เป้าหมายที่สอง : ปฏิบัติการทำให้ต่ายหายกลัวหมา

4032 Words
เป้าหมายที่สอง : ปฏิบัติการทำให้ต่ายหายกลัวหมา   ฝันดีสุดๆ เมื่อคืนฝันดีม้ากมากกกกกก ฝันถึงพี่หมอแซนด้วย ไอ้ต่ายคนนี้แทบไม่อยากจะตื่นจากความฝัน ถ้าไม่ติดว่าหม่อมแม่ที่เคารพรักเดินมาเคาะประตูห้องนอนอย่างรุนแรงและเสียงดังสนั่นจนกลัวว่าเจ๊ข้างบ้านจะปาหม้อ ไห กะละมังใส่ข้อหาเสียงดังในยามเช้าตรู่ ไม่เพียงเท่านั้นหม่อมแม่ยังขู่จะพังประตูห้องผมถ้าผมไม่งัดหัวจากเตียงขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวภายในสิบนาที โธ่แม่ค้าบบบ...คนกำลังฝันดี ฝันถึงเนื้อคู่ แม้ไม่เข้าใจต่ายเลย งอน “นั่งปากยื่นอยู่ได้ เดี๋ยวปั๊ดเอาทัพพีตบให้” “โหยแม่อะ อย่ารุนแรงกับผมสิ” แม่ไม่ตอบอะไรแต่แค่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา ไม่เข้าใจ มีไอ้ต่ายเป็นลูกนี่มันน่าเอือมระอาตรงไหน ออกจะหล่อ เท่ สมาร์ท สาวกรี๊ด เพอร์เฟ็คที่สุด ...แต่กลัวหมาจนฉี่ราด บัดซบ! เอาเถอะ ถ้าฉี่ราดแล้วได้เจอหน้าพี่หมอแซน จะยอมฉี่ราดบ่อยๆ ก็ได้ “ดูทำหน้าทำตาเข้า รีบกินแล้วรีบไปโรงเรียน เปิดเรียนวันแรกก็จะสายแล้วหรือไง” “ค้าบบบบ” เพ้อนิดเดียวเองแม่อะ ดุต่ายทำไม ผมตักข้าวเข้าปากคำโตจนหมดก่อนจะรีบยกไปวางที่อ่างล้างจาน มือก็โกยของที่จำเป็นลงกระเป๋า วิ่งไปใส่ถุงเท้ารองเท้าด้วยความเร่งรีบให้แม่ชื่นใจว่าไอ้ต่ายคนนี้ขยันไปโรงเรียน เปล่า! ความจริงคือเพิ่งนึกได้ว่าเช้านี้จะไปส่องพี่หมอก่อนเข้าโรงเรียน แล้วไอ้ต่ายจะไม่ยอมเสียเวลาสักวินาทีเดียว “ไม่เอาเสื้อผ้าที่ยืมมาไปคืนเขาหรือไง” ชะอุ้ย...เกือบลืมเลย เสื้อผ้าเมื่อวานที่พี่หมอให้ผมยืมใส่หลังจากที่อาบน้ำเสร็จนี่เอง อ๊ะ! อยู่ดีๆ สมองอันชาญฉลาดของผมก็ปิ๊งไอเดียดีๆ ขึ้นมา ผมแสยะยิ้มก่อนจะหันไปบอกแม่ “ไว้พรุ่งนี้ค่อยเอาไปครับ” หึๆ อุว่ะฮ่ะฮ่าๆ เท่านี้ก็มีข้ออ้างไปเจอพี่หมอในวันถัดไปแล้ว ฉลาดจริงๆ เลยนะไอ้ต่าย ต้องเป็นเพราะตอนเด็กๆ แม่ให้กินปลาและโอเมก้าสามบ่อยแน่ๆ “ไปแล้วนะค้าบบบ” แม่สุดที่รักพยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจในขณะที่มือก็ลูบหัวไอ้ไข่ตุ๋นขี้สำออยอยู่ จะยอมให้สำออยต่อไปนะไอ้ไข่ตุ๋น ถ้าเอ็งหยุดสำออยเมื่อไหร่ พ่อจะเอาเอ็งไปปล่อยที่สวนหลังบ้านสามวันสามคืนเลย! สองขาของผมก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างอารมณ์ดี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแฮปปี้ขนาดนี้ในวันเปิดเทอม เป้าหมายอยู่ตรงหน้า ป้ายชื่อคลินิคเด่นหรามาแต่ไกล มีรูปพระจันทร์เสี้ยวประดับงดงามสว่างไสวเหมือนใบหน้าพี่หมอเจ้าของคลีนิคไม่มีผิด ว่าแต่...ทำไมด้านในมันมืดอย่างนี้ล่ะ? พี่หมอไม่ได้จ่ายค่าไฟเหรอ? ผมถอยหลังออกมาสองสามก้าวเพื่อยืนพิจารณาป้ายหน้าร้านที่ตั้งอยู่เพื่อบ่งบอกเวลาเปิดและปิดทำการ เลขแปดตัวโตลอยมากระแทกลูกตาดังอั่ก! เปิดแปดโมงเช้า! โธ่พี่หมอ! ตอนนั้นไอ้ต่ายเข้าเรียนแล้ว ขืนอยู่รอเจอหน้าพี่หมอและไปสายล่ะก็ได้เจอเจ๊สมรยืนรออยู่หน้าโรงเรียนด้วยไม้กายสิทธิ์คู่ใจแน่ๆ แล้วแน่นอนว่าไอ้ต่ายคนนี้ไม่สู้เจ๊สมร ยอมไม่เจอหน้าพี่หมอดีกว่าต้องตูดลายไปสามวันแปดวัน บรื้ออ! พูดแล้วขนตูดลุกเกรียว เอ๊ะ! หรือผมควรจะยอมโดนเจ๊สมรหวดสักทีสองที แล้วไปสำออยให้พี่หมอรักษาแผลที่ตูดให้? “ต่ายไปโรงเรียนก่อนนะครับสุดที่รัก” พูดแล้วก็บิดไปมาอยู่ตรงนั้น เขินอะ! ถือคติเสียว่า บอกประตูคลินิคก็เหมือนบอกพี่หมอเอง ถ้าอย่างนั้น จุ๊บประตูคลินิคจะถือว่าจุ๊บพี่หมอด้วยสินะ จุ๊บ! ประทับรอยจูบสวยๆ ไปบนประตูกระจกทางเข้าร้านก่อนจะพยักหน้าให้ตัวเองหงึกๆ อืม...สวยงาม หวังว่าความรักของผมจะส่งไปถึงพี่หมอนะ เอ๊ะ...รอยเดียวจะส่งไปถึงหรือเปล่านะ จุ๊บอีกสักรอยดีกว่า เอาตรงไหนดี ข้างๆ กันไปเลยเป็นดับเบิลคิสไง “โฮ่งงๆ !” “แว๊กกก!” ปากที่จู๋อยู่อ้าเหวอก่อนที่สองขาจะสับรัวทันทีที่ได้ยินเสียง ไม่ต้องหาต้นตอ เพราะไอ้ต่ายพร้อมวิ่งเสมอที่ได้ยินเสียงหมาเห่า และเดาได้ด้วยว่ามันดังมาจากด้านในคลินิค ต้องเป็นไอ้คุณข้าวตังแน่ๆ นี่ผมไปทำเวรทำกรรมอะไรนะ เมื่อชาติที่แล้วแย่งกระดูกไอ้คุณข้าวตังมากินหรือเปล่าหว่า ทำไมโดนมันเห่าบ่อยจัง โด่ววว แค่จุ๊บกระจกแค่นี้ทำมาเป็นเห่า เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวสักวันจะเข้าไปจุ๊บพี่หมอจริงๆ “แฮ่กๆ ๆ ” ผมปาดเหงื่อออกจากใบหน้าอันหล่อเหลาที่สาวๆ ทั่วทั้งโรงเรียนคลั่งไคล้ (ในความคิดของตัวเอง) วิ่งจากคลินิคหน้าปากซอยบ้านมาโรงเรียนนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย สงสัยคงเพราะผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่ดีเลย...จะมีแฟนเป็นหมอต้องรู้จักดูแลสุขภาพตัวเองหน่อยสิ สงสัยต่อจากนี้ต้องหาเวลาไปออกกำลังกายซะหน่อยแล้ว ปฏิบัติการฟิตแอนด์เฟิร์มเพื่อพี่หมอโดยเฉพาะ “นักเรียนคนนั้นน่ะ จะเข้ามาไหม ถ้าไม่เข้าครูจะปิดประตูแล้วนะ” คนนั้น? คนไหนวะ? มองซ้าย มองขวา ไม่มีใครนอกจากผมนี่หว่า เอ้า! ครูเขาหมายถึงผมล่ะสิ “เข้าครับ!” ผมรีบจ้ำเข้าประตูโรงเรียนไปโดยมีเจ๊สมรยืนกอดอกมองด้วยสายตาปลงๆ อารมณ์ประมาณว่า นี่นักเรียนโรงเรียนฉันมีคนบ้าๆ บอๆ แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ เขาไม่ได้เรียกบ้าๆ บอๆ ครับครู เขาเรียกอยู่ในอาการตกหลุมรัก เอ้า! เพลงมา ตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว เธอใช่ไหมเป็นคนผลักฉัน อย่ามาทำหน้าอย่างนั้น คิดว่าฉันกลัวหรือไง… “จะจ้องหน้าครูอีกนานไหมคะ” เอ้าฉิบหาย ดันจินตนาการว่าหน้าเจ๊สมรเป็นพี่หมอไปซะได้ “แฮ่ๆ ขอโทษครับ” ผมรีบบอกขอโทษก่อนจะเดินไปต่อแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ แผ่นเมตตา ปฏิญาณตนอะไรก็ไม่รู้ยาวเป็นหางว่าว ถามว่าพูดตามไหม...ก็ไม่ ยืนตามเขาสั่งไปอย่างนั้นแหละ “วันแรกก็เกือบสายเลยนะมึง” ‘ไอ้เนม’ ผู้ชายหน้าขาวใส่แว่นตาอันเบ่อเร่อประหนึ่งเด็กเรียน แต่ความเป็นจริงมันแค่กระแดะใส่ให้ตัวเองดูเนิร์ดเพื่อเข้ากับเหตุการณ์อ่านหนังสือเตรียมสอบของเด็กมอหกเฉยๆ แหม...ต่อแถวอยู่ก่อนหน้ากูคนเดียวทำมาบอกเกือบสาย มึงก็น่าจะมาก่อนกูไม่กี่นาทีล่ะวะ ผมเบะปากใส่มันก่อนจะกระซิบกลับไป “วันนี้กูออกเช้าที่สุดเหอะ” ใช่! นี่ถ้าผมไม่มัวแต่ยืนส่งจุ๊บๆ ให้พี่หมอผ่านกระจกร้านนะ ป่านนี้มาเปิดประตูโรงเรียนแทนลุงยามไปแล้ว ไอ้เนมส่ายหัวด้วยความเอือมระอาใส่ผม เอ๊ะ! วันนี้ผมโดยคนส่ายหัวเอือมระอาใส่มาสามคนแล้วนะ ทั้งแม่ ทั้งเจ๊สมร และไอ้เนมอีก ความหล่อของผมมันน่าหนักใจขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยสิ เอายังไงดีนะ จะให้ลดความหล่อตัวเองลงก็ไม่ได้ซะด้วยสิ “ไอ้ราฟ มึงดูมันทำหน้าดิ สยองเป็นบ้า” คำว่าสยองกระแทกหัวเข้าเต็มๆ ผมเบะปากใส่ไอ้เนมที่หันไปจิ้มหลัง ‘ไอ้ราฟ’ เพื่อนสนิทอีกคนของผมที่ยืนอยู่หน้ามัน ไอ้ราฟหันมามองผมนิดหน่อยแล้วยักคิ้วให้ตามประสามัน เห็นหน้ามันแล้วหมั่นไส้ ไม่เห็นจะหล่อกว่าผมตรงไหน ทำไมสาวๆ ถึงตามกรี๊ดมันเป็นขบวนเลยวะ แค่สูงร้อยแปดสิบสอง เป็นนักบาสโรงเรียน แค่เนี้ย! สู้มากรี๊ดผมยังดีเสียกว่า กรี๊ดมันไปก็เสียเส้นเสียงหมด มันเคยสนใจที่ไหนล่ะ ดีแต่ทำหน้านิ่งไปวันๆ ถึงผมจะสูงแค่ร้อยหกสิบเก้าที่ปัดเศษไปเจ็บสิบเลยเพราะชอบเลขกลมๆ แต่หน้าตานี่ระดับพระเอกฮ่องกงเลยนะขอบอก เอ๊ะ!...คิดไปคิดมา ไม่ต้องกรี๊ดผมอะดีแล้ว เดี๋ยวพี่หมอหึงแล้วผมจะแย่เอา “ไอ้เนมๆ มึงว่ากูหล่อไหม” ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำระหว่างที่เขาแผ่เมตตากัน ก็ถามมันเพื่อสร้างความมั่นใจของตัวเองเสียหน่อย “ที่บ้านไม่มีกระจกเหรอ น้ำหน้าอย่างมึงเขาไม่ได้เรียกว่าหล่อไอ้สัด เขาเรียกน่ารัก” “อย่าเรียกกูว่าน่ารักนะ!” ยอมไม่ได้! ไอ้ต่ายคนมาดแมดแฮนซั่มยอมใช้คำว่าน่ารักไม่ได้จริงๆ ไม่เข้าใจจริงๆว่าแค่สูงน้อยกว่ามาตรฐานนิดหน่อยทำไมต้องโดดยัดเยียดคำว่าน่ารักด้วย ขอบอกว่าถึงจะสูงแค่นี้ แต่แมนๆ เตะควายล้มนะเว้ยเฮ้ย! “เออๆ เรื่องของมึงเถอะ หล่อก็หล่อวะ ว่าแต่ก่อนจะหล่อนี่หายกลัวหมาหรือยัง” ไอ้เนมยักคิ้วให้ผมกวนๆ ผมนี่แทบจะกระโจนไปข่วนหน้ามัน กลัวหมาแล้วไงวะ กลัวหมาแล้วก็ยังหล่อได้เว้ย! แต่กลัวหมาจะจีบพี่หมอไม่ได้! ไอ้ฉิบหาย ผมลืมไปว่าพี่หมอแซน ที่เรียกติดปากว่าพี่หมอๆ เนี่ย เขาเป็นหมอรักษาสัตว์ ไม่ได้รักษาคน เขารักสัตว์ แถมยังเลี้ยงหมาตัวเบ่อเร่อชื่อคุณข้าวตัง เอ้า! อย่างนี้ไอ้ผมที่กลัวหมาเข้าสมองจะเข้าไปจีบพี่หมอยังไงวะ เอาหมูปิ้งล่อพี่หมอออกมาแล้วค่อยดักฉุกเข้าข้างทางงี้เหรอ? บ้าเหรอ! นั่นพี่หมอแซนคนหล่อนะ ไม่ใช่คุณข้าวตัง “พวกมึง!” “อะไรของมึงอีก” ไอ้เนมหันมามองผมด้วยสายตารำคาญ ส่วนไอ้ราฟเพียงแค่หันมามองนิ่งๆ อย่าทำเหมือนปัญหาของเพื่อนเป็นเรื่องเล็กน้อยสิวะ ความรักของกูขึ้นอยู่กับความกลัวของตัวเองเลยนะเว้ย! “จะทำยังไงให้หายกลัวหมาดีวะ” “ห้ะ! เต่าตัวไหนเข้าสิงมึงเนี่ย ไม่สำเหนียกตัวเองเลยเหรอว่ามึงกลัวหมาขึ้นสมองขนาดไหน เจอหมาทีกรี๊ดแตกเป็นตุ๊ดเด็กเลย” ปากหรือส้นตีน ผมผลักหัวไอ้เนมให้หลบไป น้ำหน้าอย่างมันน่ะเหรอจะหาคำแนะนำดีๆ มาให้ผม นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วยังซ้ำเติมอีก “กูถามไอ้ราฟ เงียบไปเลยมึงอะ” “เอ้าไอ้นี่! มึงเรียกว่าพวกมึง คำว่าพวกมึงก็รวมกูเข้าไปด้วยปะวะ” เออ! ตอนแรกก็จะถามพวกมึงสองคนนั่นแหละ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วมีไรปะ โด่ววว “พวกกูก็เคยพยายามลากมึงมาเล่นกับหมาบ่อยๆ มึงยังทำไม่ได้เลย” อืม...ก็จริงอย่างที่ไอ้ราฟพูด มีหลายครั้งที่ไอ้สองตัวนี้พยายามจะช่วยทำให้ผมสนิทสนมกับสีเงินและสีทอง หมาประจำโรงเรียนของผมที่ชอบมาเดินส่งสายตาอ้อนๆ มองไอ้เนมตอนเช้าเวลาไอ้เนมซื้อข้าวเหนียวหมูฝอยหน้าโรงเรียนมากิน และแน่นอนว่าไม่สำเร็จสักครั้ง ไอ้ต่ายผู้มาดแมนคนนี้พยายามยิ้มใจสู้กับไอ้สีเงินไอ้สีทอง แต่สุดท้ายพอมันขยับเข้ามาใกล้ ร่างกายก็ดันกระโดดขึ้นโต๊ะโดยสัญชาตญาณ แถมยังแหกปากร้องลั่น นอกจากนี้ไอ้เนมก็เคยพาผมไปบ้านเพื่อทำความรู้จักกับหมาของมัน แต่ผมก็ดันแหกปากร้องลั่นตอนหมาของมันเข้ามาดมเท้าของผม ขอบอกว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมไปเหยียบบ้านมัน วุ้ย! ภาพลักษณ์กูไม่เหลืออะไรแล้วเนี่ย “มันปอดแหกจะตาย” “แหม