เว่ยหวังจิ้งกับเหลียนเฟยเจิน สามารถเดินทางออกนอกเขตพระราชวังโดยง่าย เพราะชูป้ายหยกของท่านแม่ทัพมู่เฉินเทียน นายทหารที่ยืนประจำการอยู่หน้าประตูรีบปิดประตูพระราชวังทันที ตามคำสั่งการของท่านแม่ทัพใหญ่จากสาส์นลับที่เสนาบดีเว่ยหวังจิ้งมอบให้แก่พวกเขา
“อีกไม่นานทุกอย่างจะสงบลง ฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์จะถูกอารักขากลับตำหนักอย่างเร่งด่วน”
เสียงทุ้มกล่าวให้เหลียนเฟยเจินรับรู้สถานการณ์ในท้องพระโรง เพราะนางเป็นผู้ที่รับรู้เป็นคนแรกว่ามียาสลบในกาน้ำชา หากวันนี้เขาไม่ได้พานางเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย คงมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เจ้ามีความรู้เรื่องยาสลบ ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเช่นนั้นหรือ”
เว่ยหวังจิ้งเอ่ยถามขึ้นในขณะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ในรถม้า ซึ่งมีอู่จ้งเป็นผู้บังคับรถม้าด้วยตนเองเพื่อเดินทางกลับจวนตระกูลเว่ย ก่อนที่เขาจะได้ซักถามสิ่งใดเพิ่มเติมให้หายสงสัย อู่จ้งก็ตะโกนแจ้งเรื่องสำคัญเสียก่อน
“ใต้เท้า มีคนติดตามมาขอรับ”
“มีกี่คน”
“ประมาณ 5คนขอรับเป็นสตรีทั้งหมด” อู่จ้งกล่าวรายงานไปตามที่เห็น
“นางรำพวกนั้นต้องการสังหารผู้ใด ท่านหรือข้า”
เฟยเจินเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย และเมื่อได้ยินว่ามีสตรีติดตามมานางก็นึกไปถึงนางรำจากหออวิ๋นเม่ยที่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์จนมีพิรุธ ผู้ร้ายใช้สตรีที่เป็นนางรำลงมือก่อการร้าย นางจึงเดาทางไม่ออกว่าผู้ใดกันแน่คือเป้าหมายสังหารในครั้งนี้
“อาจจะเป็นเจ้า เพราะตำแหน่งที่เจ้าพึ่งได้รับคงขัดผลประโยชน์ของหลายคน หรืออาจเป็นข้าที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่มีผู้เสียผลประโยชน์มากมาย”
เสนาบดีเว่ยตอบรับแบบไม่บ่งชัด เพราะเขาก็ยังไม่แน่ใจเช่นกันว่าผู้ใดกันแน่คือเป้าหมายของสตรีเหล่านั้น เพราะครั้งนี้ผิดแปลกไปจากทุกครั้งที่คนร้ายเลือกใช้สตรีในการลงมือ
“ห๊ะ! ตำลึงจากการว่าจ้างก็ไม่ได้ใช้สักอีแปะเดียว ทั้งยังต้องมาเสี่ยงตายจากมือสังหารอีก โธ่ถัง! ชีวิตน้อยๆของข้าช่างอาภัพยิ่งนัก”
เฟยเจินบ่นออกมาเสียงดังลั่นรถม้า เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสังหารทั้งๆที่พึ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงเพียงไม่กี่วันเท่านั้น หากอยู่นานจนครบ6เดือนตามที่ตกลงกันไว้ นางมิต้องพกดาบติดกายแม้กระทั่งยามนอนเลยหรือ
“…….”
เสนาบดีหนุ่มนั่งเงียบฟังฮูหยินบ่นอย่างไม่รู้เบื่อ ทั้งๆที่เคยกล่าวเอาไว้ว่าสตรีมีดีแค่ส่งเสียงดังน่ารำคาญเท่านั้น แต่กับเหลียนเฟยเจินเขาไม่ได้รู้สึกรำคาญนางเลยสักนิด ในทางกลับกันเขากลับรู้สึกเพลิดเพลินทุกครั้งที่มองเห็นปากเล็กๆนั่นขยับขึ้นลงไปมา และบางทีก็บิดเบี้ยวอย่างน่าขัน
เว่ยหวังจิ้งกวาดสายตาจ้องมองโฉมสะคราญ ซึ่งวันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามสำหรับเข้าร่วมงานเลี้ยง ไม่เหมาะต่อการหลบหนีหรือต่อสู้กับผู้ร้ายสักนิด แต่เหลียนเฟยเจินผู้นี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ตื่นตูมไปตามคำกล่าวเลย หรือนางเพียงแค่เก็บอาการหวาดกลัวได้อย่างมิดชิด เขาได้แต่ขบคิดอยู่ในใจไม่ได้เอ่ยปากซักถามออกไปให้มากความ
ทางด้านเหลียนเฟยเจินนางไม่ได้สนใจต่อสายตาสงสัยที่จ้องมองมา มือเรียวหยิบมีดสั้นที่เว่ยหวังจิ้งมอบให้ตั้งแต่อยู่ในงานเลี้ยง ขึ้นมาตรวจสอบความคมของมีดด้วยท่าทีสงบ ทั้งยังคาดหวังอยู่ในใจว่าตนคงไม่ต้องใช้งานมีดสั้นเล่มนี้
“ข้ากับอู่จ้งจัดการได้ หากกลัวก็หลบอยู่แต่ในรถม้าอีกไม่นานข้าก็กลับมา เจ้าก็อย่าซุกซนให้มากมือสังหารเหล่านั้นถึงจะเป็นสตรีก็มิอาจดูเบาได้”
น้ำเสียงห่วงใยกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว ถึงเขาจะดูออกว่าเหลียนเฟยเจินไม่ได้หวาดกลัวมือสังหารเหล่านั้นเลยสักนิด แต่เว่ยหวังจิ้งก็ไม่ยินยอมให้ฮูหยินของตนออกไปต่อสู้กับมือสังหารอย่างเด็ดขาด
“ท่านไปเถิดไม่ต้องกังวลข้าจะรออยู่ในรถม้า และไม่ยอมตายง่ายๆอย่างแน่นอน”
เฟยเจินไม่รู้หรอกว่าผู้คนในยุคนี้ฝีมือดีเพียงไร เพราะพึ่งมาอยู่ได้ไม่ถึงสองวันด้วยซ้ำ แต่หากถึงคราวต้องสู้นางก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำฝ่ายเดียวเป็นแน่ ศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก จากครูฝึกของหน่วยรบพิเศษหลายหน่วยที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาล คงจะพอให้นางรอดชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายในวันนี้ได้
อู่จ้งบังคับรถม้าคันใหญ่ไปจอดในบริเวณที่เป็นป่ารกร้าง ซึ่งไม่ใช่เส้นทางกลับจวนตระกูลเว่ย และไม่มีบ้านเรือนของชาวเมืองอาศัยอยู่ในละแวกนี้ จะได้สะดวกในการต่อสู้กับมือสังหารที่ติดตามมา
เมื่อสั่งการฮูหยินจนมั่นใจว่านางจะรอคอยอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ เว่ยหวังจิ้งจึงหยิบดาบที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ในช่องลับของรถม้าออกมา แล้วกระโดดลงจากรถม้าทันทีที่รถม้าจอดสนิท
ยามนี้เฟยเจินรู้สึกได้ว่าชีวิตของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงเปิดช่องลับที่นางแอบมองเจ้าของดาบเปิดออกเมื่อสักครู่ แล้วหยิบดาบออกมาหนึ่งเล่ม เผื่อได้ใช้งานในยามฉุกเฉินจากนั้นก็ลงสลักปิดไว้ให้สนิทตามเดิม
“ข้าเป็นหมอ หวังว่ามือคู่นี้จะไม่ต้องลงมือสังหารผู้ใด”
เฟยเจินเอ่ยเสียงเครียด เพราะไม่บ่อยครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกว่าจะเป็นทหารหรือเป็นหมอ หากเป็นทหารย่อมกล้าลงมือกับผู้ก่อการร้ายอย่างไม่ลังเล ทว่าเมื่อเป็นหมอนางมีหน้าที่รักษาชีวิตของผู้คนที่บาดเจ็บมิใช่เข่นฆ่าให้ตาย ถึงจะเป็นโจรผู้ร้ายหากมาหาหมอนางก็ต้องรักษา
“เห้อ!!ช่างมารดามันแล้ว หากให้เลือกข้าก็ต้องเลือกชีวิตของตนเอง ผู้ใดคิดสังหารข้าก็ต้องสู้กันสักตั้ง”
เมื่อตัดสินใจว่ายามนี้นางคือทหาร เหลียนเฟยเจินจึงตั้งสติให้มั่น เพื่อรอรับมือกับเรื่องที่ไม่คาดคิดต่างๆ หากจะให้อยู่เงียบๆโดยไม่ตั้งรับเลยคงมิใช่วิสัยของทหารหญิง ที่เคยออกปฏิบัติงานร่วมกับกองทัพอยู่บ่อยครั้ง
ร่างกำยำที่พึ่งกระโดดออกมาจากรถม้าเมื่อสักครู่ ยืนประเมินฝีมือของสตรีทั้ง5คน ที่กำลังต่อสู้อยู่กับอู่จ้งผู้ช่วยคนสนิทของเขาอย่างไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ถึงแม้จะเป็นการต่อสู้1ต่อ5 ก็ตาม เพราะอู่จ้งถือว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง
ส่วนเสนาบดีเว่ยหวังจิ้งถึงแม้จะรับราชการในตำแหน่งฝ่ายบุ๋น แต่เขาก็มีฝีมือในการต่อสู้ที่ดี หากไม่ถูกรุมล้อมก็ยากที่จะเพลี่ยงพล้ำให้แก่คู่ต่อสู้โดยง่าย
เมื่ออู่จ้งมองเห็นเจ้านายยืนรอรับสัญญาณที่เคยตกลงร่วมกัน อู่จ้งจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณการโจมตีเมื่อเขาเริ่มรู้สึกตึงมือเพราะสตรีทั้ง5 ฝีมือดีกันทุกคน เว่ยหวังจิ้งเห็นดังนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปร่วมฟาดฟันกับคนร้ายทันที
เคล้ง! เคล้ง!
เสียงดาบกระทบกันดังลั่นในท่ามกลางความเงียบสงบของป่า เสนาบดีหนุ่มออกท่วงท่ากวัดแกว่งดาบคู่ใจอย่างชำนาญ ร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานสตรีทั้ง5คนก็ถูกบุรุษทั้งสองจับเป็นได้ทั้งหมด
“โอ๊ย!! พวกเจ้าไม่รอดหรอกอย่าได้รีบดีใจ”
มือสังหารคนหนึ่งที่ยังคงหลงเหลือสติเอ่ยขึ้น ขณะที่กำลังถูกมัดมือทั้งยังถูกผูกติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ เฉกเช่นคนอื่นๆที่หมดสติไปแล้ว
“หากไม่อยากตายก็เงียบปากเสีย”
อู่จ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน เขากำลังมัดสตรีเหล่านี้เอาไว้กับต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่เขาจะรีบขี่ม้าที่ต้องถอดบังเ**ยนออกจากรถม้า เพื่อกลับไปแจ้งรองแม่ทัพมู่ฉินซีให้มาพาตัวผู้ร้ายไปสอบสวน ส่วนเสนาบดีเว่ยกับฮูหยินต้องอยู่รอตรงนี้
“รอสักพักหากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเจ้าค่อยออกเดินทาง”
เว่ยหวังจิ้งกระซิบกับอู่จ้งเสียงเบา เมื่อได้ยินคำกล่าวของมือสังหาร นางกล่าวเสมือนว่ากำลังจะมีมือสังหารมาสมทบอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งเขาก็ไม่อาจเพกเฉยต่อคำกล่าวของนางเช่นกัน