“เจ้าค่ะ”
เฟยเจินรับคำโดยง่ายเพราะนางไม่ใช่คนที่มีนิสัยซุกซน หากจะทำการใดย่อมมีเหตุผลรองรับทุกครั้ง การที่จะออกไปเดินเล่นชมนกชมไม้ในสถานที่ที่อันตรายเพียงนี้ คงไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำอย่างแน่นอน
เสนาบดีเว่ยหวังจิ้งกับเหลียนเฟยเจินนั่งลงที่โต๊ะเพียงไม่นาน ก็มีเสียงแตรเป่าดังไปทั่วท้องพระโรงเป็นสัญญาณของการมาขององค์ราชันย์และองค์ราชินีแห่งแคว้น ตามติดมาด้วยบรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์
“ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”
เสียงเล็กแหลมของหวังขันที ขันทีคนสนิทข้างกายองค์ฮ่องเต้ ดังสอดประสานกับเสียงแตร เพื่อให้ผู้มาร่วมงานเลี้ยงทุกคนอยู่ในอาการสงบและสำรวม
“ขอให้ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นๆปี พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
เสียงกล่าวคำคารวะผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแคว้นดังกระหึ่มไปทั่วท้องพระโรง บ่งบอกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อองค์ราชันย์และองค์ราชินีแห่งแคว้นอย่างหาที่สุดมิได้
“ขอบใจทุกท่าน เชิญนั่งกันเถิด และเชิญกินดื่มกันตามสบาย งานเลี้ยงฉลองในวันนี้เจิ้นขอให้ทุกท่านมีความสุขและผ่อนคลายมากที่สุด”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
เสียงตอบรับคำขององค์ราชันย์ดังไปทั่วท้องพระโรง ก่อนที่การแสดงชุดแรกจะเริ่มต้นขึ้น พร้อมๆกับที่นางกำนัลต่างทะยอยนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาบริการในงานเลี้ยง
เหลียนเฟยเจินนั่งมองการแสดงเต้นรำแบบโบราณของนางรำจากหออวิ๋นเม่ยด้วยท่าทีสงบ สตรีแต่ละนางต่างนุ่งอาภรณ์บางเบาเปิดเผยเนื้อตัวตามแบบของนางรำ หางตาของเฟยเจินแอบชำเลืองมองสามีว่าเขาชื่นชอบสตรีเหล่านี้หรือไม่ แต่ก็พบเพียงใบหน้านิ่งขรึมเช่นเคย เห็นทีเรื่องที่นางสงสัยคงจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว หากเขาไม่มีสตรีในใจก็คงมิได้ชื่นชอบสตรีเป็นแน่
ในขณะที่กำลังคิดสิ่งใดอย่างเพลิดเพลิน มือเรียวก็หยิบกาน้ำชาเทลงจอกน้ำชาที่วางอยู่ข้างกัน เพราะรู้สึกคอแห้งอยากจิบน้ำชาก่อนรับประทานอาหารกลางวัน ที่ปรุงจากฝีมือพ่อครัวของพระราชวังที่นางรอคอยชิมรสชาติอาหารว่าจะอร่อยอย่างที่จินตนาการเอาไว้หรือไม่
กึก!!
เหลียนเฟยเจินที่กำลังจะจิบน้ำชาในจอกที่นางกำนัลนำมาให้ที่โต๊ะก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้กลิ่นบางอย่างที่อยู่ผิดที่ผิดทาง นางคุ้นเคยกับกลิ่นนี้แต่กลิ่นเช่นนี้ไม่ควรมาอยู่ในกาน้ำชา หรืออาหารทุกชนิด หมอศัลยกรรมกระดูกและข้อที่ทำงานร่วมกับวิสัญญีแพทย์มานานหลายปี ย่อมรู้ดีว่าเป็นกลิ่นของยาสลบถึงจะบางเบาเพียงไรก็ตาม
“อย่าดื่มน้ำชา”
เฟยเจินกล่าวเสียงเบา และยกมือขึ้นห้ามสามีที่กำลังจะยกจอกน้ำชาขึ้นจิบเช่นกัน นางยังไม่อยากลากเขากลับจวนตัวก็ใหญ่โตขนาดนั้น และวันนี้อู่จ้งก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามเข้ามาในเขตพระราชวัง เห็นทีว่าความยากลำบากทั้งมวลคงตกอยู่ที่นางเป็นแน่หากไม่ห้ามปรามเสียก่อน
ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำจ้องมองระแวดระวังไปรอบๆท้องพระโรง เพื่อมองหาบุคคลที่มีพิรุธแต่ก็ไม่พบเจอสิ่งใดที่ผิดปกติ ผู้ร้ายคงเตรียมการมาเป็นอย่างดีถึงได้เลือกใช้ยาสลบอ่อนๆเช่นนี้ หากไม่ดื่มพร้อมสุราก็จะมีเพียงอาการอ่อนเพลียรู้สึกอยากนอนหลับก็เท่านั้น แต่หากผู้ใดดื่มเข้าไปพร้อมกับสุราย่อมหมดสติภายหลังอย่างแน่นอน
“หืม ในน้ำชามีสิ่งใดกระนั้นหรือ”
เว่ยหวังจิ้งเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ เมื่อฮูหยินที่เขาให้คนสืบข่าวของนางมาอย่างดีมีอุปนิสัยไม่ตรงกับข้อมูลที่เขารับรู้เลยสักอย่าง
ข้อมูลที่เขาได้รับคือเหลียนเฟยเจินเป็นสตรีหัวอ่อน ที่ไม่มีความรู้ด้านใดเป็นพิเศษนอกจากศาสตร์ของสตรีทั่วๆไป ทว่ายามนี้นางกำลังกล่าวเหมือนรู้ว่าในน้ำชามีสิ่งแปลกปลอมอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งสีหน้าและแววตาของนางยังดึงดูดให้เขาเชื่อนางอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
“ในน้ำชามียาสลบ แม้แต่เข็มทดสอบพิษก็มิอาจตรวจเจอ หากเชื่อข้าท่านจงรีบแจ้งรองแม่ทัพมู่ฉินซีโดยด่วน หากกาน้ำชาทุกโต๊ะมียาสลบอยู่เช่นกันคงไม่ใช่เรื่องดี และไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรเกิดขึ้นในงานเลี้ยงที่ทุกคนกำลังกินดื่มอย่างสนุกสนาน”
เฟยเจินกล่าวเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน จะได้ไม่มีผู้ใดนำความไปขยายจนแตกตื่นไปทั้งงาน เพราะนางก็ไม่แน่ใจว่ากาน้ำชาที่มีอยู่ทุกโต๊ะจะมียาสลบเหมือนกาน้ำชาที่โต๊ะนางได้รับหรือไม่
“อืม ข้าจะรีบส่งสัญญาณแจ้งรองแม่ทัพมู่ประเดี๋ยวนี้ เจ้านั่งรออยู่ที่นี่ไม่ต้องกินสิ่งใด เพราะในอาหารก็ใช่ว่าจะปลอดภัย”
เว่ยหวังจิ้งกล่าวเสียงเครียดเพราะเขาเชื่อนาง หากเป็นเช่นนี้แสดงว่าเรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้นในงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ
“เจ้าค่ะ”
