เว่ยหวังจิ้งเห็นอาการของฮูหยินของตนก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ดูเอาเถิดสามีที่พึ่งเข้าพิธีแต่งงานไปเมื่อวานก็ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่นางยังมีอาการเขินอายบุรุษอื่นต่อหน้าเขาอีก
“รองแม่ทัพมู่มีคู่หมายแล้ว และสตรีผู้นั้นเป็นถึงองค์หญิงรองของแคว้นหลง” น้ำเสียงเข้มๆเอ่ยกระซิบข้างใบหูของฮูหยินพอให้ได้ยินกันสองคน
“เจ้าค่ะ”
เฟยเจินตอบรับคำสั้นๆ เพราะนางเพียงแค่ชื่นชมหาได้คิดสิ่งใด ยิ่งบุรุษที่ตำแหน่งใหญ่โตยิ่งไม่อยากข้องเกี่ยวให้วุ่นวายในชีวิต หากเลือกได้นางอยากไปใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงลำพัง ไม่อยากดูแลผู้ใดให้เหน็ดเหนื่อย
“พวกเรารีบเข้าไปในงานเลี้ยงกันเถิด อีกประเดี๋ยวฮ่องเต้กับฮองเฮาก็จะเสด็จลงมาร่วมงานเลี้ยงที่ท้องพระโรงแล้ว” รองแม่ทัพมู่ฉินซีหันไปกล่าวกับสหาย ที่ยามนี้มีสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยพบเห็น
ทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าผ่านประตูวังหลวง พร้อมๆกับผู้มาร่วมงานเลี้ยงคนอื่นๆ รองแม่ทัพมู่ฉินซีกับเสนาบดีเว่ยหวังจิ้งเดินนำหน้าห่างไปถึงสองจั้ง (ราวๆ7-8เมตร) เหลียนเฟยเจินเดินตามมาห่างๆ เพื่อเว้นระยะห่างกับบุรุษอื่นให้เหมาะสม
“ฮูหยินบ้านนอก สินเดิมมีเพียงสองหีบยังกล้ามาร่วมงานเลี้ยงสำคัญในพระราชวัง หากไม่ได้จับพลัดจับผลูแต่งงานกับบุรุษผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต คงไม่มีโอกาสเข้ามาเดินในเขตพระราชวังเช่นนี้”
เสียงเล็กแหลมของสตรีเอ่ยขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ได้ระบุให้แน่ชัดว่านางกล่าวถึงผู้ใด เหลียนเฟยเจินได้ยินและรับรู้ว่าถูกกล่าวถึงอยู่เป็นแน่ แต่นางก็ทำเพียงก้าวเดินตามสามีอยู่ห่างๆเช่นเคย ไม่ได้หันมากล่าวตอบโต้สตรีที่เดินตามมาข้างหลังแต่อย่างใด
“อับจนก็เพียงนี้ คงมีดีเพียงรูปกาย น่าเสียดายตำแหน่งที่ทรงคุณค่าเพียงนั้น ไม่น่าตกใส่หัวสตรีที่ไม่มีความดีความชอบอันใดเลย อ่านตำราได้หรือไม่ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้แจ้ง สตรีเช่นนี้หรือที่ถูกบุรุษรูปงามทั้งยังร่ำรวยเลือกมาเป็นฮูหยินเอกช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย”
เสียงกล่าวเสียดสียังคงดำเนินต่อไป นางเดินมาพร้อมสตรีรุ่นราวคราวเดียวกันคงจะเป็นสหายของนาง และดูท่าสตรีสองนางนี้คงจะเป็นบุตรีของขุนนางใหญ่สักคน ที่เสียประโยชน์จากการที่เหลียนเฟยเจินได้แต่งเข้าจวนตระกูลเว่ยตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
“อิอิ เหวินไป๋เซียง เจ้าก็กล่าวหนักเกินไป สตรีใดในเมืองหลวงจะอ่านตำราไม่ได้กันเล่า ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นฮูหยินเอกของขุนนางขั้นหนึ่งของแคว้นหลง ย่อมต้องเก่งกาจในศาสตร์ของสตรีมิใช่หรอกหรือ สตรีชาวบ้านทั่วๆไปจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้อย่างไรกัน”
เสียงของสตรีอีกนางเอ่ยเสริมเติมเชื้อไฟแห่งการเสียดสีดูแคลนผู้อื่น โดยที่ยังไม่ได้รับรู้ความจริงใดๆเลยสักนิด ทั้งสองนางต่างกล่าวกันอย่างสนุกปากตามที่พวกตนอยากจะให้เป็นไป
“ก็ไม่แน่หรอก ซูฮวา สตรีบางคนก็มิได้ใส่ใจฝึกฝนร่ำเรียน ยิ่งเป็นสตรีต่างเมืองยิ่งแล้วใหญ่พวกนางมักทำตัวไร้ค่า ไร้แก่นสารไปวันๆ เผลอๆอาจจะไม่มีตำลึงเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนในศาสตร์ของสตรีชั้นสูง เพราะกว่าจะร่ำเรียนจนจบก็ต้องใช้ตำลึงจำนวนมาก”
เหวินไป๋เซียงกล่าวออกไปอย่างถือดีว่าตนเพียบพร้อมกว่าผู้ใด บิดาของนางเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาของแคว้นหลง หากจะหาสตรีที่เพียบพร้อมเหมาะสมกับเสนาบดีเว่ยหวังจิ้ง นางย่อมคู่ควรเป็นที่หนึ่ง หาใช่สตรีบ้านนอกที่มีสินเดิมเพียงสองหีบผู้นี้ นางคงมีดีเพียงความงดงามก็เท่านั้น สิ่งอื่นใดล้วนมิอาจเทียบเคียงบุตรีของเสนาบดีฝ่ายขวาได้
เมื่อรำคาญหูจนถึงขีดสุด เหลียนเฟยเจินจึงหมุนตัวกลับหลังอย่างรวดเร็ว เพื่อจ้องมองสตรีทั้งสองนางที่กำลังกล่าววาจาน่ารำคาญหู
เหวินไป๋เซียงกับซูฮวา สตรีทั้งสองนางนี้คือบุตรีของขุนนางขั้นหนึ่ง ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้เพราะเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ทั้งสองนางรีบหยุดเดินทันทีเมื่อสตรีที่พวกนางกำลังกล่าวถึงหันหลังกลับมาอย่างกระทันหัน
“นี่เจ้า เหตุใดจึงหยุดเดินกระทันหันเช่นนี้ หากพวกข้าทั้งสองคนหกล้มจนเกิดบาดแผลจะทำเยี่ยงไร” เสียงแหลมของสตรีเอ่ยขึ้นอย่างหาเรื่อง เพราะนางเกือบสะดุดล้มเสียหลักลงไปกองกับพื้นให้อับอายผู้คน
ดวงตาคมกริบของเหลียนเฟยเจิน กวาดมองไปทั่วร่างผอมบางยิ่งกว่ากิ่งหลิวของสตรีปากมากทั้งสองนาง ร่างผอมบางขนาดนั้นเพียงแค่ประคองตนให้เดินอยู่ได้ไม่ถูกลมพัดปลิวก็ถือว่าเก่งมากแล้ว แขนขาก็ทั้งเล็ก และลีบ อีกทั้งรูปร่างก็ผอมบางไปทั้งตัว หากปล่อยให้กล่าวหนักปากเปราะไปยิ่งกว่านี้ แล้วนางเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาตามนิสัยเลือดร้อน เห็นทีว่ากระดูกของสตรีทั้งสองนางนี้คงจะหักไปทั้งตัวอย่างแน่นอน
โฉมสะคราญอมยิ้มมุมปากแล้วส่ายหัวไปมาช้าๆ ประกอบกับท่าทางการมองที่ใช้สายตาจ้องมองจากศีรษะจรดปลายเท้า เป็นภาษากายที่ผู้พบเห็นและถูกจ้องมองต้องกำหมัดแน่นด้วยความอับอาย ถึงแม้ไม่มีเสียงกล่าวใดๆเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มเลยก็ตาม ก่อนที่นางจะหมุนตัวกลับแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“นางด่าข้าด้วยสายตา”
“ใช่ นางก็ด่าข้าด้วยสายตาเช่นกัน”
สตรีทั้งสองนางที่เห็นพ้องต้องกันว่าถูกสตรีที่ตนกล่าวเสียดสีไปก่อนหน้าด่าว่าทางสายตา ทั้งสองนางจึงต่างเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้ตามไปพูดจาให้หนักกว่าเดิม แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกับหลัวมาม่า ที่กำลังยืนตรวจสอบอาวุธของสตรีทุกนางที่กำลังจะก้าวเข้าไปในท้องพระโรงของพระราชวัง
“เข้าไปในงานก่อนค่อยหาโอกาสเล่นงานนางอีกที ยังมีโอกาสอีกมากเพราะนางคงถูกปล่อยให้นั่งอยู่เพียงลำพัง เพราะดูท่าแล้วเสนาบดีเว่ยหวังจิ้งก็มิได้ใส่ใจนางเท่าไรนัก เดินห่างไปขนาดนั้นเห็นทีข่าวลือของชาวเมืองจะเป็นจริง”
เหวินไป๋เซียงหันไปกล่าวกับซูฮวาเสียงเบาเพราะเกรงว่าหลัวมาม่าจะได้ยิน ยามนี้ทั้งสองนางกำลังต่อแถวเพื่อตรวจอาวุธตามกฏของการเข้าร่วมงานเลี้ยงในเขตพระราชวัง
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น งานเลี้ยงในวันนี้คงสนุกกว่าที่ข้าคิด”
ซูฮวากล่าวอย่างนึกสนุก นางมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งสตรีงดงามเป็นทุนเดิม เพราะไม่ชอบให้ผู้ใดโดดเด่นกว่าตนคงเว้นเอาไว้เพียงแค่สหายข้างกายที่นางไม่กล้ากลั่นแกล้งเลยสักครั้ง เพราะบิดาของนางมียศที่ต่ำกว่าบิดาของเหวินไป๋เซียงนั่นเอง
ณ ท้องพระโรง
เหลียนเฟยเจินจ้องมองความงดงามของท้องพระโรงด้วยความสนใจ ดวงตากลมโตสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นที่มีโอกาสได้พบเห็นพระราชวังในยุคโบราณ แต่นางก็สามารถเก็บกิริยาอาการให้สำรวมได้เป็นอย่างดี บุรุษที่แอบลอบมองอาการของฮูหยินก็นึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย ที่นางไม่มีอาการตื่นตูมจนเขาต้องอับอายผู้คน
เมื่อถึงโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเสนาบดีกรมคลัง เว่ยหวังจิ้งก็หันหลังกลับมายืนรอเหลียนเฟยเจินที่เดินตามเข้ามาภายหลัง ส่วนรองแม่ทัพมู่ฉินซีก็ปลีกตัวไปนั่งรวมกับแม่ทัพใหญ่มู่เฉินเทียน บิดาของเขา และหว่านจูชิงมารดาของเขา
“นั่งอยู่ที่โต๊ะตรงนี้ ห้ามออกไปเดินตามลำพังอย่างเด็ดขาด หากอยากจะไปที่ใดต้องบอกกล่าวข้าทุกครั้ง”
เว่ยหวังจิ้งเอ่ยขึ้นเมื่อฮูหยินเดินมาถึงโต๊ะที่เขายืนรออยู่ จะให้กล่าวว่าเป็นห่วงก็คงไม่ใช่ทั้งหมด คงต้องกล่าวว่าเกรงจะเสียหน้าและอับอายผู้คนเสียมากกว่า