้นมาก่อน เลยอยากเตือนแกว่าการเอาหัวใจลงไปเล่น มีความเสี่ยงที่แกอาจจะเสียใจกลับมาได้] “ฉันมั่นใจว่าฉันรู้จักเขาดีพอ” [ฉันก็อยากให้ความเข้าใจของแกมันถูกต้อง แต่ที่ฉันเตือน เพราะฉันเป็นเพื่อน และเป็นห่วงความรู้สึกของแกด้วย] “เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะ” [No problem, I’m happy~]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD