01

2935 Words
เหมยลี่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธออาศัยอยู่ในคฤหาสน์หรูหลักร้อยล้านที่ตั้งอยู่ในย่านทำเลชานเมืองที่มีถนนเส้นตรงยาวเข้าสู่ตัวเมืองไม่ยากนัก เธอเป็นเศรษฐินีนามสกุลดังเพราะเป็นหนึ่งในทายาทเจ้าสัวนามสกุลใหญ่อันดับต้นของประเทศ พี่น้องของเธอล้วนเป็นคนใหญ่คนโตมีธุรกิจมากมายที่โยงใยกันเป็นเครือข่ายครอบครัว เหมยลี่เองก็มีกิจการหลักเป็นของตัวเอง แต่ทว่า… อำนาจการบริหารตอนนี้อยู่ภายในมือของสามีเธอ สินธร เธอแต่งงานกับสินธรตอนที่อายุยี่สิบเอ็ดปี จนตอนนี้ทั้งเธอและเขาต่างอยู่ด้วยกันมายี่สิบสี่ปี ตอนนี้เธออายุสี่สิบห้าปี แม้จะยังอายุไม่มาก แต่สภาพร่างกายกลับเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว เพราะเธอใช้ร่างกายอย่างหนักกว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ ทั้งที่เธอเป็นลูกมหาเศรษฐี แต่ชีวิตกลับไม่ได้ราบรื่นเหมือนพี่น้องคนอื่น เพราะเธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ที่ไม่ได้มีค่ามากกว่าลูกชาย แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกที่พ่อแม่รักถนอม แต่เหมยลี่ก็สร้างทุกอย่างได้ด้วยหนึ่งสมองสองมือ แม้จะมีเงินทุนจากพ่อแม่อยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเธอประสบความสำเร็จอย่างมากในหมู่บรรดาพี่น้อง สินธรสามีของเธอก็เป็นคนเก่ง เขาช่วยเธอดูแลกิจการเป็นอย่างดี บริษัทมีความก้าวหน้า และทรัพย์สินเพิ่มพูนมากกว่าสมัยที่เธอบริหารเองเสียอีก “คุณผู้หญิงคะ พระท่านมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของกานดา แม่บ้านคนสนิทของเธอกล่าวเรียกสติของเจ้านายตัวเอง เหมยลี่หลุดจากภวังค์ก่อนจะส่งยิ้มให้หลวงพ่อที่เดินมาพร้อมกับเด็กวัดตัวน้อย เหมยลี่ใส่แกงข่าไก่ ปูผัดผงกะหรี่ กุ้งทอดกระเทียม ข้าวสวย ทั้งยังมีน้ำหวาน ขนม และปิดด้วยดอกไม้ ก่อนจะรับพรพระท่าน เด็กวัดที่ตามหลังยิ้มขอบคุณคุณนายใจดีเจ้าของคฤหาสน์ใหญ่ เหมยลี่ยื่นเงินให้เขาหนึ่งร้อยบาทด้วยความเอ็นดู “เสียดายนะคะ คุณผู้หญิงไม่มีลูก ถ้ามีลูกไม่รู้จะซนแบบเด็กพวกนี้หรือเปล่า" กานดากล่าว เหมยลี่เองก็มองเด็กวัดตัวน้อยที่เดินจากไปด้วยใจที่รู้สึกห่อเหี่ยว ความจริงเองก็เป็นเช่นนั้น เธอมีเงินมากมายที่สามารถละลายกับการมีลูกทางเทคนิคการแพทย์ แต่ก็อย่างว่า… บุญวาสนาของคนเรา หากไม่มีก็ไม่มี สินธรเองก็ไม่ได้ร่ำร้องอะไร ทำให้ท้ายที่สุดเหมยลี่ก็ยอมแพ้กับเรื่องนี้ไปจนได้ “ฉันคงไม่มีวาสนาแบบเธอหรอกกานดา” “ลูกฉันจะไปเทียบกับลูกคุณผู้หญิงได้ยังไงคะ” “เดี๋ยวฉันจะออกไปหาม๊า