บทที่3.ยั่วยุ...

1562 Words
“ช่วยฉันหน่อยเถอะ นรีไม่อยากติดคุก” แพรวนรีแสร้งบีบน้ำตา น้ำใสใสไหลกลิ้งออกมาจากดวงตาเหมือนสั่งได้ พร้อมกับเสียงเครือสะอื้นที่พร่ำวอนขอ “แม่รู้ แม่คงต้องเดินเอาปีบคลุมหัว ที่มีลูกเป็นขโมย” แพรวนรีโอดครวญต่อ เธออ้างถึงบุพกาลี ทั้งที่เวลาทำไม่เคยนึกถึงพริบพราวสักนิด                “ปัดจะช่วยนรีได้ยังไง มันขึ้นอยู่กับหมอนั่นต่างหากเล่า” หญิงสาวติง                “นรีขอแค่ปัด...ทำตามที่เขาพูด” ทางรอดของเธอ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทอปัดแล้ว                “เห้ย!! ได้ยังไง เขาจะเอาปัดไปทำอะไรก็ไม่รู้...ทำไมต้องเป็นปัดด้วยล่ะ” หญิงสาวบ่น ชำเรืองมองใบหน้านิ่งๆ ของธันน์ตาขวางๆ                “คนอย่างคุณธันน์ นาคะวงศ์ คงไม่ทำอะไรปัดหรอก...เขาคงแค่อยากมั่นใจ” แพรวนรีพูดต่อ เธอกัดฟันพูด เพราะหากคนที่เขาต้องการเป็นตนเอง เธอมั่นใจว่าตนเองคงไม่อิดออดแบบนี้                “นรี...ปัดต้องทำงานนะ แล้วเป็นตัวประกันกี่วันก็ไม่รู้” ทอปัดบ่นกระปอดกระแปด                “10วัน” ธันน์พูดสอด เขาหรี่เปลือกตาลง ปิดบังแววตาจัดจ้า            “โห!! ตั้ง10วัน พอดีบอสไล่ฉันออกพอดี” เธอห่อปากตาโต...หากต้องไปเป็นตัวประกันเพื่อให้แพรวนรีรอดตะราง...มันใช้เวลานานเกินไป กว่าจะกลับมา งานของเธอคงจะปิ๋ว...                “ฉันจะคุยกับบอสเธอเอง...” ธันน์เสนอตัว สื่อต่างๆ เขารู้จักมักจี่ดีพอสมควร                “จริงอะ?” หญิงสาวถามแบบไม่ใคร่มั่นใจ                “นะๆ ปัด ช่วยนรีด้วย...ไม่กี่วันเอง...”                ทอปัดขมวดคิ้ว หน้าผากย่น เธอตรองแล้ว ตรองอีก ไม่เห็นประโยชน์ที่ผู้ชายคนนั้นจะเอาตัวเธอไปไว้ใกล้ๆ เขาได้อะไรจากการกักกันเธอ? โอ้ย...ปวดหัว หญิงสาวอยากตะโกนให้ความคับอกคับใจที่สุมอยู่เต็มตัวนี่หลุดหายไป เธอถอนใจหลายเฮือก ก่อนจะพยักหน้าตกลงช้าๆ “ก็ได้...ครั้งนี้ครั้งเดียวนะนรี ห้ามให้คุณนายจุไรรู้ด้วย...” เธอย้ำ หากรู้ถึงหูมารดา...เธอเกรงว่าเรื่องมันจะไปกันใหญ่ ญาติๆ จะพากันมองหน้าไม่ติด                “ได้ๆ นรีจะปิดปากให้สนิท”                แพรวนรีรีบรับคำ เธอสัญญาจะรูดซิปปากให้แน่น ไม่มีวันแพร่งพรายให้คนนอกรู้เด็ดขาด...                “ดี!!”                ธันน์กล่าวเสียงกระหึม เขาหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก                “เดี๋ยวสิคุณ...แล้วฉันจะต้องไปเป็นตัวประกันให้คุณวันไหน?” ทอปัดตะโกนถาม แม้ไม่อยากถามเลย                “ฉันจะส่งคนมารับ...ทีหลัง” รอยยิ้มหยันๆ ติดมุมปาก เขาตอบแบบไม่ได้หันกลับมามอง “ปล่อยมัน” ธันน์สั่งความลูกน้อง...การ์ดของเขาปล่อยตัวอิฐ และเมื่อไอ้วายร้ายหลุดจากการจับกุม มันก็เริ่มโวยวาย...                “ไอ้ห่า...หมาหมู่ ถุย!! แน่จริงทำไมไม่มาตัวต่อตัวกับกูวะ!!”                ธันน์ปรายตามอง เขาเดินออกไปด้านนอก โดยไม่ได้พูดอะไร                “หยุดเถอะอิฐ เจ็บแค่นี้ไม่พอเหรอ...