เสนาบดีเว่ยจ้องมองไปยังโต๊ะที่สหายสนิทกำลังนั่งสนทนาอยู่กับบิดา และดูเหมือนว่ารองแม่ทัพมู่จะรู้สึกได้เขาจึงหันมาทางนี้เช่นกัน เว่ยหวังจิ้งพยักหน้าเป็นสัญญาณให้มู่ฉินซีปลีกตัวมาพบเขาอย่างเร่งด่วน รอเพียงชั่วครู่ร่างกำยำในชุดรองแม่ทัพอย่างเต็มยศก็เดินมาถึง
“มู่ฉินซี ในน้ำชามียาสลบชนิดอ่อนๆซึ่งเข็มพิษมิอาจตรวจสอบได้ แต่หากดื่มพร้อมกับสุราย่อมหมดสติในภายหลัง” เว่ยหวังจิ้งรีบแจ้งสารสำคัญแก่สหาย ตามที่ได้รับข้อมูลจากเหลียนเฟยเจิน
“ข้าจะไม่ซักถามว่าเจ้ารู้ได้อย่างไร และข้าเชื่อว่าในน้ำชามียาสลบจริงๆ แต่พวกเราจะทำเช่นไรให้ฝ่าบาททรงเชื่อ หากเข็มเงินตรวจสอบพิษของหมอหลวงไม่สามารถตรวจสอบได้”
มู่ฉินซีเอ่ยเสียงเครียดเพราะเรื่องเช่นนี้ต้องกล่าวอ้างอย่างมีหลักฐาน หาไม่แล้วก็จะกลายเป็นสร้างความวุ่นวายให้แก่งานเลี้ยง จนเกิดความเสื่อมเสียแก่ผู้แจ้งเรื่อง และนั่นคงจะเป็นแผนการที่คนร้ายได้วางเอาไว้เป็นแน่จึงได้เลือกใช้ยาสลบอ่อนๆเช่นนี้
“ในเมื่อเข็มเงินทดสอบพิษไม่เจอ ก็ใช้คนทดสอบสิเจ้าคะ ไม่กี่ชั่วยามผู้ที่ทดสอบก็ฟื้นไม่มีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน” น้ำเสียงเรียบเฉยกล่าวออกไปอย่างผู้มีความรู้
“ฮูหยินน้อยข้าเชื่อเจ้า เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งแก่ท่านแม่ทัพตามนี้ หวังจิ้งข้าขอกาน้ำชาที่มีปัญหาไปให้หมอหลวงตรวจสอบ ส่วนเจ้าทั้งสองคนก็รอคอยฟังข่าวอยู่ตรงนี้ไม่ต้องติดตามไป ประเดี๋ยวผู้คนจะแตกตื่นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”
มู่ฉินซีนึกแปลกใจอยู่บ้างเรื่องที่สหายรู้ได้อย่างไรว่าในกาน้ำชามียาสลบ แต่เขาก็ต้องวางเรื่องความสงสัยเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงใช้อาภรณ์บดบังกาน้ำชาที่หิ้วติดมือไป เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แล้วรีบปลีกตัวไปจัดการเรื่องราวที่เกิดปัญหาทันที
เมื่อรองแม่ทัพมู่เดินจากไปแล้ว เฟยเจินก็แอบก้มลงสูดดมอาหารแต่ละจานอย่างแนบเนียน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตจากผู้คนที่กำลังนั่งกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน
“ในอาหารไม่มียาสลบ คนร้ายคงเพ่งเล็งไปที่บุรุษเพราะสตรีส่วนใหญ่ไม่ดื่มสุรา ผู้ใดหมดสติแล้วคนร้ายจะได้ประโยชน์มากที่สุด หรือว่า…..”
เหลียนเฟยเจินจ้องมองอาหารบนโต๊ะแล้วค่อยๆวิเคราะห์ออกมาตามนิสัยช่างสังเกต หลังจากสูดดมกลิ่นอาหารทุกจานก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงเพ่งเล็งไปที่กาน้ำชากับสุราเลิศรส ที่ถูกส่งตรงมาจากห้องเครื่องในวังหลวง
“หมอหลวง/หมอหลวง”
เว่ยหวังจิ้งกับเหลียนเฟยเจินเอ่ยประสานเสียงกันแผ่วเบา เพราะยังไม่อยากให้ผู้ใดรับรู้เรื่องมียาสลบในกาน้ำชา จนกว่าทุกอย่างจะชัดเจนด้วยหลักฐาน เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่จะตามมา