เธอไปบอกให้วาทิศเตรียมรถให้ฉันด้วยนะ” เหมยลี่เองก็ยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เธอตรงไปยังตู้เซฟขนาดใหญ่ของตัวเอง ก่อนจะหยิบกุญแจที่ซ่อนไว้อยู่ภายในเซฟ ข้าวของภายในนี้ก็เป็นแค่นาฬิการาคาแพงไม่กี่เรือนกับเครื่องเพชรเท่านั้น เหมยลี่หยิบทุกอย่างที่อยู่ในนั้นลงใส่กระเป๋าแบรนด์เนมใบโต ก่อนจะแต่งตัวแต่งหน้าให้พร้อมสำหรับการไปเยี่ยมแม่ของเธอ ที่ตอนนี้อายุมากถึงหกสิบเจ็ดปี “คุณผู้หญิงคะ รถพร้อมแล้วค่ะ” กานดาบอกเหมยลี่ เธอพยักหน้าก่อนจะเดินลงไปตามบันไดวน บ้านหลังใหญ่ระดับคฤหาสน์ราคาแพง ที่กินพื้นที่ไปเกือบหนึ่งไร่ แต่กลับอาศัยอยู่แค่เธอ สามี และกานดา ไม่มีคนรับใช้คนอื่นให้วุ่นวาย เหมยลี่ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์นีโอปัลลาเดียน สีเหลืองอ่อนสวยงาม ด้านหลังของคฤหาสน์เป็นทิวทัศน์ริมแม่น้ำ พื้นที่ริมน้ำราคาแพงมหาศาลเป็นที่ตั้งอันทรงเกียรติของตระกูลเธอ คุณปู่ของเธอซื้อที่ดินนี้มาในราคาสูงจนน่าตกใจ ทั้งยังออกแบบสร้างคฤหาสน์สไตล์อิตาลี ที่เป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นเจ้านายสมัยก่อน “อาโกวเหมยมาแล้วหรอคะ หนูแพรวเตรียมอาหารเช้าให้อาโกวแล้วค่ะ เป็นข้าวต้มปลาร้านดังเลยนะคะ เมื่อวานแพรวไปต่อแถวมาตั้งนาน” หนูแพรวลูกสาวคนเล็กของพี่ชายคนโตกล่าวด้วยรอยยิ้มอันแสนน่ารักน่าเอ็นดู หนูแพรวเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนที่ห้าของพี่ชายเธอ แม่ของหนูแพรวเป็นดาราดังที่มีหน้าตาสะสวย ทำให้หนูแพรวมีหน้าตาที่สวยงาม โชคดีนักที่ไม่ได้เชื้อสายพันธุกรรมใบหน้าชาวจีนของตระกูลเธอไป ไม่เช่นนั้นคงขี้เหร่แย่ “แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรอลูก” “ไม่ค่ะ วันนี้อาจารย์ยกคลาสหมดเลย แพรวเลยอยู่รออาโกวดีกว่า” หนูแพรวบอกก่อนจะกอดเอวคุณอาของตัวเองเดินเข้าไปในบ้าน เหมยลี่รักหลานสาวคนนี้มาก เพราะตั้งแต่เกิดพ่อแม่ของหนูแพรวก็มีปัญหากันจนเลิกรา คนเป็นแม่ก็เป็นเพียงดาราสาวที่แม้จะมีชื่อเสียง แต่ก็สู้อำนาจเงินของพี่ชายเธอไม่ได้ ทำให้ต้องทิ้งลูกสาวไว้ที่นี่ หนูแพรวเป็นเด็กผู้หญิงท่ามกลางเด็กผู้ชาย อาม่าของพวกเขาย่อมรักเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงแบบที่เธอเจอ แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่บางอย่างที่ฝั่งรากลึกยังคงไม่หายไป เหมยลี่จึงได้เอ็นดูเมตตาหลานสาวตัวน้อยคนนี้เป็นพิเศษ หากว่ายื้อแย่งพี่ชายมาได้ เธอก็คงจะอุ้มเอาไปเลี้ยงเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอไปแล้ว หากแต่พี่ชายไม่ยอม เพราะไม่ชอบหน้าของสินธร ทำให้เธอกับหนูแพรวจึงมีศักดิ์แค่อาหลานเท่านั้น “แล้วนี่หนูแพรวมีเงินหรือเปล่าลูก พอใช้ไหม ถ้าไม่พอต้องบอกอานะลูก” “อาโกวคะ เงินที่คุณพ่อให้ไม่เยอะก็จริง แต่มันก็อยู่ได้นะคะ คนอื่นลำบากกว่าหนูตั้งเยอะตั้งแยะ” “แล้วหนูจะไปลำบากแบบคนอื่นทำไมในเมื่อเรามีเงินล่ะลูก” “หนูขอบคุณอาโกวค่ะ แต่แค่อาโกวรักหนูก็พอแล้ว” “รักมันกินไม่ได้สักหน่อย” เหมยลี่บอกกล่าวแก่หนูแพรวด้วยความเอ็นดู ความรักนั้นกินไม่ได้อย่างแท้จริง และเพราะว่าความรักกินไม่ได้ ทำให้เธอต้องมาถึงบ้านใหญ่ที่เธอไม่อยากมาเหยียบเลย เหมยลี่จ้องมองอาหารที่เตรียมพร้อมบนโต๊ะพร้อมกับแม่ของเธอ พี่ชาย ที่กำลังนั่งรอเธอทานอาหารเช้า “มาแล้วหรอ นั่งสิ มีอะไรทำไมต้องมาทำให้ฉันเสียเวลางานด้วย” เฮียชุน พี่ชายคนโตบอกกับน้องสาวคนเล็กคนเดียวของตัวเอง ทำให้ทั้งโต๊ะอาหารในเช้าวันนี้มีเพียงเฮียชุน ม๊ากิม เหมยลี่ และหลานแพรว เหมยลี่พยักหน้าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้สุดหรูที่มีราคาแพงถึงหลักแสน แต่ไม่ว่าจะราคาแพงขนาดนั้น พวกมันก็มีหน้าที่รองนั่งเหมือนกันหมด เหมยลี่รับประทานอาหารได้น้อยมาก เธอฝืนตักข้าวต้มปลาเก๋าหอมเข้าปาก แต่เพียงแค่ไม่กี่คำก็รู้ว่าต้องวางลง เพราะภายในจิตใจของเธอเต็มไปด้วยความหดหู่จนไม่อยากจะทานอะไร ทำอะไรทั้งนั้น แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่เธอจำเป็นจะต้องจัดการก่อนอะไรอะไรทุกอย่างมันจะสายไป “เป็นอะไรของแก หลานรักแกไปต่อแถวซื้อมาให้กินแค่นี้หรอ” เฮียชุนถามเหมยลี่น้องสาวของตัวเองที่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ม๊ากิมที่อายุมากก็มองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เหมยลี่เงยหน้ามองเฮียชุน เฮียคนโตของเธอด้วยแววตาอ่อนแรง “เฮียช่วยฉันหน่อยสิ” “ช่วยอะไรของแก ถ้าช่วยผัวแกฉันไม่ช่วยนะ” “ไม่ใช่ วันนี้ฉันจะพาหลานแพรวไปโอนที่ดิน ส่วนเรื่องกรรมสิทธิ์ในหุ้นของฉัน ฉันอยากจะคุยกับพี่เรื่องการถ่ายเทหุ้น แล้วก็ฉันอยากให้พี่ยึดอำนาจบริหารคืนจากสินธรให้หน่อยค่ะ” “เป็นบ้าอะไรของแก จะโอนที่ดินทำไม หรือไอ้สินธรสารเลวนั่นมันทำอะไรแก ฉันจะส่งคนไปจัดการมัน แกไม่ต้องทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้หรอก” “ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น จริงๆ ฉันป่วยมานานแล้วน่ะ แต่เข้ารับเคมีบำบัดมันก็ไม่ดีขึ้นเลย