อยากตายเลยสินะ”                แพรวนรีกล่าวประชด เธอผุดลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามเนื้อตามตัว                ทอปัดโครงศีรษะ “ปัดกลับนะนรี...”                “นรีไปด้วยสิปัด...” แพรวนรีผวาไปฉวยกระเป๋าสะพาย เธอวิ่งตามลูกพี่ลูกน้องไป                “เดี๋ยวสิ...กูเจ็บจะตาย มึงไม่เห็นเหรออีนรี!!”                อิฐโวยลั่น เขาเจ็บทั้งเนื้อทั้งตัว แถมไม่มีสตางค์                “เอาสตางค์นี่ไปหาหมอ...แล้วหุบปากเงียบๆ ถ้าอยากติดคุกก็โวยวายเข้าเถอะ!!” แพรวนรีหมุนตัวกลับมามอง แววตาเธอวาววับ ก่อนจะตัดใจล้วงเศษสตางค์ในกระเป๋าโยนให้แฟนหนุ่ม...                อิฐก้มเก็บธนบัตรยับๆ ที่หล่นอยู่บนพื้น “ไม่ใช่เพราะมึงหรืออีนรี กูถึงเจ็บแบบนี้” ไอ้ขี้ยาบ่นอุบ...งานที่คิดว่ากินหมู กลับกลายเป็นงานยาก คู่ปรับของเขา อยากที่จะต่อกรด้วย...ไม่คิดว่าธันน์ จะลงมือเอง...เมื่อสิ่งที่ฉกมา ก็แค่ ‘แหวน’ วงเดียว... ทั้งสองสาวนั่งรถแท็กซี่กลับมาที่พัก แพรวนรีเป็นคนจ่ายสตางค์ เมื่อทอปัดไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ญาติสาวนั่งนิ่งๆ ไม่ปริปากบ่นเหมือนเคย เปลือกตาหลุบลง จนแพรวนรีไม่กล้าซัก                ทอปัดนิ่งเฉย...เธอทำตัวเหมือนไม่เคยพบเจอเรื่องร้าย หญิงสาวสาละวนจัดการหาอะไรใส่ท้อง หลังกลับมาถึงห้องพัก เธอก็วุ่นวายอุ่นกับข้าวที่เย็นชืดอยู่หน้าเตาไฟ ปล่อยให้แพรวนรีนั่งมองเงียบๆ                “กินมั้ยนรี...ไม่หิวเหรอ?”                ทอปัดถอนใจหลายครั้ง เธอตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จาน ก่อนจะร้องเรียกลูกพี่ ลูกน้อง                “กินสิๆ” แพรวนรีเหมือนรอจังหวะ เธอรีบถลามาใกล้ ทรุดนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม รับจานข้าวมาจากมือญาติสาว พร้อมกับส่งยิ้มประจบ                “เมื่อไหร่จะเลิกกับไอ้หมอนั่นซะที ปัดไม่เห็นว่าเขาจะทำให้นรีดีขึ้น มีแต่ชวนกันตกต่ำ”                ทอปัดกล่าวเสียงนิ่ง ระหว่างที่ตักกับข้าวใส่จาน                “ฮือๆ” แพรวนรีแสร้งร่ำไห้ “ทำไมนรีจะไม่อยากเลิกกับมัน แต่นรีกลัว!!”                ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เธอบอกทอปัดตรงๆ ไม่ได้ หลายสิ่ง หลายอย่างที่อิฐมอบให้ มันยากที่จะถอนตัว                “มันขู่สินะ...” ทอปัดเข้าใจไปอีกทาง ผู้หญิงอ่อนประสบการณ์อย่างเธอ ไม่มีวันทันเล่ห์เหลี่ยมคนรอบจัดอย่างแพรวนรีหรืออิฐ                “อือ...” แพรวนรีรีบรับสมอ้าง “นรีอยากมีใครสักคนที่ปกป้องนรีได้ ไอ้อิฐมันจะได้ไม่กล้าเข้าใกล้นรีอีก” แพรวนรีนึกถึงธันน์ ใครก็ได้สักคนที่เธอจะใช้เป็นเกราะกันออกจากอิฐ                “ถ้านรียังมีมันวนเวียนอยู่ใกล้ๆ คงไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้ามาหรอก นรีต้องจัดการเคลียร์ตัวเองก่อน...”                ทอปัดแนะ...เธอยังไม่เคยมีความรัก ไม่รู้หรอกว่าอนุภาพของมันจะหนักหน่วง รุนแรงเพียงไหน “อิฐคงไม่ยอมปล่อยนรี” อิฐเกาะเธอเหมือนปลิง เขาปรนเปรอเธอ แลกกับเศษสตางค์ เมื่อก่อนแพรวนรีไม่รู้สึก เธอหลงใหลวังวนสิเน่หานี่ แต่เมื่อพบคนที่น่าสนใจกว่า อิฐกลับเป็นตัวปัญหา เธอคงต้องจัดการกับเขาให้เด็ดขาดสักที                เมื่อพี่-น้อง นาคะวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นธันน์ หรือธาม ก็น่าสนใจทั้งนั้น            “นรีก็ต้องพยายาม ไม่อย่างนั้นชีวิตนรีก็คงจมปรักอยู่แบบนี้”                สองสาวรับประทานอาหารเงียบๆ ต่างคนต่างความคิด และทอปัดไม่รู้ เธอกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือ                  คฤหาสน์หลังใหญ่ ตัวคฤหาสน์สีขาวสะอาด เป็นบ้านทรงยุโรปที่ตั้งเด่นสง่าบนพื้นที่เกือบ2ไร่กลางกรุง ซุ้มประตูทางเข้าเป็นโครงเหล็กที่ถูกดันขึ้นรูปอ่อนช้อยงดงาม มีกามเทพตัวน้อย สองตนยืนง้างคันธนูใส่กัน อาภรณ์บางเบานั่น ปิดบังของสงวนเห็นเพียงรำไร เป็นศิลปะเก่าแก่ที่แทบจะหาช่างผู้มีความชำนาญได้ยาก...ความกว้างใหญ่ ความโอ่อ่าไม่อาจประเมินราคาได้ เพราะหากรู้มูลค่า คงจะอ้าปากค้างหุบไม่ลง...เมื่อราคาค่างวดมันมากมายมหาศาล และบ้านหลังงามนั้นเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวนาคะวงศ์ เจ้าของบริษัทส่งออกอัญมณีรายใหญ่นั่นเอง                ธันน์นั่งละเลียดไวน์ยี่ห้อดัง เขาเอนตัวพิงพนักโซฟา เหยียดเรียวขาพาดขอบโต๊ะทรงเตี้ย สายตาทอดมองซีรี่ย์เกาหลีเรื่องดัง แต่กลับไม่ได้รับรู้เนื้อเรื่องที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นสักนิด เขาไพร่ไปนึกถึงใบหน้าตึงๆ ของใครบางคน                ผู้หญิงที่ธันน์ กำลังวางแผนล่อลวง...                “พี่ตามของกลับมาได้แล้วใช่ไหมครับ?”                ธามทิ้งตัวนั่งด้านข้าง เขาเอื้อมหยิบแก้วทรงสูง ก่อนจะเทไวน์ลงไปในนั้น                “อืม...” ธันน์ตอบ เขาชักสายตากลับมาจากหน้าจอทีวี เอียงคอมองน้องชายสุดหล่อ                “พี่ชายผมเก่งเสมอ...พวกนั้นคงคิดไม่ถึง” ธามเปรย เขาจิบไวน์ และทิ้งตัวนอนเอนๆ คว้าหมอนมากอดแนบอก                “ถ้าแกไม่หละหลวม...เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น” ธันน์กล่าว เขาดันตัวขึ้นนั่งตรงๆ                “ใครจะคิดล่ะว่าแม่นั่นจะกล้า” ธามบ่นเหวี่ยงหมอนนุ่มกระเด็น!! แพรวนรีไม่ได้อยู่ในสังกัดของเขา หล่อนแค่พริ้ตตี้รับจ็อป แต่ดันทะลึ่งคิดการใหญ่ มาฉกเครื่องเพชรที่ลูกค้าสั่งทำไว้ แม้จะหยิบไปแค่ชิ้นเดียวก็ตาม                “นับจากนี้ไป...หากฉันไม่อนุญาต ห้ามแกเอาเครื่องเพชรชุดใหม่ๆ ออกมาอวดสาว ฉันขี้เกียจตามเช็ดล้างสิ่งที่แกทำว่ะ”                ธันน์กล่าวยาวๆ เขาดันตัวยืนขึ้น มองน้องชายตรงๆ                “ครับพี่...ไม่น่าเลย” ชายหนุ่มโครงศีรษะไปมา เพราะความประมาทของเขา เกือบทำให้เกิดเรื่องใหญ่ หากบิดา-มารดารู้เรื่อง เขาคงโดนตำหนิอีกนาน                “เพลาๆ เรื่องสาวๆ ด้วย แม่บ่นเรื่องแกจนฉันขี้เกียจฟัง”                หนุ่มนักรัก พ.ศ. นี้เบอร์หนึ่งคงไม่พ้น ธาม นาคะวงศ์ เขาขึ้นชื่อเรื่องสายเปย์ กระเป๋าหนัก แถมใจถึง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD