เสนาบดีเว่ยหวังจิ้ง เสนาบดีกรมการคลังหนุ่มรูปงามอนาคตไกล ปีนี้เขามีอายุเพียงแค่28ปีเท่านั้น แต่ด้วยความดีความชอบเรื่องการปราบปรามการทุจริตในราชสำนักครั้งยิ่งใหญ่เมื่อเดือนที่แล้ว จึงได้รับตำแหน่งงานที่ก้าวกระโดดเกินกว่าวัยถึงเพียงนี้
แต่เดิมชายหนุ่มรูปงามผู้นี้เป็นเพียงผู้ช่วยคนสนิทของอดีตเสนาบดีเฒ่าเจ้ากรมการคลัง ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตเพราะยักยอกทรัพย์สินของแคว้นไปมากมาย และก็เป็นเว่ยหวังจิ้งผู้นี้ที่นำเรื่องราวและหลักฐานทุกอย่าง ที่เขาเก็บรวบรวมได้มาหลายปีส่งมอบให้เฉียนหลงฮ่องเต้พิจารณาด้วยพระองค์เอง
บุรุษหน้าหยกที่มีแต่ความเฉยชาบนใบหน้า แต่งกายด้วยชุดสีแดงตามโบราณประเพณี ถึงจะไม่ได้เต็มใจแต่งงานในครั้งนี้ แต่เขาก็จำเป็นต้องออกมาจัดการให้พิธีการเสร็จสิ้นไป ตามคำสั่งการของบิดามารดาที่กระตือรือร้นเสียยิ่งกว่าเจ้าบ่าวของงาน
“สตรีผู้นี้จะไม่ก่อปัญหาให้ข้าในภายหลังแน่แล้วหรือ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามผู้ช่วยคนสนิทขณะกำลังนั่งจิบชารอขบวนเกี้ยวเจ้าสาว ที่ม้าเร็วมาแจ้งให้เขารับรู้เมื่อสักครู่ว่า ขบวนเจ้าสาวที่มีเพียงรถม้าคันหนึ่งกับผู้ดูแลขบวนที่ขี่ม้าตามมาเพียงสองคน กำลังเดินทางผ่านประตูเมืองหลวงเข้ามาแล้ว
“ขอรับใต้เท้า ข้าน้อยสืบข่าวเกี่ยวกับนิสัยใจคอของคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลียนมาเป็นอย่างดี ก่อนที่จะส่งข้อมูลให้ใต้เท้าเลือกสรรสตรีที่ถูกใจ คุณหนูเหลียนเฟยเจินเหมาะสมทั้งชาติตระกูล และนิสัยใจคอตรงตามที่ใต้เท้าต้องการทุกประการ”
“อืม เช่นนั้นข้าจะได้สบายใจ เพราะข้ามิได้ประสงค์จะร่วมหอลงโลงกับนางอย่างที่คู่แต่งงานพึงกระทำ”
“หากใต้เท้าพึงใจคุณหนูเหลียนจะทำเช่นไรเล่าขอรับ อยู่ๆกันไปแล้วค่อยตัดสินอีกทีดีหรือไม่ ในแคว้นหลงสตรีที่ถูกหย่าขาดย่อมน่าสงสารนะขอรับ”
อู่จ้งผู้ช่วยคนสนิทที่คอยติดตามเว่ยหวังจิ้งมาตั้งแต่เยาว์วัย ได้แสดงความคิดเห็นออกไปเพียงเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าสตรีผู้ที่กำลังจะมาเป็นฮูหยินน้อยของจวนตระกูลเว่ยช่างน่าสงสารยิ่งนัก นางกำลังจะมาเป็นแม่แตงเถาตายมีสามีก็มิอาจร่วมหอเคียงข้างกาย
“ข้าไม่มีทางพึงใจนางอย่างแน่นอน ที่แต่งด้วยก็เพราะความจำเป็นเท่านั้น และทางครอบครัวของนางก็ได้ประโยชน์เช่นกัน ตำลึงมากมายที่ข้าสูญเสียไป คงมิอาจใช้คำว่าสงสารนางได้อีก”
เสนาบดีหนุ่มตวาดขึ้นเสียงดัง เมื่อได้ยินถ้อยคำที่บาดหูยิ่งนัก ตั้งแต่เกิดมาเขายังมิเคยพึงใจในสตรีใดมาก่อน ที่ยอมแต่งงานในครั้งนี้ก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงสตรีผู้หนึ่งก็เพียงเท่านั้น หากเขาไม่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่เป็นอันตรายต่อตระกูล ก็คงไม่ต้องใช้วิธีที่น่ารำคาญเฉกเช่นนี้
“ขอรับๆ ไม่พึงใจก็ไม่พึงใจแต่ดูจากรูปวาดคุณหนูเหลียนงดงามมาก ข้าเลยอดคิดไม่….”
