เมื่ออิ่มหนำจากของคาวสายตาจึงสอดส่องมองหาของหวานมาล้างปาก เฟยเจินจ้องมองกาสุราที่วางอยู่ข้างๆสำรับอาหารด้วยแววตากระหายอยาก แต่นางก็ต้องหักห้ามใจไม่ให้ยกสุราขึ้นมาจิบ เพราะเกรงว่าจะมียาปลุกกำหนัดเหมือนที่เคยอ่านในนิยายออนไลน์
ยามนี้นางต้องระมัดระวังตนเองให้ดี จะได้ไม่ถลำลึกผูกพันกับบุรุษหน้าตึงผู้นั้นให้เสียเวลาชีวิต ความสัมพันธ์ทางกายแบบบังคับเช่นนั้น นางมิอาจยินยอมให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
หลังจากกินอิ่มและสบายตัวแล้ว ร่างงดงามจึงค่อยๆเอนหลังลงบนเตียงนอนขนาดใหญ่ เพราะการนอนหลับบนรถม้าที่โยกส่ายไปมาตลอดการเดินทาง ทำให้ร่างกายอ่อนล้าและปวดเมื่อยไปทั้งตัว ผ่านไปเพียงชั่วครู่เปลือกตาที่หนักอึ้งเพราะกินอิ่มจนเกินไปก็ปิดลงอย่างง่ายดาย
แอ๊ดดดดด ปัง!!!
ยามโหย่ว (17:00-19:00น.) ก็มีเสียงเปิดและปิดประตูเรือนหออย่างแรง โดยไม่ได้ระมัดระวังว่าจะรบกวนสตรีที่รอคอยอยู่ข้างในเลยสักนิด กิริยาแข็งกระด้างที่เคยปฏิบัติกับสตรีเช่นไรเขาก็ยังคงปฏิบัติเช่นนั้น โดยไม่ได้แบ่งแยกเลยว่าสตรีที่อยู่ในเรือนหอคือเจ้าสาวของตนเอง
เรือนร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปข้างในเรือนหอด้วยความจำยอม เมื่อบิดาส่งให้คนมาประกบแล้วพาตัวเขามาส่งยังเรือนหอที่เขาไม่แม้แต่จะคิดก้าวเท้าเข้ามา ทั้งยังเตรียมเรือนนอนส่วนตัวไว้สำหรับตนเองพร้อมแล้ว เพราะชาตินี้เขาไม่มีทางร่วมหอลงโลงกับสตรีที่ไม่ได้รักเป็นแน่
สายตาคมกล้าสะดุดกึกที่ร่างอรชรบนเตียงนอนของเขา ด้วยแสงรำไรจากคบไฟบริเวณมุมห้อง ทำให้มองเห็นร่างของเจ้าสาวสวมใส่อาภรณ์สบายๆ หาใช่อาภรณ์ของเจ้าสาวอย่างที่ควรจะเป็น นางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์จนหมดสิ้นทั้งยังนอนหลับ โดยไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเจ้าบ่าวเช่นเขาจะเข้ามาเปิดผ้าคลุมใบหน้าเจ้าสาว
‘นางกล้าดีอย่างไรจึงกล้าหยามเกียรติข้าเยี่ยงนี้’ เสียงอคติในใจกำลังร่ำร้องให้เขากระทำการเพื่อกอบกู้เกียรติของเจ้าบ่าวกลับคืนมา
ทันใดนั้นความกรุ่นโกรธที่ถูกบิดามารดาบังคับให้มาคล้องแขนดื่มสุรามงคล กับเจ้าสาวที่เขาจำยอมแต่งเข้ามาก็ทวีความรุนแรงขึ้น ยิ่งเห็นว่าเจ้าสาวนอนหลับสนิทโดยไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดปิดประตูเรือนหอ ที่เขาจงใจกระทำให้เกิดเสียงดังก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
ใบหน้าคมคายที่ยามนี้บึ้งตึงยิ่งกว่าทุกครา สายตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่สตรีที่กำลังนอนหลับตาพริ้มโดยที่ไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้ใดปองร้ายเลยสักนิด ขายาวเร่งก้าวเดินเข้าไปใกล้เตียงนอน เพราะต้องการสาดอารมณ์โมโหเข้าใส่สตรีไร้มารยาทให้รู้ดำรู้แดงกันไป
ฟึบ!!
