“ขอรับ เห็นทีข้าน้อยคงยังไม่ได้ออกเดินทาง เพราะคนร้ายมากันอีกสิบคนแล้วขอรับ ใต้เท้าเหตุใดประตูพระราชวังจึงเปิดให้สตรีเหล่านี้หลบหนีออกมาโดยง่าย”
อู่จ้งเอ่ยเสียงเครียด เมื่อมองเห็นสตรีในชุดรัดกุมราวๆสิบคนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เขากับเสนาบดีเว่ยต้องต่อสู้กับคนร้ายทั้งสิบห้าคน ต่อให้เก่งกาจสักเพียงไรก็ย่อมเหนื่อยล้าและอ่อนแรงเป็นธรรมดา
“คงเพราะเป็นสตรี ทหารยามเหล่านั้นจึงหลงใหลในความงดงามที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา หากเลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือทหารยามทั้งหมดอาจจะถูกพวกนางสังหารจนสิ้นแล้ว”
“มาอีกสิบคน จะตึงมือเกินไปหรือไม่ขอรับใต้เท้า”
“กลัวสิ่งใดเล่า แย่ยิ่งกว่านี้เจ้ากับข้าก็ผ่านมาแล้ว วันนี้ก็เช่นกันพวกเราต้องรอดอย่างที่เคยผ่านมา ไปกันเถิดอู่จ้งได้เวลาลับคมดาบแล้ว”
เมื่อจบการสนทนาร่างสูงใหญ่ทั้งสองร่างก็รีบทะยานออกไปดักหน้าสตรีทั้งสิบคน ก่อนที่พวกนางจะเข้าใกล้รถม้า ซึ่งมีคนที่พวกเขาจำเป็นต้องปกป้องรอคอยอยู่ข้างใน
ตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เหลียนเฟยเจินมองเห็นทุกอย่างผ่านรอยแยกของรถม้า ยามนี้นางเห็นเว่ยหวังจิ้งกับอู่จ้งกำลังตกอยู่ในวงล้อมของมือสังหารทั้งสิบ แต่บุรุษทั้งสองก็หาใช่ไก่อ่อนที่จะถูกจัดการได้โดยง่าย
“เก่งใช่ย่อย ถึงว่าได้รับตำแหน่งใหญ่โตทั้งๆที่อายุยังน้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยชื่นชมจากใจ
ดาบคมกริบของบุรุษทั้งสองตรงเข้าฟาดฟันมือสังหารอย่างรวดเร็วและเฉียบคม ยามนี้พวกนางต่างได้รับบาดแผลกันถ้วนหน้า แต่ก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะแต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายยังคงวนเวียนผลัดเปลี่ยนสู้รบไม่ถอย
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มยืดเยื้อจนฝ่ายของตนกำลังจะตกเป็นรอง หัวหน้ามือสังหารจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณบางอย่างแก่มือสังหารผู้หนึ่ง ที่อยู่รอบนอกวงล้อมการต่อสู้ เพื่อให้หลบหลีกไปกระทำการบางอย่างตามแผนสำรอง เว่ยหวังจิ้งกับอู่จ้งที่กำลังต่อสู้โรมรันสุดชีวิต จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งหลบออกไปจากวงล้อมการต่อสู้
ตึก! ตึก! ตึก!
สตรีชุดดำเร่งฝีเท้าวิ่งมาทางรถม้าคันใหญ่ เพราะรู้ดีว่าผู้ใดนั่งรอคอยอยู่ข้างในรถม้า มุมปากของนางยิ้มเยาะในความง่ายของภารกิจที่ตนเองได้รับจากหัวหน้า ให้ลงมือสังหารสตรีเพียงนางเดียวเช่นนั้นหรือ ลงดาบเพียงไม่กี่ครั้งก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว
พรึ่บ!!
สตรีชุดดำหยุดชะงักทันที ในจังหวะที่กำลังจะกระโดดขึ้นไปบนรถม้า เพื่อสังหารเป้าหมายให้จบสิ้นกันไปตามคำสั่ง เมื่อมีร่างอรชรที่สวมใส่อาภรณ์สีชมพูกลีบบัว พุ่งทะยานออกมาจากรถม้าอย่างรวดเร็ว จนน่าเหลือเชื่อว่าเป้าหมายเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งตามที่ผู้ว่าจ้างแจ้งมา
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
โฉมสะคราญทะยานพุ่งเข้าใส่สตรีชุดดำที่ถือดาบเตรียมฟาดฟันใส่นาง โดยไม่เอ่ยปากซักถามสิ่งใดให้มากความ อยากฆ่านางเช่นนั้นหรือก็คงต้องลองดูกันสักตั้ง ถึงจะมาอยู่ในร่างที่บอบบางไร้กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่ก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่ร่างกายนี้แข็งแรงเกินกว่าที่นางคาดคิด ทั้งๆที่คราแรกนึกว่าจะหยิบดาบไม่ไหวเสียแล้ว
‘หึหึ ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตามอบพละกำลังคืนให้แก่ข้าผู้นี้’
แขนเรียวเล็กฟันดาบไปข้างหน้าไม่ยั้งแรง จนคนร้ายต้องก้าวเท้าถอยหลังไปหลายก้าว เพื่อรับแรงที่โหมกระหน่ำฟาดฟันลงมาอย่างหนักหน่วง
“อยากฆ่าเหลียนเฟยเจินเช่นนั้นหรือ เจ้าต้องพยายามหน่อยแล้วแม่นาง”
เหลียนเฟยเจินกล่าวไปตามสายลม มุมปากงามแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว แววตาของนางดุดันเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นสตรีอ่อนแอ ยามนี้มือสังหารมั่นใจแน่แล้วว่าเป้าหมายหาใช่ลูกพลับนิ่มอย่างที่เข้าใจในคราแรก
“ฮูหยิน!! หนีไป”
น้ำเสียงเคร่งเครียดตะโกนแข่งกับเสียงดาบ ในขณะที่เขายังคงยกดาบขึ้นมาฟาดฟันปะทะกับหัวหน้ามือสังหารอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งคู่ต่อสู้ก็เก่งกาจจนเขาเริ่มตึงมือ
ช่วงจังหวะที่เว่ยหวังจิ้งหันหลังกลับมาจัดการกับมือสังหารสามคน ที่ลอบกัดฟันเขาจากทางด้านหลังจนได้บาดแผลขนาดใหญ่ สายตาคมก็มองเห็นโฉมสะคราญที่ตนสั่งให้นางรอคอยอยู่ในรถม้า กำลังฟาดฟันดาบที่เขาไม่รู้เลยว่านางเอามาจากที่ใดใส่สตรีชุดดำด้วยท่าทีองอาจยิ่งนัก
“อึก!! อู่จ้ง ไหวหรือไม่”
ถึงจะเจ็บปวดจากบาดแผลแต่เสนาบดีหนุ่มก็เป็นห่วงคนของเขาเช่นกัน ทั้งๆที่ตนเองได้รับบาดเจ็บเพราะถูกมือสังหารรุมอยู่ถึงสี่คน เว่ยหวังจิ้งเร่งมือต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ เพราะต้องการฝ่าวงล้อมไปช่วยเหลียนเฟยเจินให้พ้นภัย แต่เขาคงไม่ได้มองให้ดีว่ายามนี้สตรีที่เขาเป็นห่วง กำลังไล่ต้อนมือสังหารอย่างบ้าคลั่ง
“ตึงมือยิ่งนัก แต่คิดว่ายังไหว ใต้เท้าเป็นเช่นไรบ้างอดทนก่อนนะขอรับ ข้าน้อยจะรีบเร่งมือ”
อู่จ้งที่ถูกมือสังหารรุมอยู่ถึงห้าคนก็เริ่มจะเหนื่อยล้าบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันเพราะร่างกายยังไม่ได้รับบาดแผลเลยสักจุด ยังถือว่ารับมือได้ถึงจะตึงมือมากสักเพียงไรก็ตาม
“อ้ากกกก!!!”