หมอบอกว่าฉันอาจจะอยู่ได้ไม่นาน ฉันก็เลยอยากจะจัดการเรื่องต่างๆ ก่อนที่ฉันจะตายน่ะ” เหมยลี่กลั้นใจบอก คุณนายกิมตกใจจนช้อนร่วง เหมยลี่หลบตาแม่ของตัวเอง ก่อนจะหยิบเอกสารการรักษาของเธอออกมาให้พวกเขา เพื่อให้รู้ว่าเธอไม่ได้โกหก “แกป่วยมาตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่เพิ่งมาบอกฉันเนี่ยนะ แล้วผัวแกมันรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” “แกโกหกม๊าหรอ” “ใจเย็นก่อนเถอะม๊า เฮีย ฉันไม่ได้โกหก แต่ฉันแค่ไม่ได้บอก เพราะคิดว่าระยะที่เป็นน่าจะรักษาหาย แต่มันก็ไม่หาย มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ความจริงฉันทำใจมานานแล้วกับเรื่องพวกนี้” เหมยลี่บอก ความจริงช่วงปีแรกของการป่วย เธอร้อนรนมาก ระแวงไปหมด ถึงขั้นจ้างคนตามสืบเรื่องราวของสามีจนไปพบว่าเขานอกใจเธออย่างที่เธอคาดคิด แต่เรื่องราวมันโหดร้ายกว่านั้นมาก สินธรมีภรรยาน้อยมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานเสียอีก เขาและคนรักอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไม่ใช่แค่ความรักหนุ่มสาวทั่วไป แต่กลับเป็นความรักลึกซึ้ง จนกระทั่งสินธรได้มาสนิทกับเธอ เขาจึงได้มาพูดคุยชอบพอกับเธอ ในตอนนั้นเหมยลี่เองก็พอใจในตัวสินธร ด้วยรูปลักษณ์ สติปัญญา และเหมยลี่เองก็ไม่อยากแต่งงานกับคนที่พ่อแม่หามาให้ ทำให้เธอตัดสินใจแต่งงานกับสินธรอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งความเป็นจริงแล้วเธอแต่งงานกับเขามายี่สิบกว่าปี แต่กลับไม่เคยระแคะระคาย โง่งมเสียจนเขาเอาเมียน้อย และลูกของตัวเองเข้ามาอยู่กับเธอด้วยซ้ำ ผู้หญิงคนนั้นคือกานดา และลูกสาวของเธอที่ชื่อว่า วนาลี ก็เป็นพยานรักของสินธร และกานดา เหมยลี่ที่ตอนนั้นทราบเรื่องนี้เสียใจจนอยากจะฆ่าทุกคนให้ตาย แต่เพราะในท้ายที่สุดเธอได้สติจากคำเตือนของหลวงพ่อที่วัดป่าแห่งหนึ่งที่เธอได้มีโอกาสไปถวายไฟฟ้า ทำน้ำประปาให้ชุมชนเตือนสติ แต่กว่าจะทำใจได้ก็ใช้ระยะเวลาหลายปี กว่าจิตใจของเธอจะสงบ ระหว่างนั้นก็ให้เป็นเรื่องการสืบความจัดการเรื่องราวทั้งหมด จนกระทั่งวันนี้ถึงเหมยลี่รู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว “เห้อ… แล้วแกมาที่นี่ต้องการอะไร” “ทรัพย์สินหลายอย่างของฉันถือเป็นสินสมรส แต่ฉันมีหลักฐานการยักยอกบริษัทของสินธร และหลักฐานที่เขานอกใจฉันตั้งแต่แต่งงาน ทั้งยังมีเอกสารหลายอย่างที่เขาปลอยลายมือชื่อของฉัน ทุกอย่างฉันส่งให้คุณทนายยิ่งศักดิ์หมดแล้ว แต่ฉันต้องให้เฮียช่วย” เหมยลี่บอก ถึงเธอจะฟ้องร้องได้ แต่ก็ต้องเสียทรัพย์สินบางส่วน ทว่า… หาให้เฮียชุนยื่นมือมาช่วย เฮียชุนก็คงมีวิธีในการจัดการสินธรได้ดีกว่าเธออย่างแน่นอน “ทำไมฉันต้องช่วยแก” “เพราะถ้าแกไม่ช่วยน้อง ม๊าจะจัดการแก” เสียงของคุณนายกิมบอกลูกชายเสียงแข็ง สีหน้าของท่านไม่ค่อยดีนักเมื่อได้อ่านเอกสารรับรองแพทย์ของลูกสาว ป่วยมานาน แต่กลับไม่ยอมแพร่งพรายให้ใครรู้ ทั้งยังมาพร้อมเอกสารราวกับจะสั่งเสีย คนเป็นแม่ที่ไหนจะอยากส่งลูกไปก่อน “ถ้าฉันช่วยแล้วฉันจะได้อะไร” “ต้องถามเฮียมากกว่าว่าอยากได้อะไร” “ไม่อยากได้อะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าแกแน่ใจแล้วหรอ” “ฉันทำใจเรื่องสินธรมาสามปีพอกับที่ฉันป่วยนั่นแหละ ตอนแรกก็คิดอยากจะฆ่าพวกเขาให้ตาย แต่เมื่อคิดดูอีกที ความตายมันง่ายเกินไปสำหรับพวกเขา ฉันเลยรวบรวมเอกสารทุกอย่างมาให้เฮียช่วย ส่วนทรัพย์สินของฉันบางส่วน ฉันจะทำการโอนให้กับหนูแพรวหลานรักของฉัน เฮียคงไม่ว่าอะไรนะ ถ้าฉันจะยกให้หลานแพรวคนเดียว” “ก็เรื่องของแกสิ ยัยแพรวมันแทบจะเป็นลูกรักของแกอยู่แล้วนี่” “อย่างนั้นแพรวไปเอาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านมาให้พร้อมลูก เราจะไปกรมที่ดินกัน อ่อ… ขอยืมรถกับคนขับด้วยนะคะ” “อาโกวเหมยคะ เอ่อ…” “ไม่ต้องคิดมากลูก อาอยากให้หนูเอง อีกอย่างอาปรึกษาทนายมาแล้ว หากโอนเป็นซื้อขายจะฟ้องร้องทีหลังยาก และใครเล่าจะกล้าฟ้องลูกสาวเจ้าสัวชุนได้” “แต่หนูเกรงใจ” “หนูแพรวเป็นเหมือนลูกสาวอา อาไม่เคยมองหนูเป็นหลานเลยนะลูก” เหมยลี่บอกกับหนูแพรว แพรวพรรณเป็นลูกสาวคนเล็กของเฮียชุน เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนที่ห้า แม่ของแพรวพรรณเป็นดาราหน้าตาสวยงาม เธอมีนิสัยเจ้าชู้ ร้ายกาจอยู่พอสมควร ตั้งแต่แต่งงานก็หาเรื่องทะเลาะกับเฮียชุนไม่เว้นแต่ละวัน ทอดทิ้งให้หนูแพรวตัวน้อยต้องอยู่อย่างหวาดระแวง หลายครั้งเหมยลี่ก็เอาแพรวพรรณมาเลี้ยงดูเอง แต่พี่ชายของเธอไม่ยอม เพราะไม่ไว้ใจสินธร เพราะเขาไม่ใช่พ่อของแพรวพรรณ เหมยลี่เองก็เข้าใจ เพราะอย่างไรแล้วแพรวพรรณก็คือลูกของพี่ชายเธอ ไม่ใช่ลูกของเธอ ยิ่งตอนนั้นเฮียชุนเลิกรากับแม่ของแพรวพรรณทำให้เด็กสาวถูกทอดทิ้ง ท่ามกลางบรรดาพี่ชายที่มีอาม่าอย่างคุณนายกิมรักหลงเป็นที่สุด มีเพียงหนูแพรวพรรณที่มักจะถูกทอดทิ้ง เหมือนกับเธอในตอนที่ยังเด็กไม่มีผิด เหมยลี่จึงเหมือนแม่บุญธรรมที่ให้ความรักหนูแพรวตลอด เวลาวันเกิดของหนูแพรว แม้จะไม่ได้จัดงานเลี้ยงแบบพี่ชาย แต่ก็มีเหมยลี่คอยส่งมารับไปทานอาหารสุดหรู มีของขวัญมากมาย