ยังไม่ทันที่เว่ยหวังจิ้งจะเข้าใกล้เตียงนอนได้อย่างใจนึก ร่างอรชรที่แต่เดิมนอนหลับตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อสิ่งใดก็ลืมตาตื่นแล้วดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนทันที
เหลียนเฟยเจินรู้ว่ามีคนเข้ามาในเรือนหอ ตั้งแต่ที่ประตูถูกเปิดออกเสียงดังแล้ว ถึงจะนอนหลับสนิทแต่สติของนางหาได้หลับตามแต่อย่างใด ที่ยังคงนอนอยู่นิ่งๆก็เพราะจะรอดูว่าสามีหน้าตึงจะทำการใด เมื่อแน่ใจว่าเขากำลังคิดร้ายต่อนางเป็นแน่จึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
“ท่านมาก็ดี ข้าเพียงแค่พักสายตาก็เท่านั้น เพราะกำลังรอคอยเจรจากับท่านให้รู้ความกันไป อ้อ ใบหน้าของท่านหากมันอัปลักษณ์ไปมากกว่านี้เห็นทีว่าข้าคงต้องหันหลังเจรจา เพราะข้าชื่นชมเพียงความงดงามสบายตา หน้าตาเหม็นเบื่อเช่นนี้เกรงว่าพบเห็นบ่อยครั้งจะฝันร้ายเอา”
เหลียนเฟยเจินจ้องมองไปยังใบหน้าคมคร้าม ที่ยามนี้บึ้งตึงยิ่งกว่ารูปปั้นยักษ์ที่วางอยู่บริเวณหน้าวัดวาอารามในยุคของนาง ต่างตรงที่บุรุษตรงหน้ายังไม่มีเขี้ยวงอกออกมาจากปากก็เท่านั้น
“นี่เจ้า!!”
เว่ยหวังจิ้งกล่าวได้เพียงเท่านี้ เพราะไม่คาดคิดว่าสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา จะมองใบหน้าที่รูปงามดังสวรรค์สร้างของเขาว่าอัปลักษณ์ บุรุษในเมืองหลวงแคว้นหลงหากเขาอัปลักษณ์แล้วผู้ใดจะรูปงามกันเล่า ความมั่นใจที่เคยมีมาตลอดชีวิตในรูปทรัพย์ติดกาย ยามนี้สูญสลายลงไปแทบไม่หลงเหลือสักเพียงเศษเสี้ยวเดียว
“โอ้ อัปลักษณ์ยิ่ง ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านจึงใช้ตำลึงซื้อเจ้าสาวมาแต่งงานด้วย”
เหลียนเฟยเจินจ้องมองสามี ที่ยามนี้มีสีหน้าบิดเบี้ยวบึ้งตึงและกล่าวออกไปอย่างใจคิด นางชอบบุรุษรูปงามที่มีรอยยิ้มหวานๆ พวกหน้าตาเฉยชานางจัดอันดับว่าขี้เหร่ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งบุรุษตรงหน้า
“จะ…เจ้า!!”
เว่ยหวังจิ้งที่กำลังจะพูดจาเหน็บแนมตอบกลับไป แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของฮูหยินปลอมๆของตนในระยะประชิดตัว ก็ตกอยู่ในอาการตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าวาจาของนางช่างอวดดียิ่งนัก เมื่อไม่รู้จะสรรหาคำกล่าวใดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้า สายตาไม่รักดีของเสนาบดีหนุ่มจึงแอบลอบสำรวจไปจนทั่วใบหน้างดงาม ที่หวานซึ้งยิ่งกว่าสตรีใดที่เขาเคยพบเจอ
เสนาบดีเว่ยหวังจิ้งที่เดินทางเข้าออกวังหลวงอยู่แทบทุกวัน ย่อมเคยพบเจอสตรีงดงามมามาก แต่ไม่มีสตรีนางใดที่งดงามหมดจดเป็นธรรมชาติเฉกเช่นสตรีตรงหน้าเขา ขนาดว่าเขาเห็นใบหน้าของนางไม่ค่อยชัดอย่างใจนึกเพราะแสงสว่างไม่เพียงพอ ยังใจเต้นระรัวเมื่อมองเห็นความงดงามที่มากล้น จนมีผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจเช่นนี้
ใบหน้าของเหลียนเฟยเจินเรียวงามรูปไข่ ผิวพรรณขาวผ่องนวลเนียนกระจ่างตา ขนคิ้วขึ้นเรียงกันเป็นเส้นชัดเจน จมูกโด่งเรียวรั้นรับกับดวงตากลมโตที่ประดับไปด้วยแพขนตางอน ประกอบกับริมฝีปากอวบอิ่มที่มีสีชมพูอ่อน สตรีตรงหน้าคือโฉมสะคราญล่มเมืองโดยแท้จริง แม้กระทั่งตัวเขาเองที่ไม่เคยชื่นชมสตรีใดมาก่อน ยังยอมรับในความงดงามที่หาได้มีสตรีใดเปรียบเทียบได้ แม้กระทั่งองค์หญิงของแคว้นยังงดงามไม่ถึงครึ่งของนางเลย
“อย่างที่เจ้ารับรู้ว่าข้ามิได้เต็มใจแต่งงานกับเจ้า และการแต่งงานในครั้งนี้มีระยะเวลาสิ้นสุด หลังจากนั้นข้าจะมอบใบหย่าให้เจ้าแต่โดยดี ขอเพียงแค่เจ้าอยู่ในตำแหน่งฮูหยินเอกของข้าอย่างเงียบๆ และห้ามสร้างปัญหาอย่างเด็ดขาด หากวันข้างหน้าข้าแต่งสตรีที่รักเข้ามาในจวนเจ้าก็อย่าได้ตามมารังควานใดๆทั้งสิ้น” น้ำเสียงห้วนกล่าวออกไปตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่ในใจกลับสั่นไหวแปลกๆกับข้อตกลงของตนเอง
“นานเท่าไหร่จึงจะสิ้นสุดการแต่งงานจอมปลอมนี้ 3เดือน หรือ 6เดือน”
เฟยเจินเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่ในใจนั้นดีใจอย่างยิ่งที่นางจะได้รับใบหย่าจากสามีไร้ใจ โดยไม่ต้องพยายามร้องขอให้ได้มาหรือหลบหนีทั้งๆที่มีพันธะตามกฏของแคว้น
“1ปี จนกว่าข้าจะสะสางเรื่องราวบางอย่างแล้วเสร็จ ข้าจ่ายตำลึงให้บิดาของเจ้าไปหลายแสนตำลึง ไม่คิดว่า3เดือน หรือ6เดือน เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าบ้างเลยหรืออย่างไร”
เว่ยหวังจิ้งเปลี่ยนแปลงระยะเวลาที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างกระทันหัน ด้วยสาเหตุใดเขาก็มิอาจรู้ได้ วาจาของเขากล่าวออกไปเองโดยมิทันยั้งคิด คงเพราะได้ยินวาจาถือดีจากฮูหยินรับจ้างผู้นี้เป็นแน่ เขาจึงยืดเวลาให้นานออกไปอีกเท่าตัว
“จ่ายให้บิดาข้าแล้วอย่างไร ข้ามิได้ตำลึงจากส่วนนั้นแม้แต่เพียงอีแปะเดียว ที่หอบหิ้วติดมือมาด้วยก็เป็นสินเดิมที่มารดาของข้าแอบเอามาให้ มิสู้ท่านไปสู่ขอบุตรีคนรองของบิดาข้าไม่ดีกว่าหรือ หากจะเอาตำลึงที่จ่ายเพื่อว่าจ้างมาเป็นเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันเช่นนี้ เพราะน้องสาวต่างมารดาของข้าเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการแต่งงานในครั้งนี้”
น้ำเสียงเข้มๆเอ่ยออกมาด้วยความกรุ่นโกรธในหัวใจ ผู้ใดได้ประโยชน์เหตุใดมิให้ผู้นั้นมาทำงาน ใยจึงให้สตรีที่กำลังเจ็บป่วยต้องดั้นด้นเดินทางจนตายจาก เพียงเพราะบิดาอยากได้ตำลึงเอาไว้ให้น้องสาวต่างมารดาเป็นสินเดิมยามที่นางแต่งออกไป