มึงกล้าหาญมากไอ้เนม ค่ายลูกเสือตอนมอสองใครวะที่เข้าฐานวัดใจแล้วแหกปากต่อยหน้าครูฝึกที่ปลอมตัวเป็นผี” “อย่างน้อยกูกลัวกูก็ยังสู้เว้ย! มึงอะเอาแต่หนีขึ้นที่สูง หมานะไม่ใช่น้ำท่วม” “เขาไม่ได้เรียกหนี เขาเรียกถอยมาตั้งหลัก” ก็แค่ตั้งหลักอะ เนี่ย! ตั้งหลักมาหลายปีแล้วก็ยังไม่หายกลัวเลยเนี่ย ทุกวันนี้แทบจะพกเก้าอี้ไปไหนมาไหนแล้ว กะว่าเจอหมาปุ๊บกระโดดขึ้นเก้าอี้แม่งเลย “แทนที่จะมาถามพวกกู มึงลองไปถามผู้เชี่ยวชาญดีกว่าไหม” “กูว่าอย่างไอ้ต่ายต้องถามจิตแพทย์แล้วมากกว่า” ผมตาวาว คำว่าผู้เชี่ยวชาญกระแทกหูอย่างแรง ต่อด้วยคำว่าแพทย์! ส่วนคำว่าจิตที่อยู่ก่อนคำว่าแพทย์ของไอ้เนมก็ตัดทิ้งป ผมไม่สนใจคำที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว โอ้โห เพิ่งเห็นว่าพวกมันสองคนมีประโยชน์และฉลาดระดับหัวกะทิก็วันนี้เนี่ยแหละ พี่หมอคือสัตวแพทย์ที่ดูรักสัตว์มาก เท่ากับว่าพี่หมอคือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ อืม...เข้าทาง! “ฉลาดมากพวกมึง ไว้สำเร็จแล้วกูเลี้ยงชาบูเลย” ผมดึงหัวไอ้เนมมาจุ๊บด้วยความชื่นชม โดนมันผลักหน้าออกด้วยความขยะแขยงไปหนึ่งที แหม...ทีเมื่อก่อนแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันยังไม่รังเกียจ ทีอย่างนี้มาทำสะดีดสะดิ้งหันไปขอผ้าเช็ดหน้าจากไอ้ราฟมาเช็ดเหม่ง “ไอ้เวรนี่ ขี้กลากจะขึ้นหน้ากูไหมเนี่ย” “กูแปรงฟันแล้วน่า!” เอ๊ะ! แต่ก่อนหน้านี้ผมจุ๊บประตูคลินิคพี่หมอไปนี่หว่า ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ขึ้นชื่อว่าคลินิคก็ต้องสะอาดดิ “มึงว่าเราจะได้กินชาบูที่มันเลี้ยงไหม” “กูว่ายาก” ผมไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่ดังมาปล่อยให้มันสองตัวนินทาผมไป คนมันหล่อ จะทำอะไรก็ต้องเป็นที่สนใจอยู่แล้ว เอาเป็นว่าสมองผมไม่ว่างจะมานั่งฟังคำพูดพวกนั้นหรอก ตอนนี้ต้องคิดแผนก่อนว่าเย็นนี้จะเอาไงดี แบบว่าถ้าไปร้องไห้บีบน้ำตากอดเข่าพี่หมอจะยอมช่วยไหมนะ หรือควรถือปืนอัดลมไปข่มขู่เลย...ไม่ดีๆ ใครจะข่มขู่ว่าที่แฟนตัวเองลง จะว่าไป...ก่อนจะหาแผนการที่ทำให้พี่หมอช่วยผมให้หายกลัวหมา ผมควรหาวิธีเข้าคลินิคพี่หมออย่างปลอดภัยไร้เสียงเห่าจากคุณข้าวตังก่อนสินะ เดี๋ยวไปทำเรื่องงามหน้าในคลินิคพี่หมออีก แค่นี้คะแนนก็ติดลบพอแล้ว มีอย่างที่ไหนความประทับใจแรกคือฉี่ราดต่อหน้าเขา อัปยศที่สุดเลยโว้ย!! แต่ไม่เป็นไร ไอ้ต่ายจะทำเมินๆ ไป คิดเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องน่าอายแบบนั้นขึ้น เอาความเนียนเข้าว่า จะจีบเขาต้องใจกล้าหน้าด้าน เรื่องอื่นอาจจะไม่เก่ง แต่เรื่องหน้าด้านหน้าทนขอให้บอก ของถนัดของไอ้ต่ายนี่พูดเลย   แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็สามโมงเย็น ผมเลิกเรียนพอดี จริงๆ เวลามันก็ไม่ได้เร็วหรอก แต่จิตใจผมล่องลอยอยู่กับพี่หมอทั้งวันเลย มันเลยผ่านไปเร็วมากๆ “กูไปก่อนนะพวกมึง” ผมตะโกนบอกไอ้เนมกับไอ้ราฟก่อนจะรีบใส่เกียร์หมาวิ่งสี่คูณร้อยเมตรออกมาจากโรงเรียน ได้ยินเสียงตะโกนของไอ้เนมดังตามหลังมาว่ารีบไปตายที่ไหน อยากจะตะโกนกลับไปเหลือเกินว่ารีบไปตายในหัวใจพี่หมอ ฮิๆ ใช้เวลาไม่นานนักผมก็มาหยุดอยู่หน้าคลินิคพี่หมอแล้ว และแน่นอนว่าคราวนี้คลินิคไม่มืดแบบเมื่อเช้า แสดงว่าเปิดแล้ว มิชชั่นอิมพอซซิเบิลเรียบร้อย แต่เดี๋ยว! ขอหายใจก่อน วิ่งมาเหนื่อยมาก! ผมหยิบถุงขนมไทยที่แวะซื้อระหว่างทางวิ่งมาขึ้นมาดู บัวลอยไข่หวานนั่นเอง! อะแหมๆ ทำหน้าสงสัยอยู่ล่ะสิว่าทำไมถึงซื้อมา สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ งบมีแค่นี้! แต่อย่าดูถูกสรรพคุณของเจ้าบัวลอยถุงนี้นะ เพราะไอ้ต่ายคนนี้ขอตั้งชื่อมันว่า บัวลอยไข่หวานสื่อรัก ที่จะส่งรักจากไอ้ต่ายไปหาพี่หมอ เดลิเวอรี่ถึงหัวใจแน่นอน  ซื้อมาสองถุงเลยนะเนี่ย ของพี่พยาบาลสุดสวยถุงหนึ่ง ของสุดที่รักของผมอีกถุงหนึ่ง ว่าแต่...แปะรอยจูบไว้ที่ถุงของพี่หมอดีไหมน้า... “อ้าว...น้องต่าย...” ชะอุ้ย! จุ๊บไม่ทันละ ไม่เป็นไร จุ๊บพี่หมอเลยละกัน “มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ” อา...รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่นช่างตราตรึงใจจนผมที่กำลังเผลอจะถลาตัวเข้าไปจุ๊บพี่หมอนี่ชะงักค้างกลางอากาศเหมือนแมลงวันโดนตบ ฮือ พี่หมอนี่เป็นบุคคลที่ดีต่อใจจริงๆ เลย “ผมเอาขนมมาฝากครับ แทนคำขอโทษและขอบคุณเรื่องเมื่อวาน แฮ่ๆ ” พูดแล้วก็ก้มหน้าหน่อยๆ ทำเนียนว่าเขินอาย ทั้งที่ในใจอยากกระโดดฟัดใส่ให้เต็มแรง แต่อดใจไว้ไอ้ต่าย ของดีต้องรู้จักรอ “ฝากพี่เหรอครับ?” “ครับ” ฝากทั้งขนม ทั้งตัว ทั้งหัวใจ แถมกางเกงในหนึ่งตัวด้วยเอ้า! “ขอบคุณครับ” พี่หมอเอื้อมมือมารับขนมจากผมไป นิ้วชี้ของพี่หมอสปาร์กกับนิ้วชี้ของผมหนึ่งวินาที โอ้โห อย่างกับมีไฟแห่งรักช็อตเลย “สองถุงเลยเหรอครับ” “อีกถึงหนึ่งของพี่พยาบาลสุดสวยครับ” “ขอบคุณนะครับน้องต่าย” สาบานได้เลยว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครพูดคำว่าน้องต่ายได้ละมุนเท่าพี่หมอแซนอีกแล้ว “อยากได้กระต่ายไปเลี้ยงสักตัวไหมครับ” เฮ้ย! หลุดปาก! ผมตะครุบปากตัวเองก่อนจะส่งยิ้มให้พี่หมอ พี่หมอเลิกคิ้วมองก่อนจะหัวเราะนิดหน่อยกับท่าทางของผม ดาเมจกระแทกตาดังอั่ก ตาจะบอดไหมเนี่ย “น้องต่ายนี่ตลกดีนะครับ” “แฮ่ๆ ” ตลกนี่เป็นคำชมถูกไหม? จะยังไงก็ช่าง จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน ต่อให้พี่หมอบอกว่าไอ้ต่ายเตี้ย ไอ้ต่ายก็จะคิดว่าเป็นคำชมอยู่ดี “ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวไปทำงานต่อนะครับ” “ครับ...” ผมเคลิ้มตามพี่หมอ พี่หมอส่งยิ้มให้ผมก่อนจะหันหลังให้ “เฮ้ย! เดี๋ยวครับ เดี๋ยวๆ ๆ ๆ” “ครับ?” “แฮ่...คือว่า พี่หมอรักสัตว์ใช่ไหมครับ” “ครับ” ผมก็ถือว่าเป็นสัตว์นะ ชื่อกระต่าย แถมยังโดนเพื่อนด่าว่าสัดทุกวันเลย “ผมกลัวหมามากเลยครับ” “ครับ พี่รู้แล้ว” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ ผมนี่เคลิ้มเลยครับ ใจนี่ลอยไปในอากาศ ถ้าไม่ติดว่าเห็นหางไวๆ ของคุณข้าวตังอยู่ลิบๆ รีบพูดดีกว่า เดี๋ยวคุณข้าวตังออกมาขัดจังหวะอีก “ผมเข้าใกล้หมาไม่ได้ตั้งแต่จำความได้ เวลาเดินผ่านหมายังต้องผลักเพื่อนให้ไปเดินกันให้ แถมเวลาหมาเห่าใส่หรือวิ่งไล่ผมกรี๊ดแตกทุกทีจนเพื่อนล้อไม่หยุด” พูดแล้วก็บีบน้ำตาทำท่าทางหงอยๆ เอาเข้าจริงไอ้พวกที่มันล้อผมน่ะปากแตกเพราะโดนผมถีบล้มคะมำไปหมดแล้ว ใครจะกล้าล้อไอ้ต่ายคนนี้ “อย่างนี้น้องต่ายต้องลำบากแน่ๆ เลยสินะครับ” “ที่สุดเลยครับ แล้วผมก็คิดว่าอยากจะใช้ชีวิตที่ปกติแบบคนอื่นได้ ไม่อยากกลัวหมาแบบตอนนี้เลยครับ” นั่นแหละไอ้ต่าย! พี่หมอทำสีหน้าสงสารแกแล้ว แสดงท่าทางเศร้าต่อไปตัวข้า! “ผมคิดว่าถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป ถ้าพี่หมอพอจะมีเวลาว่าง หรือพอจะเจียดเวลาได้บ้าง พี่หมอช่วยทำให้ผมหายกลัวหมาทีได้ไหมครับ นอกจากพี่หมอผมก็ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครแล้ว” ผมปัดหน้าไอ้เนมที่พยายามลากผมไปทำความสนิทสนมกับหมาของมันออกจากหัวอย่างไม่ไยดีก่อนจะหันไปมองพี่หมอด้วยสายตาน้องหมาที่มีความหวัง ร้อยทั้งร้อยเจอสายตาแบบนี้ไป เสร็จทุกราย! “พี่ค่อนข้างจะงานยุ่ง” ฉิบหายแล้ว!! ไม่ได้เตรียมตัวมาว่าถ้าโดนปฏิเสธจะเอายังไงต่อ ล้มลงไปชักที่พื้นดีไหม มันจะดูน่าสงสารขึ้นหรือเปล่าวะ หรือฉุดเข้าข้างทางตอนนี้ดี ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาด้วย ทางสะดวก “แต่ยังไงก็จะคอยช่วยน้องต่ายนะครับ” หืม? เฮ้ยยยยยย! พี่หมอตกลงแล้วใช่ปะ ตกลงแล้วใช่ปะคุณผู้ช้มมมม ผมไม่ได้หูฟาดหรือตาฝ้าฟางไปสินะ อยากจะออกไปเซิ้งหมอลำแสดงความดีใจให้ความตอแหลของตัวเองที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ “เยส! พี่หมอเสร็จแน่!” “น้องต่ายพูดว่าอะไรนะครับ?” “เอ่อ...ผมหมายถึง พี่หมอต้องช่วยผมสำเร็จแน่ๆ ขอบคุณมากเลยค้าบบบบ ต่ายจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังพี่หมอทุกอย่าง จะไม่ดื้อไม่ซนเลยครับ” “ฮ่ะๆ ครับ” ผมปาดเหงื่อตัวเองที่สามารถเอาตัวรอดไปได้ เฮ้อ! ก่อนหน้านั้นผมควรจะรูดซิปปากตัวเองดีๆ ไม่ให้หลุดความคิดที่จ้องจะงาบพี่หมออยู่ออกมาสินะ ไม่งั้นล่ะบรรลัยแน่ๆ หึๆ แผนหนึ่งสำเร็จไปได้ด้วยดีเปลี่ยน! สถานีต่อไปแผนสอง ขอกลับบ้านไปคิดก่อนละกัน ตอนนี้ตาลายกับรอยยิ้มพี่หมอมากเลย ถ้าอยู่ตรงนี้นานกว่านี้อีกหน่อย ต้องเผลอฉุดพี่หมอกลับบ้านไปนอนกกมองรอยยิ้มทั้งวันแน่ๆ “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะค้าบบบ” “น้องต่ายจะไม่ขอเบอร์พี่ไว้ติดต่อเหรอครับ?” “จริงด้วย! ขอครับขอๆ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ เอ่อ...ผมหมายถึงโอกาสที่จะมีคนช่วยทำให้ผมหายกลัวหมาน่ะครับ แฮ่ะๆ” พี่หมอส่งยิ้มอ่อนโยนกระชากตับ ไต หัวใจ ม้ามให้ผมก่อนจะรับโทรศัพท์ผมไปพิมพ์เบอร์ของตัวเองให้ อยากจะขอเฟซบุ๊ก ไลน์ ไอจีด้วย แต่เอาไว้ก่อน เดี๋ยวพี่หมอตกใจกลัวแล้วเผ่นหนีไอ้ต่ายคนนี้ขึ้นมาจะทำยังไง “เมมเบอร์พี่ไว้แล้วเดี๋ยวไลน์พี่ก็ขึ้น สะดวกไหมครับถ้าพี่จะส่งข้อความไปนัดวันเวลา” “สะดวกที่สุดครับ!” เหมือนรู้ใจอะ อยากได้ไลน์ก็ได้ หูยยยย พรหมลิขิตบันดาลชักพามาก “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปทำงานต่อแล้วนะครับ น้องต่ายก็กลับบ้านดีๆ นะครับ” “ค้าบบบ” ผมส่งยิ้มให้พี่หมอจนตาปิด พี่หมอส่งยิ้มกลับมาก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน พี่หมออุตส่าห์บอกว่าให้กลับบ้านดีๆ ด้วย พี่หมอเป็นห่วงอะ! ไอ้ต่ายคนนี้จะระวังการเดินทุกย่างก้าวเลย เพราะงั้นพี่หมอไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ โฮ่งๆ ๆ ! “แว๊กกกกกกก!” ผมที่ยืนคิดอะไรเพลินๆ อยู่ล้มก้นกระแทกพื้น รอยช้ำเก่ายังไม่หายได้รอยช้ำใหม่มาอีกแล้ว! ผมเงยหน้าไปมองด้านหน้า เห็นไอ้คุณข้าวตังเกาะกระจกประตูคลินิคทำท่าจะกระโจนใส่ผมอยู่ โอ้โห ขนนี่ลุกเกรียว “แกจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันหรือไงห้ะ!” พอมีประตูกระจกกั้นไว้ ไอ้ต่ายก็ไม่กลัวหรอก โฮ่งงๆ ๆ ๆ ! “เออๆ ! ฝากไว้ก่อนเถอะ ไปก็ได้ เชอะ!” ไม่ได้กลัวนะ แค่อยากกลับบ้านเท่านั้นเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD