“ฮูหยินน้อยจะรีบไปที่ใดหรือเจ้าคะ ข้ากับสหายจะมาทำความรู้จักกับท่าน”
เสียงสตรีนางหนึ่งที่เดินมาพร้อมกับสหายเอ่ยขึ้น ในขณะที่เหลียนเฟยเจินกำลังจะเดินตามสามีที่นางให้เขาปลีกตัวออกจากงานเลี้ยงไปก่อนหน้านี้
“ข้ามีกิจธุระที่ต้องไปจัดการ ไม่สะดวกจะทำความรู้จักกับผู้ใด”
เมื่อเห็นว่าเป็นสตรีสองนางที่พูดจาเหน็บแนมตนเองเมื่อครั้งเดินเข้ามาในเขตพระราชวัง เฟยเจินจึงไม่อยากเสียเวลาทำความรู้จัก ประเดี๋ยวคงได้พูดจาแดกดันนางไม่เลิกดูก็รู้ว่าไม่ได้มีเจตนาดี
“อวดดี ข้ากับสหายอุตส่าห์ลดตัวมาทำความรู้จักกับสตรีบ้านนอกที่ดวงดีมีโชคใหญ่ ได้แต่งงานกับเสนาบดีกรมคลังผู้ร่ำรวย ชุบตัวให้สูงส่งจนกระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของพระราชวังในวันนี้”
เหวินไป๋เซียงเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าววาจาเสียดสียิ่งกว่าครั้งใด นางเกลียดชังสตรีตรงหน้าทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คงเพราะความงดงามที่บดบังรัศมีของสตรีทุกนางในงานเลี้ยงวันนี้ แม้กระทั่งองค์หญิงรองกับองค์หญิงสาม สองสตรีสูงศักดิ์ที่ถือได้ว่างดงามที่สุดในแคว้นหลง ยังงดงามไม่เท่าสตรีบ้านนอกนางนี้เลย
“หุบปาก!! หากยังอยากมีฟันไว้เคี้ยวอาหาร ข้าไม่ใช่สตรีจิตใจดีงามที่จะทนฟังวาจาไร้มารยาทเช่นนี้ได้บ่อยครั้ง ปากเสียเพียงนี้ยามเยาว์วัยคงไม่เคยมีผู้ใดสั่งสอนจนเติบใหญ่มาอย่างไร้คุณภาพเพียงนี้ พวกเจ้าเดินมาจากทางไหนจงกลับไปทางนั้นเสีย ก่อนที่ข้าผู้นี้จะยับยั้งโทสะเอาไว้ไม่อยู่ หาไม่แล้วบิดาของพวกเจ้าคงต้องได้พบปะกับสามีของข้าดูสักครั้ง”
เฟยเจินตวาดเสียงเรียบ โดยไม่ได้สนใจว่าผู้ใดจะมาได้ยินคำผรุสวาทที่นางกล่าวออกไป ได้ยินแล้วอย่างไรไม่ได้ยินแล้วอย่างไร มีผู้ใดกันที่ชื่นชอบให้คนไม่รู้จักมายืนกล่าววาจาเสียดสีอย่างไร้มารยาทเช่นนี้ นางไม่ตบปากไปสักทีสองทีก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“จะ…เจ้า”
เหวินไป๋เซียงอ้าปากค้างเมื่อถูกตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุดในชีวิต ทั้งยังออกจากปากของสตรีที่นางเกลียดชังมากที่สุด
“นังบ้านนอก กล้าดีอย่างไรมาตำหนิข้า แม้แต่บิดามารดาของข้ายังไม่เคยกล่าวหนักถึงเพียงนี้”
เมื่อตั้งสติได้เหวินไป๋เซียงจึงก่นด่ากลับไปทันที นางโกรธกระทั่งลืมจนสิ้นว่ายามนี้ตนเองกำลังอยู่ในงานเลี้ยงของพระราชวัง เสียงแหลมๆของนางกำลังเรียกความสนใจจากผู้คนในงานเลี้ยงให้จ้องมองมา
“ออกไป!! ก่อนที่มือคู่นี้ของข้าจะเลาะฟันออกจากปากเจ้าให้หมดปาก หน้าตาไม่งามจิตใจยังมืดบอดบุรุษใดมาสู่ขอไปเป็นภรรยาคงต้องคิดให้หนัก ข้าไม่เคยรู้จักหรือสร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับเจ้ามาก่อน เหตุใดจึงมายืนก่นด่าผู้อื่นตามใจตนเช่นนี้ ช่างเป็นสตรีไม่รู้ความเสียจริง”
เหลียนเฟยเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาของนางจ้องมองสตรีไม่รู้ความอย่างดุดัน เพราะโมโหที่มีผู้มาขัดขวางการหลบหลีกจากอันตราย อีกทั้งสตรีนางนี้ยังขยันพ่นวาจาเน่าเหม็นให้รำคาญหู
“กะ กรี๊ด……อุ๊บ!!!”