อู่จ้งที่ได้ดูภาพวาดของสตรีที่จะมาเป็นฮูหยินน้อยมากกว่าใต้เท้าของเขา กำลังนึกถึงใบหน้างดงามหวานหยดย้อย ที่เขามองออกว่าตัวจริงนางต้องงดงามกว่าในรูปวาดเป็นแน่
“หยุดเลยอู่จ้ง ข้าขี้เกียจรับฟังเรื่องไร้แก่นสารเช่นนี้อีก สตรีหรือก็เหมือนๆกันหมดน่ารำคาญ คงจะคอยแต่ส่งเสียงดังแว๊ดๆให้ข้ารำคาญหูไปวันๆก็เท่านั้น”
ยังมิทันที่อู่จ้งจะสาธยายความงดงามของว่าที่ฮูหยินน้อยจบ เว่ยหวังจิ้งก็เอ่ยตัดบทด้วยความรำคาญ เขาเลือกนางมิใช่เพราะหน้าตา แต่เลือกเพราะบิดามารดาของนางรู้จักกับบิดามารดาของเขา และนิสัยของนางเรียบร้อยหัวอ่อน เชื่อฟังบิดามารดาไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียให้ต้องอับอายในภายหลัง และเมื่อถึงยามหย่าร้างนางจะได้จากไปแต่โดยดี
“ขอรับๆออกไปรอรับขบวนเจ้าสาวที่ด้านนอกกันเถิดขอรับ นายท่านกับนายหญิงให้คนมาตามใต้เท้าแล้ว” อู่จ้งรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อขี้เกียจจะเถียงกับใต้เท้าที่ยึดมั่นเพียงความคิดของตนเองเป็นใหญ่
“ท่านพ่อกับท่านแม่ก็จัดงานเสียใหญ่โต รู้ทั้งรู้ว่าข้าตั้งใจจะทำการใด มิเกรงว่าลูกสะใภ้จะอับอายผู้คนในภายหลังการหย่าหรืออย่างไร”
เว่ยหวังจิ้งบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทางเดินไปห้องโถงพิธีของจวน ทั้งๆที่ตนแจ้งความประสงค์อย่างตรงไปตรงมากับบิดามารดาแล้วแท้ๆ แต่ท่านทั้งสองยังจัดงานใหญ่โตด้วยความดีใจ ที่ได้บุตรสาวของสหายรักมาเป็นลูกสะใภ้ใหญ่
เสียงโห่ร้องเสียงดังมาจากหน้าจวนตระกูลเว่ย เมื่อเกี้ยวของเจ้าสาวเดินทางมาถึงแล้ว ถึงแม้จะไร้ซึ่งขบวนสินเดิมยาวเหยียดอย่างที่ควรจะมี เพราะนางมีเพียงหีบใบเล็กๆเพียงสองหีบเท่านั้น ซึ่งตอนนี้สาวใช้คนสนิทกำลังถือและเดินตามมาติดๆ
ชาวเมืองที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานแต่งของเสนาบดีหนุ่มรูปงาม ต่างจ้องมองขบวนรถม้าของฝ่ายเจ้าสาวด้วยความฉงนใจ เนื่องจากพบเห็นเพียงความเรียบง่ายที่เกินเหตุ สินเดิมของฮูหยินน้อยตระกูลเว่ยมีเพียงสองหีบเท่านี้หรือ
“อับจนถึงเพียงนี้ กล้าดีอย่างไรถึงได้ขึ้นเกี้ยวมาแต่งให้ใต้เท้าเว่ยผู้รูปงามแห่งเมืองหลวง หรือนางจะแต่งเข้ามาเป็นเพียงอนุภรรยา เช่นนี้ข้าก็ยังมีหวังอยู่ใช่หรือไม่”
สตรีที่สวมชุดแดงไม่แพ้เจ้าสาวเอ่ยขึ้นกับสาวใช้เสียงเบา นางยืนหลบอยู่ในมุมหนึ่งของจวนตระกูลเว่ย เพราะแอบหลบออกมาจากวังหลวง จึงมิกล้าเปิดเผยตัวให้เจ้าของจวนรับรู้
ใบหน้างามสวมผ้าปกคลุมใบหน้าไว้อย่างมิดชิด เพราะเกรงว่าพระเชษฐาจะให้คนมาตามตัวกลับวังหลวง จนเกิดเรื่องวุ่นวายให้อับอายขายขี้หน้าชาวเมืองที่มาร่วมงานแต่งงานของบุรุษที่ตนพึงใจ
“องค์หญิงดีกว่า เหมาะสมกว่าเพคะ” นางกำนัลข้างกายเอ่ยอย่างประจบสอพลอ ทั้งๆที่ยังมิเคยพบเห็นใบหน้าของเจ้าสาวเลยสักครั้ง
“ย่อมแน่อยู่แล้ว สตรีชาวบ้านต่างเมืองจะมาสู้ความงดงามของข้าได้อย่างไร อีกไม่นานใต้เท้าเว่ยก็จะตาสว่างเอง และข้าก็จะไม่ยอมอยู่เฉยให้นางอยู่ดีมีสุขในจวนตระกูลเว่ยอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงเล็กแหลมเอ่ยขึ้นเสียงเบา ก่อนที่นางจะรีบหลบไปพร้อมกับนางกำนัลและองครักษ์ที่ติดตามมา เพราะถึงเวลากลับตำหนักแล้ว
ร่างอรชรในชุดเจ้าสาวสีแดงสดถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณีทุกอย่าง กำลังจะก้าวขาลงจากรถม้าธรรมดาๆที่ประดับประดาด้วยผ้าสีแดงเพียงน้อยนิด นางมิได้ประหม่าต่อความอับจนของสินเดิมที่ได้รับมาแต่อย่างใด
แววตาถือดีที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าโปร่งสีแดง กำลังจ้องมองไปทั่วๆจวนขนาดใหญ่ที่นางถูกครอบครัวส่งมาแต่งงาน ไม่สิต้องเรียกว่าเหลียนเฟยเจินคนเดิมถูกส่งมาแต่งงานเพื่อแลกเปลี่ยนกับตำลึงถึงจะถูก
‘ตระกูลเว่ยใหญ่โตและร่ำรวยถึงเพียงนี้เชียวหรือ หากว่าที่สามีผู้นั้นนิสัยใจคอไม่น่ารำคาญจนเกินเหตุก็คงอยู่ร่วมกันได้’ เฟยเจินนึกชื่นชมความร่ำรวยของตระกูลว่าที่สามีอยู่ในใจ
ในขณะที่กำลังขบคิดเรื่องชีวิตของตนเองต่อจากนี้ ก็มีมือใหญ่ยื่นมาข้างหน้าของนาง เพื่อช่วยเหลือให้สตรีที่ขึ้นชื่อว่ากำลังจะเป็นเจ้าสาวของเขาลงจากรถม้าได้อย่างปลอดภัย ตามมารยาทที่พึงกระทำต่อหน้าชาวเมืองที่มาร่วมงานแต่งงานในครั้งนี้
“ลงมาสิ มัวแต่จ้องมองและคิดการสิ่งใดอยู่ จวนหลังนี้เป็นเพียงที่พักชั่วคราวของเจ้าก็เท่านั้น อย่าได้คิดการใหญ่หวังครอบครองเป็นอันขาด”
เสียงบุรุษผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงติดรำคาญอยู่ข้างนอกรถม้า บ่งบอกว่าเขาไม่ได้เต็มใจมาช่วยเหลือเลยสักนิด มือใหญ่ก็ยื่นออกมารอคอยอย่างขอไปที
เหลียนเฟยเจินพอจะคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้นี้คงเป็นว่าที่สามีของนางเป็นแน่ เมื่อเห็นท่าที่เช่นนั้นนางจึงไม่คิดข้องเกี่ยวกับเขาให้ถูกดูหมิ่นอย่างไร้เกียรติ ทั้งยังเตรียมการหย่าร้างไว้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวขาเข้ามาในจวนตระกูลเว่ยแห่งนี้