Because of love เพราะรัก 1
เสียงพูดคุยจอแจดังทั่วสารทิศเมื่อได้ยินเสียงบอกเลิกคลาสวิชาอาจารย์แม่ หลายคนหาที่ทานข้าว หลายคนรีบกลับไปนอนหลายคนรีบไปหาแฟน แต่สำหรับฉันกับเพื่อนเราอยู่ในกลุ่มแรกคือหาร้านอาหาร แต่ตอนนี้พวกมันยังตัดสินใจเลือกร้านไม่ได้เลยนี่สิ เกือบสิบนาทีกว่าที่เพื่อนจะตกลงกันได้
“สรุป! ไปโรงอาหารกลาง” ก็เป็นซะอย่างนี้อ่ะ ไม่ว่าจะชวนกันไปนู่นไปนี่ที่สุดท้ายที่ตกลงกันได้ก็คือโรงอาหารกลางของมหาลัย
“ต้นสน โอเคไหม” เพื่อนหันมาถามฉัน
“โอเค” แต่ฉันก็ตอบเพียงสั้นๆ เพราะตอนนี้รู้สึกง่วงจนเบลอไปหมดแล้ว เพื่อนฉันมีด้วยกันสามคน คนที่ถามเมื่อกี้ชื่อ พริกไทย เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่ชอบผู้ชายรักกัน ถัดไปเป็นสาวสวยของคณะคือต้นหลิว ดาวคณะรุ่นฉันเองแหละ ส่วนอีกคนชื่อผักบุ้ง เป็นเพื่อนชายใจสาวที่คอยส่องคนดังของมหาลัยเป็นชีวิตประจำวัน
“อ้อ แฟนฉันขอมาทานด้วยได้ไหมอ่ะ” หลิวถามอย่างเกรงใจระหว่างที่เรากำลังเดินไปโรงอาหาร แดดก็แรงเปรี้ยงปร้าง ทั้งที่เมื่อเช้าอากาศเย็น ว่าแต่เมื่อกี้ต้นหลิวพูดว่าอะไรนะ
“ได้สิ”
“เพื่อนเขาก็จะมานะ พวกแกโอเคไหม”
“ทำไมจะไม่โอเคล่ะ มาเลยคนเยอะสนุกดี” ผักบุ้งบอกไป ฉันพยักหน้าตามไม่ได้อึดอัดหรืออะไรอยู่แล้ว เพราะไม่ได้รู้จักเพื่อนแฟนหลิวเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วต่างคนต่างกินก็จบแล้ว ยกเว้นเสียแต่...
“ต้น เมื่อคืนนอนกี่โมง” หลิวถามน้ำเสียงติดจะดุเล็กน้อยระหว่างที่กำลังเดินไปยังโรงอาหารกลาง ฉันรู้จักกับหลิวตั้งแต่มัธยมแล้วส่วนผักบุ้งกับพริกไทยเพิ่งมารู้จักและสนิทกันตอนเข้ามหาลัยนี่แหละปีนี้ก็ปีที่สามแล้วที่รู้จักกันมา
“ว่าไงนอนกี่โมง” หลิวถามย้ำ เพื่อนอีกสองคนก็มองอย่างอยากรู้ ฉันเลยกางนิ้วมือให้เพื่อนดูส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นปิดปากหา
“ห้าทุ่ม?”
“เปล่า ตีห้า” ฉันตอบกลับก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อเพื่อนเรียกชื่อฉันเสียงดัง อะไรกันล่ะทำไมเรียกแบบนั้น
“ต้นสน! แกจะบ้าเหรอเรียกเก้าโมงครึ่งแกนอนตอนตีห้าบ้าไปแล้ว”
“ก็มันนอนไม่หลับนี่นา เลยดูหนังเพลินไปหน่อย”
“ดูหนังหรือไถทวิตดูผู้ชาย” ผักบุ้งแซ็วมาอย่างรู้ทัน ก็วิถีติ่งอย่างฉันคงมีแค่เวลากลางคืนเท่านั้นแหละที่จะมีเวลาส่องผู้ชาย ส่วนกลางวันหรือหลังเรียนเสร็จฉันก็ทำงานส่งอาจารย์
“อย่าให้รู้อีกนะว่านอนเช้าน่ะ ไปเถอะเท็นมารอแล้ว” หลิวกอดคอฉันแล้วพาเดินไปที่โต๊ะนั่ง
“ไม่รู้หรอก เพราะฉันจะไม่บอกแก” ฉันว่ากลับไปขำๆ ไม่รู้ว่ามันทำให้เพื่อนหมั่นเขี้ยวหรือเปล่าฉันเลยโดนยีผมจนผมยุ่งไปหมด เพื่อนอีกสองคนก็หัวเราะอย่างสนุกเช่นเดียวกัน
“ไปแกล้งอะไรเพื่อนน่ะ” เสียงของเท็นทำให้หลินหยุดแกล้งฉันแล้วหันไปอ้อนแฟนหนุ่มของตัวเองแทน ฉันเลยถือโอกาสขยับห่างจากหลินเนียนๆ ขืนอยู่ใกล้มีหวังโดนแกล้งอีกแน่
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” เพราะมัวแต่กลัวเพื่อนแกล้งจังหวะที่ขยับถอยห่างฉันเลยชนเข้ากับใครบางคนที่อยู่ข้างหลัง
“ไม่เป็นไร” ฉันผงกศีรษะขอโทษแล้วเดินอ้อมไปยืนข้างๆพริกไทยมือก็วางกระเป๋าเป้ตัวเองไว้ที่เก้าอี้
“ไปซื้อข้าวเลยได้ไหม หิวแล้วอ่ะ” ฉันบอกเพื่อนข้างๆกาย
“เอาสิ”
“โอ๊ะ!” ฉันสะดุ้งตกใจเมื่อหันข้างเพื่อที่จะเดินไปซื้อข้าวแต่กลับมีร่างสูงๆของคนที่ฉันเพิ่งชนอีกครั้งยืนอยู่ข้างๆ เขาย้ายตามมาฝั่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ซุ่มซ่าม”
“ขอโทษค่ะ” ฉันโค้งให้เขานิดหน่อยก่อนจะคล้องแขนเพื่อนเดินไปซื้ออาหาร ส่วนคนเมื่อกี้เขาคือเพื่อนของแฟนหลินแค่นั้นแหละมาจากที่โรงเรียนเดียวกับฉันด้วย มีบ่อยครั้งที่เราไปทานข้าวด้วยกันกลุ่มใหญ่แล้วเผลอสบตาเขา แต่ถึงอย่างนั้นฉันกับเขาก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากเพราะเขาติดจะเงียบๆ ส่วนไลน์กรุ๊ปก็มีเพื่อนจากทั้งสองฝ่าย หลินกับแฟนบอกว่าอยากให้เราสนิทกันเยอะๆเวลาไปไหนมาไหนก็จะยกไปทั้งสองกลุ่มถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่กล้าที่จะสนิทกับเพื่อนแฟนหลินสักเท่าไหร่นัก
“อันนี้น่ากิน” ฉันชี้นิ้วไปยังข้าวขาหมู
“ซื้อค่ะมึง จะกินข้าวมันไก่เดี๋ยวมา” ไม่นานเราก็ได้ข้าวมาคนละจานก่อนจะเดินไปซื้อน้ำดื่มกลับมาด้วย จะได้ไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา เหนื่อยค่ะ
“ได้อะไรมา” หลินถาม ฉันนั่งลงก่อนจะอวดอาหารที่ซื้อมา
“ขาหมู” ฉันยิ้มให้เพื่อนอย่างตื่นเต้น
“ขาไอ้บุ้งอ่ะนะ”
“ชะนี!!”
“ฮาๆๆ”
“นั่งดีๆ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆตีเข่าฉันเบาๆ ก่อนที่เขาจะแทรกเข้ามานั่งลงข้างๆ อะไรของเขากัน
“***เซ็น***มึงจะดุทำไมวะ” เพื่อนเขาดุคนข้างๆฉันทันทีที่เขานั่งลงเสร็จ ตลอดแหละผู้ชายคนนี้น่ะชอบดุฉันทีคนอื่นก็ไม่เห็นคุยอะไรด้วย เคยบอกไปหรือยังนะว่าเท็นกับเซ็นก็มาจากโรงเรียนมันธยมเดียวกับฉันแล้วก็หลิว
“ก็นั่งไม่เรียบร้อย”
“นั่งดีแล้ว” ฉันเถียงกลับไป แต่เซ็นแค่หันมามองแล้วไม่ยอมพูดอะไร
“กินข้าวเหอะหิวแล้ว” กระทั่งพริกไทยเอ่ยบอกฉันถึงได้ยอมทานข้าว แต่พอตักขาหมูเข้าปากคำแรกก็แทบน้ำตาไหลไม่ใช่อร่อยจนน้ำตาไหลนะ แต่มันไม่อร่อย!