เหวินไป๋เซียงกำลังจะกรีดร้องตามอุปนิสัยเอาแต่ใจเมื่อถูกต่อว่าอย่างหนัก แต่ก็มีมือมาปิดปากนางเอาไว้เสียก่อนที่เสียงกรีดร้องจะดังเล็ดลอดออกไปให้ผู้คนในงานเลี้ยงได้ยินอีกครั้ง มือเล็กๆนั้นยังออกแรงบีบปากของนางเข้าหากันจนเริ่มจะเจ็บบ้างแล้ว
“ไม่ไปหรอกหรือ ข้าเหลียนเฟยเจินกล้าพูดก็กล้าลงมือกระทำหาใช่พูดจาข่มขู่ไปเรื่อยเปื่อย หรือเจ้าจะลองดูสักครั้ง”
เหลียนเฟยเจินกระซิบข้างใบหูเหวินไป๋เซียง ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกน่าหวั่นเกรง ยามนี้ใบหน้างามแสดงสีหน้าดุดัน จนซูฮวาที่ยืนมองอยู่ไม่กล้ากล่าววาจาเสียดสีอย่างที่สหายของนางกระทำเลยสักประโยค
“ปะ…ปล่อยนะข้าเจ็บ”
เหวินไป๋เซียงกล่าวเสียงอู้อี้ในลำคอ เมื่อปากของนางถูกมือเล็กบีบแรงมากขึ้นตามอารมณ์ของผู้กระทำ แขนทั้งสองข้างของนางก็ถูกรวบเอาไว้ ด้วยมือเพียงข้างเดียวของเหลียนเฟยเจินสตรีที่นางเกลียดชัง
“เอ่อ ขออภัยฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ ปล่อยเหวินไป๋เซียงเถิดข้าจะพานางออกไปประเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นอาการเจ็บปวดของสหายที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น ซูฮวาจึงตัดสินใจเอ่ยวาจาอ่อนข้อออกไป ก่อนที่นางกับเหวินไป๋เซียงจะถูกเลาะฟันอย่างที่ถูกข่มขู่ไปก่อนหน้านี้
“โอ๊ย!! ปล่อยเบาๆสินังบ้าน……”
เหวินไป๋เซียงที่ถูกมือเรียวบีบมุมปากอย่างแรงก่อนที่จะยอมปล่อย ถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จนหลงลืมความหวาดกลัวก่อนหน้าและกำลังจะก่นด่าสตรีที่ทำนางเจ็บอีกครั้ง
“เหวินไป๋เซียงไปกันเถิด ประเดี๋ยวเรื่องถึงหูบิดาของเจ้ากับข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่อยากถูกกักบริเวณอยู่แต่ในจวนหรือเจ้าอยากถูกลงโทษ”
ซูฮวารีบเอ่ยขัดเหวินไป๋เซียงที่กำลังจะผรุสวาสโฉมงามตรงหน้า และดึงแขนของนางให้รีบเดินจากไปเมื่อเห็นว่าสหายกำลังจะทำเรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะรู้สึกหวั่นเกรงสายตาดุดันที่ฮูหยินของท่านเสนาบดีกรมคลังจ้องมองมา ยิ่งมองนางยิ่งขนลุกไปทั้งตัว เหตุใดสตรีงดงามผู้นี้จึงมีรังสีสังหารออกมาเช่นนี้
“ฝะ…ฝากไว้ก่อนเถอะ”
กล่าวเพียงเท่านั้นเหวินไป๋เซียงก็เร่งรีบเดินจากไปทันที ถึงจะกลัวเพียงไรแต่นางก็ยังอวดดีไม่เลิก เพียงแค่วันนี้ขอกลับไปตั้งหลักก่อนก็เท่านั้น
“แม่จะเอาเข็มเย็บปากให้สักวัน รอข้าเตรียมเข็มให้พร้อมก่อนเถิด สตรีในห้องหออะไรปากเสียเกินเยียวยา”
เฟยเจินพึมพำเสียงเบาด้วยความโมโห จากนั้นจึงรีบหลบหลีกปลีกตัวออกไปจากงานเลี้ยงทันที ป่านนี้สามีหน้ายักษ์คงยืนรอนางจนขาแข็งแล้วกระมัง หรืออาจจะว่ากล่าวให้นางรำคาญหูอีกก็เป็นได้