เสียงสตรีนางหนึ่งที่กำลังรุมล้อมเสนาบดีเว่ยหวังจิ้ง กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อข้อมือของนางถูกมีดสั้นคมกริบเล่มหนึ่ง เขวี้ยงมาตัดเส้นเอ็นข้อมืออย่างแม่นยำเหมือนจับวาง จนกระทั่งดาบหลุดออกจากมือของนางทันที
เว่ยหวังจิ้งเห็นดังนั้นจึงลงมือสังหารสตรีผู้นั้นทันที เพราะนางฟันเขาจนบาดเจ็บ คงไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตให้มาแว้งกัดเขาได้อีก
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงลงน้ำหนักฝ่าเท้าเล็กๆของโฉมสะคราญ ที่เว่ยหวังจิ้งกับอู่จ้งพยายามต่อสู้เพื่อฝ่าวงล้อมไปช่วยเหลือ กำลังวิ่งตรงมาทางสนามต่อสู้ เพราะเฟยเจินเห็นว่าบุรุษผู้ร่วมทางทั้งสองคน กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบคู่ต่อสู้ ส่วนนักฆ่าที่นางไล่ต้อนไปเมื่อสักครู่ ยามนี้หมดสติไปแล้วและคงไม่ฟื้นง่ายๆ เพราะถูกเล่นงานอย่างหนักตรงจุดสลบของร่างกาย
ไม่มีคำกล่าวใดให้เสียเวลา เหลียนเฟยเจินกระโดดเข้าร่วมปะทะกับนางรำจากหออวิ๋นเม่ย ที่กำลังรุมล้อมฟาดฟันดาบใส่สามีของนางทั้งข้างหน้าและข้างหลัง สายตาช่างสังเกตมองเห็นเลือดซึมออกมาจากอาภรณ์สีเข้ม นางก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาคงได้รับบาดเจ็บหนัก อีกทั้งการเคลื่อนที่ของเขาก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“เขวี้ยงได้ดี” เสียงแหบพร่ากัดฟันพูดเพราะเจ็บแผลถูกฟันที่หลัง
“เหอะ บาดเจ็บเพียงนี้ยังมีแรงพูดอีก”
“ข้ายังไหว เจ้าจะเข้ามาร่วมวงต่อสู้ทำไมเหตุใดไม่หลบหนีไปเสีย ยามนี้ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ากับอู่จ้งกำลังจะต้านไม่อยู่”
เว่ยหวังจิ้งกล่าวออกไปอย่างใจคิด เขาไม่ต้องการให้นางบาดเจ็บหรือตายจาก หากนางหลบหนีไปได้เขาย่อมยินดี อย่างน้อยๆจะได้มีผู้บอกกล่าวบิดามารดาของเขาว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“เร่งมือกันเถิดท่านต้องการหมอจะแย่แล้ว อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระอยู่เลย ผู้ใดต้องการหลบหนีไปเพียงลำพังกันเล่า มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน”
กล่าวจบเฟยเจินก็พุ่งเข้าใส่สตรีที่กำลังง้างดาบขึ้นสูง เพื่อจะฟันเสนาบดีเว่ยหวังจิ้งจากทางด้านหลังอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้ลงดาบที่กลางหลังเสนาบดีหนุ่มอย่างใจนึก สตรีผู้นั้นก็ถูกดาบคมกริบในมือของโฉมงาม แทงทะลุอวัยวะสำคัญบริเวณช่องท้องจนสิ้นใจทันที และก็เป็นครั้งแรกในยุคนี้ที่เหลียนเฟยเจินจำเป็นต้องสังหารเพื่อความอยู่รอด
“อ๊ากกกก!!!” สิ้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สตรีผู้นั้นก็ล้มลงสิ้นใจทันที
ยามนี้สายตาของโฉมสะคราญดุดันและโหดเหี้ยม ไม่ต่างจากทหารกล้ายามออกศึกสงคราม ทหารหญิงที่มีสายเลือดนักรบมาแต่ครั้งบรรพบุรุษพุ่งตรงเข้าฟาดฟันใส่ศัตรูไม่ยั้ง หากไม่จำเป็นต้องฆ่านางก็เพียงทำให้หมดสติ ถือว่าเป็นการจับเป็นส่งทางการเพื่อสอบสวนหาตัวผู้บงการ