“ไม่อร่อย?” เซ็นกระซิบถามคนอื่นๆเหลือบตามองแล้วยิ้มมุมปากแต่ก็ไม่ได้แซ็วหรือพูดอะไร
“อือ”
“เปลี่ยน”
เซ็นดึงจานข้าวฉันไปตรงหน้าเขาก่อนจะเลื่อนจานข้าวเขามาตรงหน้าฉัน อยากจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ก็ไม่ทันเมื่อเขาตักอาหารเข้าปากไปเรียบร้อย มันไม่อร่อยจริงๆนะขาหมูอ่ะมันเย็นชืดข้าวก็แข็งด้วยไม่เหมือนที่เคยทานเลย
“ทำไมได้เปลี่ยนล่ะ” ผักบุ้งถาม จุดประเด็นให้เพื่อนที่กำลังยิ้มๆเงยหน้าขึ้นมองกันหมด
“มันไม่อร่อย” ฉันตอบเพื่อน
“แต่มึงไม่ชอบอะไรมันๆนี่เซ็น” คราวนี้เท็นถามเซ็นบ้าง ไม่ชอบมันๆเหรอแต่ขาหมูนี่มันเยิ้มเลยนะ
“พูดมาก รีบทานข้าวจะได้รีบกลับ”
“ไม่เนียนเลยเพื่อน” เนียนอะไรกันนะ อยากจะใส่ใจคนรอบข้างต่อแต่โทรศัพท์มือถือฉันกลับมีแจ้งเตือนขึ้นมาด้วยเสียงที่คุ้นเคยที่ตั้งไว้เฉพาะแจ้งเตือนของทวิตเตอร์ ฉันกดเข้าไปดูก็เจอกับข่าวประกาศคอนเสิร์ตรายละเอียดบอกบอกเดือนหน้าและกดบัตรสัปดาห์หน้า ให้ตายสิวันกดบัตรฉันมีเรียน
“แก” ฉันเรียกเพื่อนเสียงอ่อย แต่พวกมันมองอย่างดุๆกลับมา
“อะไรอีกมองแบบนั้นเรื่องน้องใช่ไหม” หลิวถาม มือก็ตักข้าวเข้าปาก
“สัปดาห์หน้ากดบัตร...”
“ไม่ให้หยุด จะสอบแล้วพวกกูไม่อนุญาตให้หยุด”
“ใจร้าย” ฉันว่าไปแบบนั้นก่อนจะทานข้าวต่อมือก็ไถทวิตเตอร์ดูข่าวความเคลื่อนไหวงานคอนเสิร์ต มีหลายคนเริ่มบ่นไก่กาเกี่ยวกับผู้จัด บางคนบนขอให้กดบัตรได้หนึ่งในนั้นคือฉันนี่แหละ จะให้ใครกดให้ล่ะเนี่ยฉันติ่งโดยที่ติดตามแอ็คแม่ๆน้องที่ชิปคู่เดียวกับฉัน จะให้จ้างร้านกดก็กลัวโดนโกง ทำไมต้องมีเรียนวันนั้นด้วยล่ะฉันจะร้องไห้แล้วนะ
“ให้เซ็นกดให้สิ วันนั้นมันว่าง” เพื่อนเซ็นอีกคนที่ดูสนุกสนานหน่อยเอ่ยบอก คนนี้ท่าจำไม่ผิดชื่อเพชรนะ
“จริงเหรอ?” ฉันหันขวับไปมองเซ็นอย่างมีความหวัง แต่หัวใจที่ตื่นเต้นดีใจกลับห่อเหี่ยวลงเมื่อเจอสีหน้าบึ้งๆของเซ็น ฮึก ไปจ้างกดก็ได้เสียเงินเยอะหน่อยคงไม่เป็นไร
“รีบทานข้าว” จ้าพ่อ
ฉันก้มหน้าทานข้าวใช้เวลาไม่นานก็ทานเสร็จ เพื่อนๆต่างแยกกันกลับหลินกับเท็นไปเที่ยวต่อ พริกไทยกลับบ้าน ผักบุ้งไปเที่ยวกับเพื่อนอีกกรุ๊ป ส่วนเพื่อนๆของเท็นฉันไม่รู้แต่ดูแล้วน่าจะแยกย้ายกันกลับเหมือนกัน
“ต้นกลับยังไง” พอถูกเรียกด้วยคำว่าต้นจากปากผู้ชายแบบนี้เหมือนฉันเป็นผู้ชายเลยนะว่าไหม
“น่าจะรถเมล์” ที่จริงมีรถไฟฟ้าด้วยแต่วันนี้ฉันจะไปเดินห้างนิดหน่อยเลยบอกว่ารถเมล์แทน
“มันร้อนนะ กลับกับไอ้เซ็นสิคอนโดเดียวกันไม่ใช่เหรอ” เท็นนายอย่ารู้เยอะนักสิ นอกจากจะคอนโดเดียวกันแล้วยังห้องติดกันอีกด้วย ไม่รู้จะบังเอิญอะไรขนาดนั้น
“ไม่เป็นไร”
“อย่าเยอะ เร็วร้อน” เซ็นหิ้วคอเสื้อฉันแล้วพาเดินไปอีกทางที่เพื่อนกำลังจะเดินไป ฉันกวักมือให้เพื่อนมาช่วยแต่พวกมันแค่ยิ้มแล้วโบกมือลา กรี๊ด! ฉันเป็นผู้หญิงนะจะมาหิ้วคอเสื้อแบบนี้ได้ยังไงฉันไม่ใช่หมากระเป๋านะ
“ปล่อย! มันเจ็บ เสื้อยับด้วยปล่อยก่อน” ฉันเริ่มโวยวายเสียงไม่ดังมากแต่คนที่เดินผ่านเราไปกลับมองมาอย่างสนใจ แน่สิไอ้คนตรงหน้าฉันเป็นถึงเดือนคณะจะไม่ให้คนมองยังไงล่ะ
“ร้อน” โว้ย! ถ้าเขาจะพูดน้อยขนาดนี้นะ ไม่ต้องพูดเลย
“เราไปเองได้ ไม่ต้องไปส่งเรา”
“เถียง”
“ไม่ได้เถียง!” ฉันนี่ก็ท่าจะบ้าฟังเขารู้เรื่องอีก ให้ตายเถอะ
“จะแวะไหนก่อน” หลังจากที่ดึงดันไม่ยอมขึ้นรถสุดท้ายเซ็นเลยรวบแขนรวบขาแล้วผลักขึ้นรถแล้วยังยึดกระเป๋าเป้ฉันไปอีก ฉันนั่งหน้าบึ้งไม่ยอมตอบอะไรเขาเมื่อเขาถามมา แอร์ในรถเย็นฉ่ำก็จริงแต่มันอึดอัดน่ะเข้าใจไหมเพลงก็ไม่เปิด
“ตอบ”
“ห้าง” ฉันตอบกลับในใจคิดว่ายังไงซะเขาก็จะจอดหน้าห้างพอฉันลงจากรถเขาก็จะกลับแต่นี่ไม่เลย เขาเลี้ยวเข้าไปหาที่จอดแล้วยังเดินตามติดฉันระหว่างที่ฉันกำลังเดินเลือกซื้อของ ทำไมมันผิดแผนฉันไปหมดแบบนี้!
“จะตามทำไม” ฉันหันกลับไปถามอย่างไม่เข้าใจ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่หลังๆมามันถี่ขึ้นจนฉันแปลกใจก็เท่านั้น
“รีบซื้อ ง่วง” ตอบไม่ตรงคำถามด้วย เขาจะหน้ามึนไปถึงไหนกัน
“ก็กลับไปนอนสิ”
“รอกลับพร้อมกัน” ได้ อยากเดินด้วยใช่ไหม ก็ได้ต้นสนจัดให้
“หือ?” เซ็นครางในคออย่างสงสัยเมื่อเห็นฉันเข็นรถเข็นไปให้เขา
“รถเข็นไง เข็นให้หน่อย” จะทำให้เข็ดจนไม่อยากมาด้วยอีกเลยคอยดูสิ
“หึหึ”
ยังจะหัวเราะได้อีกนะ ฉันเมินสายตาเจ้าเล่ห์นั้นก่อนจะเดินซื้อของต่อ เข้าล็อคนั้นออกล็อคนี้แล้ววนกลับมาล็อคเดิมส่วนคนที่เข็นรถเข็นตามก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาหรือบ่นเลยสักนิดสรุป คนที่เหนื่อยก่อนกลายเป็นฉันซะอย่างนั้น เกือบบ่ายสองฉันถึงได้ยอมไปคิดเงินเพื่อที่จะได้กลับบ้าน ไม่ไหวเลยแกล้งเซ็นแบบนี้น่ะ คนที่เหนื่อยกลายเป็นฉันแทนซะอย่างนั้น
“กดบัตรคอนน่ะ กดไม่เป็นมาสอนก่อนแล้วกันจะกดให้”