เมื่อยืนรอสักพักแล้วก็ไม่เห็นฮูหยินของตนเดินตามมาอย่างที่ควรจะเป็น เสนาบดีหนุ่มที่เคยมีแต่อารมณ์เฉยชาอยู่เป็นนิจ ยามนี้กำลังเกิดอาการร้อนใจและกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาคมกริบเอาแต่จ้องมองทางเดินแต่ก็ไม่พบเห็นคนที่เขารอคอย
เมื่อรู้สึกว่าการรอคอยช่างทรมานเหลือเกิน เขาจึงตัดสินใจจะเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอีกครั้ง ทว่าสายตาคมก็มองเห็นโฉมสะคราญกำลังเดินตรงมาทางเขาพอดี
“มัวชักช้าการใดอยู่ ข้ายืนรออยู่นานจนเกือบได้เดินเข้าไปตามในงาน”
เมื่อมาถึงจุดนัดพบก่อนก้าวออกจากประตูพระราชวัง เหลียนเฟยเจินก็ถูกสามีหน้ายักษ์กล่าววาจาเหน็บแนมจนได้ แต่นางก็ฟังออกว่าครั้งนี้เขากล่าวเพราะเป็นห่วง คงหวั่นเกรงว่านางจะทำให้เสียเรื่องกระมัง
“มีสตรีปากเหม็นมาพูดจาน่ารำคาญเลยเสียเวลากว่าจะปลีกตัวออกมาได้ ข้าเกลียดเสียงน่ารำคาญเลยสั่งสอนไปเล็กน้อย เป็นฮูหยินของท่านใช่จะสบายท่านก็รู้มิใช่หรอกหรือ”
“เช่นนั้นหรือ มิน่าเล่าเจ้าถึงออกมาช้า ยามนี้พวกเราต้องรีบไปให้พ้นเขตประตูพระราชวัง ก่อนที่ทหารหน่วยลับของแม่ทัพมู่เฉินเทียนจะปิดล้อมพระราชวังไว้ทั้งหมด รองแม่ทัพมู่ฉินซีให้ป้ายหยกผ่านทางแก่ข้ามาแล้ว”
เว่ยหวังจิ้งชูป้ายหยกที่มีตราสัญลักษณ์ของแม่ทัพแห่งแคว้นหลง ซึ่งเป็นป้ายผ่านทางในกรณีฉุกเฉินที่เกิดเหตุการณ์ร้าย ทั้งสองคนจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมรู้สมคบคิดกับคนร้าย เพราะออกไปจากงานเลี้ยงก่อนที่จะมีการปิดล้อมพระราชวัง
“เจ้าค่ะ ท่านก็รอบคอบใช่ย่อย ข้ายังคิดอยู่เลยว่าหายออกมาจากงานเลี้ยงก่อนผู้อื่นเช่นนี้จะไม่ถูกใส่ร้ายปรักปรำหรอกหรือ”
“หึหึ เจ้าก็มีหลายสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ข้ารับรู้”
มือใหญ่เอื้อมไปกอบกุมมือเล็กแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิมจนแทบจะเป็นการวิ่ง เพื่อให้ทันเวลาปิดประตูพระราชวัง
“ข้าวิ่งเองได้ ท่านจะจับมือข้าทำไม ยามนี้ไม่จำเป็นต้องแสดงงิ้วให้ผู้ใดดูหรอก”
เฟยเจินเอ่ยคัดค้านไปตามสายลม ขณะที่ก้าวเท้าเดินตามร่างสูงใหญ่ด้วยความรวดเร็ว มือของนางยังถูกมือใหญ่กอบกุมไว้ไม่ยอมปล่อย ซึ่งเป็นการปฏิเสธที่จะทำตามคำบอกกล่าวของนาง
“ขาเจ้าก็สั้นเพียงนั้น ข้าจูงมือแล้วพาวิ่งจะเร็วกว่าอย่างไรเล่า รีบตามมาเถิดประเดี๋ยวจะไม่ทันการ”
มุมปากของบุรุษหน้านิ่งอมยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อได้กล่าววาจาเย้าแหย่สตรีข้างกาย หากไม่พูดกวนอารมณ์นางสักวันเขาก็รู้สึกเงียบเหงา หากอู่จ้งสามารถได้ยินความคิดนี้ของเจ้านายคงจะแปลกใจไม่น้อย เพราะใต้เท้าผู้นิ่งขรึมและชื่นชอบความเงียบสงบเป็นที่สุด กำลังรู้สึกเงียบเหงาหากไม่ได้พูดจากวนใจฮูหยิน ที่พึ่งแต่งเข้ามาได้เพียงสองวันเท่านั้น