“เรียกคุณท่านว่าปะป๊า คุณญาณีน่ารักจังเลยค่ะ”
คุณป้ากลิ่นหยดเอ่ยปากชมด้วยรอยยิ้ม ทว่าคนที่ถูกเรียก กลับทำมาดเข้ม เก็บอาการ แต่เธอก็ยังดูออกว่าเขาเขิน
“อยู่บนโต๊ะอาหารต้องสงบปากสงบคำ”
แหนะ! ทำเป็นสั่งสอน เพื่อกลบเกลื่อนความเขินสินะ
“ว้าว~ อาหารไทยโบราณหน้าตาแปลกๆ ทั้งนั้นเลย”
แต่มีหรือที่มินตราจะเชื่อฟัง อะไรที่เขาสอนสั่ง เธอจะทำตรงกันข้ามให้หมด เผื่อเขาจะเปลี่ยนใจ หาแม่ของลูกคนใหม่ ที่ไม่หัวดื้อ ไม่อย่างนั้นลูกที่เกิดมาคงไม่ต่างจากแม่คนนี้
“ทุกเมนูที่อยู่บนโต๊ะ เป็นเมนูโปรดของคุณท่านค่ะ”
คุณป้าบอกกล่าว แทนเจ้าตัวที่เริ่มลงมือทานอาหาร
“แต่ถ้าคุณท่านได้ลองชิมหลนปูเค็ม ฝีมือของคุณญาณี คุณท่านต้องมีเมนูโปรดมาเพิ่มอีกหนึ่งเมนูแน่นอนค่ะ”
“อุ๊ย~ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่รสชาติพื้นๆ”
มินตราคลี่ยิ้มหวาน พลางตอบกลับอย่างถ่อมตัว
“ดิฉันพูดจริงนะคะ คุณญาณีทำอาหารเก่งมาก”
“หนูไปเรียนมาค่ะ เลยทำได้บางเมนู แต่ยังไม่เก่ง”
“สำหรับดิฉัน เด็กยุคใหม่ทำได้เท่านี้คือเก่งแล้วค่ะ”
“จะเลิกยอกันได้หรือยัง?” เสียงเข้มพูดขึ้น
“ขะ ขออภัยที่ดิฉันเสียมารยาทค่ะ คุณท่าน”
คุณป้ารีบกล่าวคำขอโทษ ก่อนจะเดินจากไป
“ไม่เห็นต้องดุคุณป้าเลย”
“นี่มันเวลาทานข้าว ไม่ใช่เวลาคุยกัน”
หญิงสาวทำหน้างอ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหาร แต่พอนึกขึ้นได้ ว่าผ่านกำหนดคลอดของแม่มณีมาแล้ว จึงหันไปถามเจ้าของเพราะอยากรู้ว่าแม่มณีจะมีลูกทั้งหมดกี่ตัว
“ปะป๊า แม่มณีคลอดลูกแล้วใช่ไหมคะ?”
เขาช้อนสายตาคมกริบมองมาในเชิงดุ แต่ก็ยอมตอบ
“อืม”
“ได้ลูกเสือกี่ตัวเหรอคะ?”
“สองตัว”
“ว้าว~ แล้วตอนนี้ลูกเสืออยู่ไหนเหรอคะ?”
“ทำไมถึงช่างถามนักนะ ทั้งที่ไม่ใช่เด็กแล้ว”
นั่นก็เป็นสิ่งที่เธออยากถามตัวเองเหมือนกัน เพราะเวลาที่อยู่กับเขา เธอจะมีคำถามอยู่ในหัวตลอดเวลา เสมือนว่าอยู่กับญาติผู้ใหญ่ที่สงสัยเรื่องอะไร จะต้องมาถามคนคนนี้
“แล้วหนูถามปะป๊าไม่ได้เหรอคะ?”
คำถามไม่จบไม่สิ้น ทำให้คู่สนทนาถึงกับถอนหายใจ
“ย้ายมาอยู่ในห้องโถงทั้งหมดนั่นแหละ”
หือ! เธออุทานในใจ แล้วรีบหันขวับไปมองห้องโถง ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องอาหาร ถ้าเธอจำไม่ผิด ห้องนั้นเขาเอาไว้ใช้รองรับลูกน้อง ทว่าตอนนี้กลายเป็นห้องของเสือโคร่งเสียแล้ว
“ถ้าเจ้าป่ามาอยู่ด้วยหนูก็คงเข้าไปดูไม่ได้”
“แล้วจะให้แยกพ่อแยกลูกหรือไง?”
เขาถามกลับ ขณะที่แกะปลาใส่จานให้เธอ
“ตามธรรมชาติ เสือตัวผู้เลี้ยงลูกไหมคะ?”
“แล้วแต่บางตัว แต่ส่วนใหญ่ตัวเมียจะเลี้ยง”
“อ้อ~ แสดงว่าเจ้าป่าเป็นตัวผู้ที่เลี้ยงลูกสินะ”
“ช่วยกันเลี้ยงทั้งคู่”
มินตราพยักหน้ารับหงึกๆ แล้วตักข้าวใส่ปาก
“กินปลาด้วย จะได้ฉลาด”
หึ! อุตส่าห์แอบคิดว่าเขาน่ารักตอนแกะปลาให้ แต่พอพูดจาแบบนี้ ขออนุญาตลบความคิดนั้น ออกไปจากหัวสมอง
“ปะป๊า…”
“มีอะไรจะถามอีกละ?”
เธอหลุดยิ้มกลั้นขำ เมื่อเขารู้ทันเด็กขี้สงสัย
“ทำไมปะป๊าถึงยังไม่มีแฟน?”
“แล้วฉันบอกตอนไหนว่ายังไม่มี”
What! ตอบแบบนี้หมายความว่าไง (!-0-)
“คุณมีแฟนแล้วเหรอ?”
มินตราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะไม่อยากมีปัญหากับใคร ส่วนเรื่องสถานะของเธอในตอนนี้ ไม่ถือว่าเขาเป็นมือที่สาม เพราะพี่นนท์ยังไม่เคยขอเธอเป็นแฟน และยังไม่เคยบอกว่ารัก ฉะนั้น ปัจจุบันนี้ เธอยังครองสถานะโสดอยู่
“สนใจด้วยหรือไง?”
“สนสิ ถ้าคุณมีแฟนแล้ว ทำไมไม่ทำลูกกับแฟนละ?”
“แล้วเธอมีแฟนหรือยัง?”
เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ยังไม่มี”
ใช่! ตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้าพี่นนท์บอกรักปุ๊บ มีแฟนปั๊บ
“สรุป คุณมีแฟนแล้ว ถูกต้องไหม?”
เขาหยักหน้าแทนคำตอบ ทำเอาเธออึ้งจนพูดไม่ออก
“คนของฉันไม่สามารถมีลูกได้ เลยต้องหาแม่อุ้มบุญ”
“…..”
“ไม่ต้องเครียด เพราะคนของฉันไม่มีปัญหาเรื่องนี้”
“…..”
“ถ้าเธอได้อ่าน ในสัญญามีเรื่องนี้ระบุเอาไว้ชัดเจน”
“…..”
ประเด็นคือเธอยังไม่ได้อ่านสัญญา เลยไม่รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว แต่พอมารู้ตอนนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่มันอธิบายไม่ถูก จากที่ความอึดอัดหายไป ตอนนี้มันกลับมาแล้ว
“ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวกลับบ้านก่อน”
ร่างเพรียวบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะขอตัวกลับไปตั้งสติที่บ้าน เพราะในหัวสมอง มันมีแต่แต่ ‘วี่!’ เหมือนเสียงสัญญาณถูกตัด คิดอะไรไม่ออก มันตื้อ และเบลอไปหมดเลย
ช่วงเย็นวันนั้น
“คุณญาณีคะ คุณท่านให้เอาที่ตรวจมาให้ค่ะ”
คุณป้ากลิ่นหยดพูดพลางส่งกล่องที่ตรวจครรภ์ให้เธอ
“ห้องน้ำที่คุณท่านทำให้ใหม่ ใช้งานสะดวกไหมคะ?”
“คะ?”
มินตราถามกลับ เพราะเมื่อตะกี้ยังเหม่อลอยไม่มีสติ
“คุณญาณียังไม่เห็นห้องน้ำใหม่เหรอคะ?”
“อ้อ ยังไม่ได้เปิดออกไปดูเลยค่ะ”
“ไยังไงก็ลองใช้งานดูนะคะ มีปัญหาตรงไหนสามารถแจ้งดิฉันได้เลย ส่วนเรื่องผลตรวจเดี๋ยวดิฉันแวะมาถามอีกที”
พูดจบ หญิงร่างท้วมก็เดินกลับไปที่บ้านหลังใหญ่
“เฮ้อ…”
มินตรายืนถอนหายใจ เพราะสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะเดินถือกล่องสีชมพูทั้งหมดสามกล่อง ไปตรวจในห้องน้ำด้านหลัง ซึ่งมีการสร้างใหม่ และมีกำแพงปิดมิดชิด
ส่วนด้านในก็เหมือนกับห้องน้ำบนบ้านใหญ่ทุกอย่าง
“อย่าท้อง อย่าท้อง อย่าท้อง”
หญิงสาวพร่ำภาวนา เพราะรู้สึกไม่อยากท้องตอนนี้
แต่ดูเหมือนแรงอธิษฐาน จะยังไม่มากพอให้สมหวัง
“เหอะ…”
นัยน์ตาสีดำนิล จ้องมองผลตรวจที่ขึ้นสองขีดทั้งสามอัน ก่อนจะหลุดเค้นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ให้กับความคิดที่โง่เขลาของตัวเอง หากเธอไม่ตัดสินใจเข้ามาที่นี่ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น และเธอคงไม่ต้องมาอุ้มท้องให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้
ทั้งหมดนี้ ถ้าจะโทษว่าใครเป็นคนผิดก็คงเป็น มินตรา
กรึบ~
ประตูห้องถูกเปิดออกจากด้านนอก แต่แทนที่จะเป็นคุณป้ากลิ่นหยด กลับเป็นผู้ชายคนนั้นที่มารอฟังผลการตรวจ
“ตรวจแล้วใช่ไหม?”
พยักหน้าแทนคำตอบ โดยที่มือยังกำที่ตรวจเอาไว้
“ขอฉันดูหน่อย…”
เขาเดินมาหาที่เตียง หวังจะดูผลตรวจในมือของเธอ
“คุณต้องการเท่าไหร่?”
“หมายความว่ายังไง?”
“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว”
“อย่ามาพูดจาไร้สาระ ส่งที่ตรวจมา”
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วซ่อนที่ตรวจเอาไว้ด้านหลัง
“ฉันมีลูกให้คุณไม่ได้หรอก คุณไปหาคนอื่นเถอะนะ”
“ส่งที่ตรวจมา”
เขาเริ่มใช้โทนเสียงเข้มในการข่มขู่ ก่อนจะพยายามแย่งที่ตรวจครรภ์ไปจากมือเธอ ทว่าคนตัวเล็กกลับยื้อไม่ให้เขาเห็น แล้วใช้การเจรจา เพื่อทำให้เธอหลุดพ้นจากสถานะนี้
“หนึ่งร้อยล้าน ฉันจะจ่ายให้คุณเอง”
“คิดว่าคนอย่างฉันต้องการเงินหรือไง"
พรึบ!
ขณะที่เธอพยายามจะใช้เงินในการต่อรอง อีกฝ่ายก็สามารถแย่งที่ตรวจครรภ์ไปจากมือเธอได้ พอเขาเห็นว่าขึ้นสองขีดทุกอัน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนโมโหร้าย
“ไป”
“ไปไหน?”
“ไปโรงพยาบาล ฉันจะพาเธอไปตรวจสุขภาพด้วย”
“เดี๋ยวสิ ฉันอยากคุยกับคุณก่อน”
“เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
เขาตัดบทสนทนา ก่อนจะจับมือพาคนตัวเล็กออกไปจากห้อง แล้วสั่งลูกน้อง (ที่ยังคงปิดบังหน้าตา) ให้ขับรถพาไปส่งโรงพยาบาลในเมือง ซึ่งระหว่างการเดินทาง เธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าหล่อคม ราวกับว่าเขามีความสุข มาก ที่กำลังจะได้เป็นพ่อคน ผิดกับเธอ ที่นั่งเงียบเพราะกังวล
หลังออกจากโรงพยาบาล
ตั้งแต่วินาทีแรก ที่รู้ว่าตนเองตั้งท้อง
จนถึงตอนนี้ที่ฝากครรภ์เรียบร้อยแล้ว
มินตราก็ยังคงสมองเบลอ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก ถึงแม้ว่าจะยังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพียงสองสัปดาห์ แต่ที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ คือ มีหนึ่งชีวิต มาอยู่ในท้องของเธอแล้ว
“ผมจัดการเรื่องห้องให้แล้วครับนายใหญ่”
หนึ่งในลูกน้องเดินมาบอก ขณะที่เราสองคนกำลังยืนอยู่ในโรงแรมหรู (หรูที่สุดในเมือง) ก่อนที่เขาจะหันมาคุยด้วย
“ช่วงเดือนแรกพักในโรงแรมก่อน จะได้ใกล้มือหมอ”
เธอไม่มีความคิดเห็นใดๆ เลยปล่อยให้เขาจัดการไป
“ฉันจะอยู่ที่นี่กับเธอตลอดเวลา ฉะนั้นไม่ต้องกังวล”
ระหว่างขึ้นลิฟต์ เขาก็พูดขึ้น เพราะเห็นว่าเธอกังวล
“ส่วนเรื่องเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ต้องการอะไรก็บอกฉันได้เลย ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง” ฝ่ายชายยังคงพูดไม่หยุด เพราะตื่นเต้นตั้งแต่รู้ว่าเธอตั้งท้อง ส่วนเธอก็คิดไม่ตก ตั้งแต่รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว มันเป็นความรู้สึกอึดอัด ที่อธิบายยากจริงๆ
วันต่อมา
“เรื่องที่เธออยากคุยกับฉัน มันคือเรื่องอะไร?”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว
เมื่อวานหลังจากเข้าพักในโรงแรม เขาก็ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับเราสองคน ส่วนตัวเธอเอง ก็ต้องยืมโทรศัพท์ของเขา เพื่อโทรไปบอกเพื่อนสาว ว่าตอนนี้เธอกลับมาอยู่ที่บ้านสวนแล้ว ซึ่งเธอโดนสวดไปหลายบท เพราะขาดการติดต่อจนทำให้เพื่อนเป็นห่วง
“ถามทำไมไม่ตอบ?”
เจ้าของร่างใหญ่ สวมใส่เสื้อยืดสีดำ กับกางเกงผ้าขายาวสีเดียวกับสีเสื้อ เค้นถามคนตัวเล็กที่แต่งตัวเหมือนกันทุกอย่าง แต่เธอกลับนั่งนิ่งไม่ยอมตอบ เอาแต่มองมื้ออาหารเช้า
“จะให้เงินฉันหนึ่งร้อยล้านเพื่อแลกกับลูก งั้นเหรอ?”
เขาเปลี่ยนคำถาม เพราะยังคงจำข้อเสนอของเธอได้
“พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก”
มินตราพูดเสียงเรียบ แล้วตักผักสลัดในจานเข้าปาก
“แค่มีลูกให้ฉัน มันทำใจยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“จะพูดอะไรก็พูดเถอะ ฉันไม่อยากพูดแล้ว”
มินตราตัดบท เพราะรู้ว่าพูดไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น
เพราะยังไง เขาก็ไม่มีทางยอมปล่อยลูกในท้องเธอ