และไม่ว่าอะไรที่แพรวพรรณอยากได้ ขอเพียงเอ่ยปากกับเหมยลี่ ทุกอย่างล้วนสมปรารถนา จนพี่ชายหลายคนก็อดอิจฉาน้องสาวไม่ได้ พวกเขาได้ขับรถหรูราคาไม่กี่ล้าน ทั้งยังเลือกรถที่ชอบเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่างจากแพรวพรรณที่เพียงปรายตามองอะไร เหมยลี่ก็ซื้อให้อย่างไม่ขัดข้องเลย เพราะเธอไม่อยากให้แพรวพรรณรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนที่เธอเคยพบมา “ร้องไห้ทำไมหื้มลูก” “อาโกวป่วยเป็นอะไรไปแล้วหนูจะอยู่ยังไงคะ” แพรวพรรณร้องไห้โหออกมาในรถก่อนจะเข้าไปกอดอาโกว ผู้หญิงที่เธอรักเหมือนแม่มากที่สุด อาโกวเป็นคนเดียวที่คอยรับสายเธอ โทรมาหาเธอในวันที่ผลการเรียนออก คอยเฝ้าดูความสำเร็จ เป็นกำลังใจให้เธอในยามที่มีเรื่องเครียดมากมาย แต่ตอนนี้เธอกลับได้รู้ว่าอาโกวที่เธอรักสุดหัวใจกำลังจะจากไปโดยที่ตลอดมา เธอไม่เคยรู้เลย “ฮึกกก อาโกวรู้ไหมว่าหนูไม่อยากได้ของพวกนี้ที่อาโกวจะให้เลย หนูอยากได้อาโกวมากกว่า อาโกวไม่อยู่หนูจะเป็นยังไง ฮืออ” แพรวพรรณยังคงร้องไห้จนใบหน้าสะสวยเปรอะเปื้อนน้ำตาไปหมด เหมยลี่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าหนูแพรว “หนูแพรวคนเรายังไงก็ต้องตาย ไม่ตายวันนี้ก็ตายวันหน้า อาเองก็ไม่รู้วัน แต่พอจะรู้ว่าตายช่วงไหน แบบนี้ไม่เรียกว่าโชคดีหรอลูก มีเวลาให้จัดการอะไรก่อนตายตั้งหลายอย่าง อยากทำอะไรก็จะได้รีบทำ อาห่วงหนูมากนะลูก ถึงได้จัดการเรื่องทรัพย์สิน อาตั้งใจจะยกทุกอย่างให้หนู เพราะอารักหนูเหมือนลูก ไม่ใช่หลาน" เหมยลี่บอกหนูแพรว ตลอดมานั้นเธอเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากที่สุด เพราะเติบโตมาเหมือนเธอไม่มีผิด หนูแพรวเป็นเด็กรักดี เรียนดี นิสัยดีมากคนหนึ่ง ทั้งยังเรียนเก่ง มีวิสัยทัศน์พอสมควร แค่อายุไม่เท่าไหร่ก็มีกิจการร้านคาร์แคร์เป็นของตัวเอง ด้วยการร่วมทุนกับต่างชาติ แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนใคร แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงในแวดวงรถหรู ไม่ได้เจ๊งไปก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ไหนจะโปรเจคร้านสปา ร้านทำเล็บ ยิบย่อยอีก หนูแพรวนั้นบริหารจัดการได้ดีจนน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว รู้จักใช้คนทำงาน มองได้ไกลกว่าเธอเสียอีก สถาปัตยกรรมแบบนีโอปัลลาเดียน เกิดในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากสถาปนิกชาวเวนิส ที่ชื่อว่าอันเดรอา ปัลลาดิโอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD