บทที่ 20

1871 Words
หนึ่งเดือนต่อมา วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีเรื่องความสัมพันธ์บนเตียงเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เราสองคนพูดคุยกันน้อยลง และที่สำคัญ เรานอนแยกห้อง แม้ว่าภาพรวม จะอยู่ในห้องเดียวกัน มีห้องทานอาหารที่ต้องใช้ร่วมกัน แต่ห้องน้ำกับห้องนอนก็ถูกแยกเป็นสองห้อง ซึ่งความคิดแบ่งโซน มาจากเธอที่ไม่สะดวกใจนอนเตียงเดียวกันกับเขา หรือใช้ห้องน้ำร่วมกัน เสมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน จึงขอให้แยกห้องส่วนตัว เพื่อความสบายใจของเธอ และตอนนี้ สถานะของเธอ ชัดเจนว่าเป็นแค่ ‘แม่อุ้มบุญ’ “อยากกลับไปอยู่บ้านไหม?” หนุ่มหน้าตาคมเข้ม ถามความคิดเห็นจากหญิงสาว “ไม่ ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่น” มินตราปฏิเสธ เพราะไม่อยากกลับไปเจอชายหนุ่มที่แอบชอบ ในสภาพที่ตนเองตั้งท้อง บวกกับไม่อยากสร้างความผูกพันกับใคร หรือสถานที่ไหน เพื่อให้เป็นความทรงจำ และสิ่งที่เธอรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับผู้ชายตรงหน้า คือเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเจ้าของโรงแรมหรู ที่เธออาศัยอยู่ในตอนนี้ และแน่นอนว่าเธอไม่ได้แอบฟัง แต่เขาคุยโทรศัพท์เรื่องงาน ในตอนที่เรากำลังทานมื้อเย็นกันอยู่ นั่นจึงทำให้เธอรู้ว่า เขากำลังปรับเปลี่ยนเส้นทาง จากการทำธุรกิจสีเทา เป็นการทำธุรกิจ ถูกกฎหมาย ซึ่งสิ่งที่เขาทำ มันส่งผลดีต่อตัวเขาเอง การติดคุกสิบปี ด้วยคดีค้าอาวุธเถื่อน คงทำให้เขาคิดได้ ว่าสิ่งไหนควรทำ หรือสิ่งไหนไม่ควรทำ พอได้รับอิสรภาพ เขาถึงมีความคิด ที่อยากจะปรับเปลี่ยน เพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้ “คุณกับแฟนอยากมีลูกจริงๆ ใช่ไหม?” มินตราเอ่ยถาม เพราะอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงเรื่องลูก “ฉันเป็นฝ่ายที่อยากมี” “แล้วแฟนคุณไม่อยากมีเหรอ ฉันหมายถึง ถ้าฉันยกลูกให้ แฟนคุณจะมองเด็กที่เกิดมา ด้วยความรู้สึกแบบไหน?” “มองแบบไหนไม่รู้ แต่ฉันรักลูกแน่นอน” “คุณเป็นพ่อ คุณต้องรักลูกอยู่แล้ว แต่กับคนของคุณ” “เราตกลงกันแล้ว คนของฉันไม่มีปัญหา” “โอเค ถ้าคุณยืนยันอย่างนั้น ฉันจะได้สบายใจ แต่ถ้าคุณสองคน มีปัญหาเรื่องเด็กเมื่อไหร่ ฉันขอลูกของฉันคืนนะ” “จะคืนได้ยังไง ในเมื่อฉันเป็นพ่อ…” “ฉันก็เป็นแม่เหมือนกัน คุณอย่าลืมสิ” มินตราสวนกลับ เพราะมันเป็นเรื่องยาก ที่ต้องทำใจยกลูกให้ใครสักคน แต่ในเมื่อเราทั้งสอง เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเด็กคนนี้ การตัดสินใจร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเธอไม่อยากให้ลูกไปอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเขา และถ้ามีตัวเลือกที่ดีกว่านี้โดยไม่มีการบีบบังคับ เธอคงเลือกเอาลูกไปเลี้ยงเอง “ในสัญญาเขียนว่ายังไงไม่รู้ เพราะฉันไม่ใช่ญาณีตัวจริง และฉันไม่ได้ผลประโยชน์จากการเซ็นสัญญา แต่ที่ฉันยังอยู่ เป็นเพราะอะไรคุณก็น่าจะรู้ดี ฉะนั้นคุณควรรับฟัง แล้วเรามาตกลงกันในฐานะพ่อและแม่” หญิงสาวพูดกับฝ่ายชายอย่างมีสติ ซึ่งเขายอมรับฟัง แต่จะทำตามไหมคืออีกเรื่องหนึ่ง “คุณอยากมีลูก โอเค ตอนนี้ฉันท้องแล้ว ฉันสามารถยกลูกให้คุณดูแลได้ แต่สิทธิ์ความเป็นแม่ ยังคงเป็นของฉัน และจะไปตลอดชีวิต แต่เมื่อไหร่ที่คุณมีปัญหา ไม่สามารถทำหน้าที่พ่อ หรือเลี้ยงเด็กคนนี้ได้อีกต่อไป ฉันจะมารับลูกทันที และจะไม่มีวันคืนลูกให้กับคุณ ฉะนั้น คุณมีสิทธิ์แค่ครั้งเดียว” “…..” “เข้าใจที่ฉันพูดไหม?” “อืม” เขาขานรับในลำคอ ด้วยประโยคสั้นๆ “อีกหนึ่งเรื่องที่ฉันอยากถามเพื่อความชัดเจน” “…..” “หลังจากคลอด คุณต้องการให้ฉันไปเลยไหม?” “ไม่” “แล้วฉันต้องอยู่ต่ออีกกี่เดือน?” “…..” “ทำไมคุณถึงไม่มีคำตอบให้…” “เดี๋ยวเราค่อยคุยกันเรื่องนี้อีกที” เขาพูดแทรกประโยค ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ถึงได้ลำบากใจในการตอบ แต่ก็ไม่คิดจะไปเซ้าซี้ เพราะเธอต้องเตรียมตัวรอรับเพื่อนสาว ที่บินมาหาจากกรุงเทพด้วยความคิดถึง และที่สำคัญ เธอยังไม่ได้บอกเรื่องลูก เพราะถ้าหากมัสรู้ว่าเธอถูกบังคับ ทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที “คงดูไม่ออกหรอก...มั้ง” หญิงสาวพูดพึมพำด้วยความไม่มั่นใจ พลางมองตัวเองในกระจก ซึ่งปัจจุบันอายุครรภ์ของเธอคือเจ็ดสัปดาห์ โดยประมาณ แต่ว่าหน้าท้องกลับใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน “ไม่! มัสต้องดูออกแน่เลย” มินตราเริ่มเครียด เพราะไม่มีเหตุผลดีๆ ที่จะหลีกเลี่ยงการไปเจอหน้าเพื่อนสาว ขนาดเธอบอกว่าป่วย ไม่สามารถบินกลับกรุงเทพได้ เพื่อนยังบอกปัด แล้วเลือกที่จะมาหาด้วยตัวเอง ตอนแรกจะบอกว่าป่วยเป็นโควิด แต่กลัวว่าเพื่อนจะไปบอกเรื่องนี้กับคนในครอบครัว เธอเลยชั่งใจ แล้วบอกว่าป่วยไข้หวัด ไม่ได้ร้ายแรง นั่นเลยทำให้เพื่อนบินมาหาในวันนี้ จากเอาตัวรอด ตอนนี้กลายเป็นวิกฤตเสียแล้ว “ท้องใหญ่ขนาดนี้ ชุดไหมพรมก็เอาไม่อยู่” มินตราหัวหมุนกับการหาชุด เพราะไม่มีชุดไหน ที่เธอสามารถปกปิดขนาดหน้าท้องได้เลย อันที่จริง ไม่ใช่แค่ขนาดหน้าท้องที่ใหญ่ขึ้น เพราะน้ำหนักตัวของเธอก็ขึ้นมาสิบกิโล และเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่น้ำหนักตัวขึ้นเร็ว และเยอะขนาดนี้ จากที่เคยเป็นสาวสวยหุ่นแซ่บ รูปร่างเพรียวบาง ตอนนี้เริ่มกลายสภาพเป็นแม่หมู ทั้งที่ลูกหมูยังไม่ได้คลอดเลยด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอรู้ที่มาของสิบกิโล เพราะการเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง กินเสร็จก็กลับมานอน เพราะไม่มีอารมณ์ไปทำอย่างอื่น แล้วแบบนี้ จะไม่ให้น้ำหนักขึ้นได้ยังไง “ทำไมถึงชอบทำเรื่องผิดพลาดซ้ำซากนะ ยัยมิน!” มินตรายืนด่าทอตัวเองอยู่หน้ากระจก แต่ก็แอบสงสัย ว่าทำไมท้องของเธอถึงได้ใหญ่กว่าปกติ ซึ่งตอนที่ไปนัดคุยกับหมอล่าสุด หมอบอกว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่เธอจะได้ลูกแฝด แต่ไม่ชัวร์ เพราะต้องรอถึงให้กำหนดอัลตร้าซาวด์ ถึงจะตรวจได้ ซึ่งกรรมพันธุ์ฝั่งเธอ พ่อของเธอมีพี่ชายฝาแฝด แต่พ่อกลับไม่เคยมีลูกแฝด เธอเลยไม่มั่นใจ ว่าจะมีลูกแฝดได้ไหม ส่วนฝั่งผู้ชายเขาเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ไม่มีกรรมพันธุ์ฝาแฝด แต่! ถ้าโชคดีได้ลูกฝาแฝดขึ้นมาจริงๆ ในฐานะพ่อและแม่ เราสองคนจะต้องกลับมาคุยกันเรื่องการแบ่งลูก เพราะเธอไม่มีทางยินยอม ยกลูกให้เขาทั้งสองคน อย่างน้อย ลูกหนึ่งคนก็ต้องยกให้เธอเลี้ยงเอง โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่สามี เพราะเธอสามารถดูแลลูกของเธอได้อย่างแน่นอน ทว่า…ก่อนจะไปถึงตอนนั้น ต้องพรางหุ่นยังไงให้เนียน!? “หรือควรจะบอกความจริงกับเพื่อน?” ถึงจะเป็นความคิดที่อาจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ แต่ถ้าโกหกคนคนนี้ต่อไป แล้วเกิดถูกจับได้ จะเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่า “โอ๊ย! ปวดหัว” มินตรายกมือขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด ก๊อก ก๊อก ก๊อก! “เกิดอะไรขึ้น เธอเป็นอะไรหรือเปล่า!?” คนด้านนอกเคาะประตู พร้อมกับตะโกนถาม “ถ้าไม่ตอบ ฉันจะใช้กุญแจสำรองนะ!” หือ! มีกุญแจสำรองห้องนอนของเธอด้วยเหรอ? กรึบ~ “ส่งกุญแจสำรองมาเดี๋ยวนี้เลย” “เธอปวดหัวเหรอ?” “เปล่า แต่ฉันอยากได้กุญแจสำรอง” “ไม่มี” “อ้าว เมื่อตะกี้คุณยังพูดว่ามีอยู่เลย” “ไม่มี เหมือนหางเสียงของเธอตอนนี้” หึ! ยังต้องการให้พูดเพราะอยู่อีกเหรอ “ตอนเย็นเพื่อนของฉันจะมาหาที่นี่นะ” “อืม” “คุณกลับไปอยู่กับแฟนก่อนก็ได้” “ไม่ ฉันจะอยู่กับเธอ” เขาตอบทันที โดยที่ไม่หยุดคิดเลย “แล้วแฟนคุณอยู่กับใคร?” “สนใจทำไม?” “ไม่ได้สนใจ แค่ถามเฉยๆ” “ไม่ต้องถาม สนใจแค่เรื่องของเราก็พอแล้ว” “อ่า งั้นก็ตามใจคุณแล้วกัน” เธอขี้เกียจยืนเค้นให้มากความ เลยบอกปัดไป “เดี๋ยว” ฝ่ามือหนาเอื้อมมากั้นประตูเอาไว้ ไม่ให้เธอปิด “หกเดือน” “คือ?” “หลังคลอดอยู่ต่ออีกหกเดือน เพราะเธอต้องให้นมแม่ หกเดือนแรกสำคัญมาก” เขาพูดเสียงเรียบ ทว่าสีหน้าเหมือนมีเรื่องที่อยากจะพูดมากกว่านั้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา “โอเค ตามนั้น” “….” “กรุณาเอามือออกด้วย ฉันจะไปแต่งตัวแล้ว” “อืม” เขาตอบรับ ก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากประตู ก๊อก ก๊อก ก๊อก! หลังจากปิดประตูไม่ถึงนาที เขาก็เคาะเรียกอีกครั้ง กรึบ~ “ว่า?” “หลังคลอด เธอจะกลับไปอยู่กรุงเทพเหรอ?” “ถามทำไม?” “ก็อยากรู้ ถึงได้ถาม” “ไม่ต้องถาม สนใจแค่เรื่องของคุณก็พอแล้ว” เธอสวนกลับ ด้วยประโยคเดียวกัน กับที่เขาเคยพูด แต่อาจจะเปลี่ยนนิดหน่อย เพราะในประโยค ไม่มีคำว่า ‘เรา’ “มินตรา ฉันถามจริงจัง” เชื่อ เพราะสีหน้าของเขาจริงจัง ราวกับว่าการเป็นอยู่ของเธอ มีผลต่อชีวิตของเขา ทั้งที่เราก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน “งั้นฉันจะตอบแบบจริงจัง หลังคลอดหกเดือน ฉันจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ไม่ขอบอกว่าประเทศอะไร เพราะฉันไม่อยากให้คุณรับรู้เรื่องนี้ แต่เรื่องลูก ฉันสามารถติดตามได้ตลอด อย่างที่บอก ว่าถ้าคุณทำหน้าที่พ่อไม่ได้ หรือว่ามีปัญหาในการเลี้ยงลูก ฉันจะกลับมาเอาลูกคืนทันที” มินตราพูดชัดเจนแจ่มแจ้งทุกประโยค ถึงแม้ว่าการมีลูก จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่เธอทำผิดพลาด แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว เธอจะรับผิดชอบหนึ่งชีวิตนี้ ให้ดีที่สุดเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ ถึงแม้ว่าจะเอาชนะพ่อเขาไม่ได้ แต่เธอจะพยายามเพื่อลูก “ไม่ได้ย้ายไปอยู่ถาวรใช่ไหม?” “ลูกยังอยู่กับคุณ ฉันจะไปถาวรได้ยังไง” “อืม” “ต่อให้ฉันแต่งงานมีครอบครัว ยังไงลูกที่อยู่กับคุณก็ยังเป็นลูกของฉัน ฉันตัดลูกไม่ได้หรอก” ประโยคนั้น ทำให้คู่สนทนาเริ่มขมวดคิ้วเป็นปมใหญ่ ซึ่งสีหน้าแบบนี้เธอคุ้นเคยดี “ไม่พอใจที่ฉันจะแต่งงานมีครอบครัวเหรอ?” “หึ! ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว” “ก็ดี เพราะฉันก็ไม่ได้สนใจในตัวคุณเหมือนกัน” เธอตอกกลับ ก่อนจะปิดประตูแล้วไปแต่งตัวต่อ

Read on the App

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD