เป้าหมายเริ่มต้น : หมาเป็นเหตุ
อะแฮ่ม! หนึ่ง สอง สาม สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ กระผมนายศศิธร เลิศบวร มีชื่อเล่นที่แสนจะน่ารักและไพเราะเพราะพริ้งว่า ‘กระต่าย’ แต่มันแบ๊วเกินไปสำหรับชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาแต่มีปากราวกับส้นตีน พูดแต่ละทีนี่วอนตีนมากระทืบหน้ามาก ดังนั้นเพื่อนๆ ก็เลยรวมหัวกันเรียกว่า ‘ไอ้ต่าย’
หรือถ้าหนักหน่อยบางทีก็เรียกว่า ‘ไอ้เหี้ยต่าย’
เอาเถอะ อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป เพราะถึงจะแนะนำตัวพูดพร่ำทำเพลงไปก็ไม่ได้ทำให้ความกลัวที่มีอยู่ในจิตใจจนแทบจะทำให้ไอ้ต่ายคนนี้เป็นลมล้มพับหมดสติเอาหัวไปเกยตักป้าข้างๆ ถ้าไม่ติดว่ากลัวคุณป้าเขาจะลุกมาฟาดซ้ำหาว่าลวนลามแกล่ะนะ ถามว่ากลัวอะไรเหรอ? ในชีวิตนี้หนุ่มน้อยวัย 18 ปีที่ดูมาดแมนแฮนซั่มจะกลัวอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...
หมา!
ใช่! ผมกลัวหมา สัตว์ชนิดอื่นอย่างน้องแมวเหมียวที่อยู่บนตักของคุณป้าข้างๆ นี่ยังพอไหว แต่กับไอ้น้องหมาตัวโตขนสีดำเมี่ยมฝั่งตรงข้ามที่นั่งจ้องหน้าผมราวกับหิวกระหายเนื้อมนุษย์มาจากไหนนั่นน่ะ ต่ายรับไม่ได้!! ถึงจะมีเชือกล่ามคอเอาไว้แถมคุณพี่เจ้าของแกก็จับไว้แน่น แต่มันก็สามารถบ้าคลั่งแล้วกระโจนมาหาผมได้ไม่ใช่หรือครับคุณพี่!
...มันน่ากลัวเกินไป
ขาผมก็สั่นผับๆ จนน้องเหมียวบนตักคุณป้าหันมามองแล้วส่งสายตาประมาณว่า ‘แกจะนั่งสั่นอีกนานไหม’ โธ่น้องเหมียว พี่ต่ายคนนี้อยากจะลุกแล้ววิ่งโกยอ้าวออกไปแบบไม่คิดชีวิตเหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่า ‘ไข่ตุ๋น’ กำลังไม่สบาย
ไข่ตุ๋นคือกระต่ายน้อยวัยสองขวบเพศผู้ที่กำลังตัวอ้วนได้ที่น่าจับไปย่างกิน ไม่ใช่! มันคือกระต่ายตัวน้อยๆ ที่ผมเฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมดูแลเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง และตอนนี้มันกำลังป่วย! มันไม่ยอมกินข้าว แถมยังเมินเวลาผมเล่นด้วย เอาแต่นั่งหันหน้าเข้าหากำแพงจนผมเป็นห่วง และด้วยความเป็นพ่อที่แสนดี ไยจะปล่อยให้ลูกรักอย่างไข่ตุ๋นมีอาการแบบนี้ต่อไป ดังนั้นไอ้ต่ายคนนี้เลยไปอ้อนวอนแทบกราบเท้าหม่อมแม่ว่าให้ช่วยพาไข่ตุ๋นมาหาหมอหน่อย (เพราะผมไม่กล้าพามาเอง...น่าเศร้า) แต่แม่บังเกิดเกล้ากลับตอบไอ้ต่ายคนนี้มาว่า...
‘ไม่ว่าง’
พร้อมด้วยสายตาคมกริบ ในมือถือมีดอีโต้เล่มยักษ์เตรียมสับหมูบนเขียงให้เละยิ่งกว่าโจ๊ก แม่จ๋า...ต่อให้แม่ว่างต่ายก็ไม่กล้าดาหน้าเข้าไปขอแล้วล่ะครับ
แต่จะปล่อยให้ไอ้ไข่ตุ๋นมันเน่าตายคามุมห้องไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจพามันมาในที่ที่ผมรู้สึกหวาดกลัวและขาสั่นผับๆ ทุกทีที่เดินผ่าน นั่นก็คือโรงพยาบาลสัตว์หน้าหมู่บ้านที่มีชื่อว่า ‘The Moon’ ปกติแค่เดินผ่านยังขาสั่น แล้วนี่เข้ามาถึงข้างในแถมไอ้หมาพันธุ์ยักษ์ตัวสีดำฝั่งตรงข้ามนั่งจ้องในระยะห่างไปแค่สามก้าว
สามก้าวเองนะทุกคน! ไอ้ต่ายจะเป็นลม อ่อก!
ผมว่าบางทีอาการผมตอนนี้ยังน่าเป็นห่วงกว่าไอ้ตุ๋นเลย ป้าข้างๆ นี่เหลือบมองบ่อยมากเพราะผมนั่งหน้าซีดตัวสั่นประหนึ่งคนใกล้ตาย แถมยังเขยิบกระแซะๆ คุณป้าแกอีก หรือบางทีแกอาจจะคิดว่าผมผีเข้าก็เป็นได้
แต่น้องจิทนไม่ไหวแล้วววว
ถ้าถามว่าทำไมถึงกลัวจนขึ้นสมองแบบนี้น่ะเหรอ คุณเคยมีประสบการณ์กลัวหมากันบ้างไหมล่ะครับ ประเภทที่ว่าตอนเด็กๆ โดนหมากัด หรือโดนหมาวิ่งไล่ โตมาเลยกลัวหมา ประสบการณ์อันแสนจะเลวร้ายที่สุดในชีวิตของไอ้ต่ายก็ประมาณนั้นแหละครับ อยากจะลืมก็ลืมไม่ลงจนมันเกิดเป็นภาพติดตาหลอกหลอนทุกทีที่เข้าใกล้น้องหมา!
เรื่องมีอยู่ว่า ไอ้ต่ายวัยกำลังน่ารักถูกหม่อมแม่สุดที่รักถีบหัวส่งไปอยู่โรงเรียนสอนเด็กเล็ก หรือสถานที่รับฝากเด็กเล็กที่เรียกกันว่าเนอสเซอรี่นั่นแหละครับ แล้วยัยเจ๊เจ้าของเนอสเซอรี่ที่แม่เอาผมไปโยนไว้ก็หลงรักหมาหัวปักหัวปำจนเลี้ยงไว้ไม่ต่ำกว่าสิบตัว!
สิบตัวเลยนะคุณผู้ชม!!!
ไอ้ต่ายสมาชิกใหม่แห่งเนอสเซอรี่แห่งนั้นเลยได้รับการต้อนรับอย่างดีจากน้องหมาสิบกว่าตัวที่วิ่งควบตัวเองมาด้วยความเร็วสูงประหนึ่งว่าตัวมันเองเป็นจรวดมิดไซน์ แล้วไอ้ต่ายวัยกำลังเตรียมเข้าอนุบาลจะทำอะไรได้นอกจากนั่งทำตาแป๋วแหววมองบรรดาฝูงหมาหลากหลายพันธุ์วิ่งเข้ามาหาตัวเองด้วยความไม่เข้าใจว่า...
‘วิ่งเข้ามาทำไมกันหย๋อ?’
สิบวินาทีหลังจากนั้นไอ้ต่ายเข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ!
ลิ้นเปียกน้ำลายน่าขยะแขยงลุมเลียหน้าเลียตาผมไม่หยุด เสียงเห่าโฮ่งๆ ดังอยู่ใกล้หูจนหูอื้อ หันไปทางไหนก็เจอแต่หน้าของหมาเต็มไปหมด พยายามร้องหาคนให้ช่วย แต่ยัยเจ๊เจ้าของเนอสเซอรี่กลับยืนปรบมือแปะๆ ราวกับยินดีที่ไอ้ต่ายคนนี้ผูกสัมพันธ์กับน้องหมาในคอกของตัวเองได้
ฮือออ ยิ่งนึกถึงยิ่งหดหู่ โชคดีนะที่แม่กลับมาเพื่อเอาตุ๊กตาตัวน้อยที่ผมติดมากจนนอนไม่หลับถ้าไม่มีมันมาให้ เลยเห็นว่าลูกชายสุดที่รักถูกหมาสิบกว่าตัวรุม แล้วแม่ก็ได้ช่วยชีวิตไอ้ต่ายคนนี้ออกมาจากเหตุการณ์ชวนสยองนั่น แต่แค่นั้นก็ทำให้ไอ้ต่ายขวัญผวา ฉี่ราด ร้องไห้งอแงไม่หยุดไปเป็นอาทิตย์ นับตั้งแต่นั้นมา...ผมก็ไม่ถูกกับหมาอีกเลย
ถ้าถามว่าจำได้ยังไงน่ะเหรอ โธ่คุณ...เรื่องเลวร้ายในชีวิตผมนอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีแล้วนะ นี่แม่งโคตรฝังใจ ฝังแน่นประหนึ่งทากาวตาช้างติดไว้ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากจะจำหรอกว่าตัวเองเคยเจอเหตุการณ์อันแสนเลวร้ายแบบนั้นมา เหตุการณ์ที่ทำให้ผมกลัวหมามาตลอดจนอายุสิบแปด!
หนุ่มฮอตหน้าตาดี กีฬาเด่น เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ทั้งเท่ทั้งเพอร์เฟกต์
...แต่กลัวหมา
อัปยศสิ้นดี!
แล้วตอนนี้ผมกำลังนั่งจ้องหน้ากับสิ่งที่ผมกลัวอยู่!
ฮืออออ ไข่ตุ๋น พ่อรักเอ็งนะ แต่พ่ออยากกลับบ้าน พอก้มลงไปมองลูกรักที่นอนขดตัวอยู่บนตัก มันก็เงยหน้ามาสบตาผมราวกับรู้ทันว่าผมอยากกลับบ้านมากแค่ไหน ความสำออยของไอ้ไข่ตุ๋นเลยทวีคูณขึ้น ร่างกายสีขาวปุกปุยเลยสั่นหนักยิ่งกว่าผมแถมยังขดตัวแน่นขึ้นแล้วซุกเข้าหาท้องผมอย่างออดอ้อน
เออ! กูอยู่ต่อก็ได้วะ
นี่เห็นแก่ลูกชายสุดที่รักหรอกนะ ไม่อย่างนั้นไอ้ต่ายคนนี้ไม่เหยียบย่ำเข้ามาในที่ที่มีศัตรูอยู่มากมายขนาดนี้หรอก!!
“โฮ่งๆ!”
เฮือก!
ไอ้หมายักษ์นั่นจ้องหน้าผมแล้วเห่าออกมาเสียงดัง จนไอ้ต่ายตัวน้อยๆ ผู้แสนจะบอบบางคนนี้กอดไข่ตุ๋นลูกรักขึ้นแนบอก กะว่าถ้ามันกระโจนมาใส่ผมจะโยนไอ้ไข่ตุ๋นให้มันกินก่อนผม ร่างกายสั่นกลัวของผมก็ขยับเข้าเบียดๆ กระแซะๆ ป้าข้างๆ ราวกับขอความช่วยเหลือ แต่ป้าเพียงแค่หันมามองอย่างหงุดหงิดก่อนจะสะบัดหน้าลุกไปหาคุณพี่พยาบาลคนสวยตรงเคาน์เตอร์แทน
ไม่ได้นะป้า! ป้าจะทิ้งผมแบบนี้ไม่ได้นะ!
หันกลับมาเห็นไอ้หมายักษ์จ้องหน้าน้ำลายยืดใส่แล้วทำได้แค่หดขาเข้ามานั่งนิ่งอย่างเจี๋ยมเจี้ยม ปากก็ส่งยิ้มเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปให้ อย่าเข้ามากินฉันเลยนะแก ฉันไม่อร่อยหรอก
“คิวที่ 12 เชิญด้านหน้าเคาน์เตอร์ค่ะ”
ราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์ ผมรีบลุกขึ้นถลาไปหาพี่พยาบาลคนสวย อยากจะจับพี่พยาบาลมาจุ๊บเหม่งขอบคุณสักร้อยรอบ แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษเลยหันไปส่งยิ้มหวานแทนคำขอบคุณ
“น้องกระต่ายเป็นอะไรมาคะ”
พี่สาวพยาบาลมองไอ้ไข่ตุ๋นก่อนจะเอ่ยถามพลางหันหลังไปหยิบตะกร้าสีเขียวอ่อนมาวางไว้เพื่อให้ผมวางไอ้ไข่ตุ๋นลงไป นี่ถ้าไม่ติดว่าพาไข่ตุ๋นมาด้วย ผมคงนึกว่าพี่สาวคนนี้ถามผมแน่ๆ กระต่ายพากระต่ายมาหาหมอ น่ารักดีไหมล่ะ!
“ไม่กินข้าว หงอยๆ แล้วก็ซึมๆ นั่งหันหน้าเข้าหากำแพงทั้งวันเลยครับ”
“ยังไม่เคยมาสินะคะ ถ้าอย่างนั้นรบกวนช่วยกรอกข้อมูลและเซ็นชื่อนี้ด้วยค่ะ”
เอกสารอะไรไม่รู้ถูกส่งมา ผมก็เขียน เซ็นๆ ไปให้มันจบๆ อยากออกไปจากที่นี่จนแทบบ้า
“โฮ่งๆๆ!”
เฮือก! หันหลังกลับไปมองไอ้ยักษ์ตัวเดิม มันนอนหมอบลงกับพื้นไม่ได้มีท่าทีว่าเห่าใดๆ ทั้งสิ้น
อะ...อ้าว...แล้วหมาตัวไหนเห่าวะ ในนี้ก็มีแค่ไอ้ยักษ์นี่ไม่ใช่เหรอ ?
ใจผมเต้นตุ้บๆ ด้วยความตื่นเต้นประหนึ่งถูกเรียกเข้าห้องปกครองที่มีครูยืนถือไม้เรียวยาวเกือบสองเมตรรออยู่ ตาขวากระตุกยิกๆ รับรู้ถึงความโชคร้ายที่ใกล้มาเยือน
“ไม่ได้นะครับคุณข้าวตัง! อย่าวิ่งในนี้สิครับ”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมา ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปหาต้นเสียง ร่างกายอันแสนจะบอบบางของผมก็ล้มกระแทกพื้น รู้สึกปวดเอวราวกับมันกำลังจะหัก เงาตะคุ่มตัวใหญ่ทาบทับร่างกายผมจนไม่อาจจะขยับได้ ความทรงจำในวัยเด็กลอยลิ่วเข้ามากระแทกสมองอย่างแรง ภาพเด็กน้อยในวันนั้นซ้ำรอยเป็นไอ้ต่ายวัยสิบแปดในวันนี้
“โฮ่งๆๆ!”
ชัดเลย...เสียงหมาเห่าก่อนหน้านี้คือไอ้ตัวนี้นี่แหละ ผมถูกหมากระโจนใส่!!!
แถมตอนนี้มันยังเลียหน้าเลียตาผมอีกด้วย!
ฮือออ...ไม่ไหวแล้ววววววววว ไอ้ต่ายลาตาย แอ่กก!
“คุณข้าวตัง อย่าดื้อสิครับ ลุกออกมาเร็ว!”
สิ้นเสียงคำสั่ง คุณข้าวตังที่ว่าก็ลุกออกจากตัวผมมานั่งสงบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าแต่หางกระดิกไปมาจนผมกลัวว่ามันจะหลุด ขนสีน้ำตาลอ่อนสวย น่าจะเป็นพันธุ์การ์เด้น? หรือเปล่านะ หรือการ์เก้น? ผมจำไม่ได้และไม่คิดจะใส่ใจเรื่องพันธุ์หมา
ผมได้แต่นั่งเอ๋ออ้าปากค้างไม่รู้จะทำอะไรต่อดี รู้สึกตาพร่าเหมือนน้ำตากำลังจะไหล ร่างกายก็เหมือนถูกหินหนักๆ หล่นใส่จนชาไปทั้งร่าง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียงสวรรค์เปล่งออกมาถามผมพร้อมกับมือใหญ่ที่โผล่พ้นเสื้อคลุมสีขาวตัวยาว ผมอยากจะเอื้อมมือไปจับเหลือเกินแต่ทำได้แค่นั่งสั่นอยู่กับที่ สุดท้ายไอ้ต่ายคนนี้เลยกลั้นใจเฮือกสุดท้ายเงยหน้าขึ้นไปหาเจ้าของเสียง กะจะด่าให้ลืมบ้านเลขที่ไปเลย ทำไมถึงปล่อยให้ไอ้คุณข้าวตังนี่มากระโจนใส่ผมได้ หา!
อุหวา...หล่อชะมัด
ผู้ชายตรงหน้าใส่เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดที่ดูก็รู้ว่าเป็นคุณหมอ ผมด้านข้างตัดสั้นสะอาดสะอ้าน ผมด้านหน้าถูกจัดทรงรับกับโครงหน้า ใบหน้าขาว ผิวที่แม้จะไม่ได้สัมผัสแต่ก็รู้ได้ว่ามันเนียนละเอียด คิ้วเข้ม ปากได้รูปสีชมพูอ่อน และดวงตาเรียวคมกริบที่จ้องมาด้วยความเอ็นดู
กระต่ายน้อยคนนี้ใจสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ปกติหมอมันต้องเนิร์ดเหมือนไอ้เพื่อนในห้องที่ตั้งใจอ่านตำราเรียนเล่มหนาหวังจะสอบเข้าแพทย์กันจนหน้าดำคร่ำเครียดแถมยังใส่แว่นหนาเตอะไม่ใช่เรอะ!
แต่ทำไมคนๆ นี้ ถึงได้ดูดีขนาดนี้ล่ะ...
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
วินาทีที่สบตากัน ใจของไอ้ต่ายคนนี้ก็เต้นรัวขึ้นมาราวกับถูกสายตาเอ็นดูนั่นกระตุ้น ความรู้สึกแบบนี้...ไม่ผิดแน่ ตกหลุมรักไปหมด ตกหลุมรักคนตรงหน้าทันทีที่สบตา
อ๋า! ไอ้ต่ายแย่แล้วครับแม่ ไอ้ต่ายตกหลุมรักคุณหมอตรงหน้า
“เอ่อคือว่า...”
เมื่อเห็นว่าผมนั่งอ้าปากค้างไม่เอื้อมมือไปจับมือใหญ่ที่หวังดีจะดึงขึ้นสักที คุณหมอก็เปลี่ยนจากการยื่นมือมาให้จับเป็นชี้นิ้วมาที่ผมแทน ดวงตาคมกริบสีดำละจากใบหน้าเหวอๆ ของผมไปมองเอ่อ...มองเป้าผม?
ฉิบหาย!
ผมฉี่ราด!!!