“หึหึ มีสิ่งใดให้อาย ข้ามิได้อยากมองเลยสักนิด เพียงแค่ร้อนใจเรื่องงานเลี้ยงในวังเลยเข้ามาในช่วงที่เจ้าอาบน้ำพอดี”
“เหอะ เช่นนั้นท่านก็รีบออกไปเสีย”
เสียงหวานๆที่เริ่มหงุดหงิดเอ่ยออกไปทันทีที่ได้ยินวาจากวนประสาท สามีผู้นี้จะเอาชนะนางทุกเรื่องให้ได้เลยหรืออย่างไร
ร่างกำยำผึ่งผายเดินออกจากห้องอาบน้ำด้วยท่วงท่าสบายๆไม่ได้รีบร้อน จนกระทั่งเดินพ้นประตูเรือนหอไปแล้วใบหน้าคมก็ยังอมยิ้มไม่หุบ อู่จ้งได้แต่ส่ายหัวไปมาเมื่อเห็นอาการของใต้เท้าผู้ที่ปากหนักยิ่งกว่าก้อนหิน
“ใต้เท้านิสัยเช่นนี้ ข้าจะมีโอกาสได้อุ้มคุณชายน้อยหรือคุณหนูน้อยหรือไม่เล่า”
เสียงพึมพำแผ่วเบาเอ่ยออกมาพอให้ได้ยินคนเดียว เพราะขี้เกียจโต้เถียงกับบุรุษปากแข็ง คงอีกไม่นานหรอกเขาคงได้เห็นภาพเสนาบดีหนุ่มตามหึงหวงฮูหยินน้อยจนไม่อันทำงานทำการ
ณ ศาลาริมน้ำ
สามีภรรยาที่พึ่งแต่งงานกันเมื่อวานนี้ กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบเชียบไร้เสียงพูดจาใดๆ เมื่อรับสำรับยามเช้าจนอิ่มหนำหยวนถิงที่ยืนรอรับใช้อยู่ไม่ไกลก็มาเก็บสำรับไป หลงเหลือไว้เพียงกาน้ำชาให้เจ้านายนั่งจิบขณะพูดคุยกัน
“ยามบ่ายเจ้าต้องแต่งกายให้สมเกียรติ ข้าจะให้คนนำอาภรณ์สำหรับสวมใส่ร่วมงานเลี้ยงในวังมาให้ เพราะอาภรณ์ที่เจ้าเตรียมมาด้วยคงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก”
เว่ยหวังจิ้งเงยหน้าขึ้นจากจอกน้ำชาที่เขาพึ่งจิบ สายตาล้ำลึกจ้องมองใบหน้างดงามของฮูหยินที่เขาพึ่งจะได้มองเห็นใบหน้าของนางอย่างแจ่มชัดก็เช้าวันนี้
“เจ้าค่ะ หากท่านต้องการให้ข้าสวมใส่สิ่งใดก็จัดเตรียมมาให้พร้อม อาภรณ์สำหรับใส่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ข้านำมาด้วย คงไม่เหมาะสมสำหรับใส่เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังดังที่ท่านกล่าวจริงๆ”
“อืม ข้าจัดเตรียมไว้แล้วเจ้าไม่ต้องลำบากสิ่งใด มีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกกล่าวแก่เจ้า งานเลี้ยงในวังวันนี้อาจมีเล่ห์กลมากมายที่จะเล่นงานเจ้ากับข้าให้เสื่อมเสียเกียรติ เพราะตำแหน่งของข้ากำลังถูกขุนนางเฒ่าทั้งหลายเพ่งเล็ง เจ้าจงอยู่ใกล้ๆข้าเข้าไว้ห้ามออกไปเดินตามลำพังเป็นอันขาด” น้ำเสียงเรียบนิ่งกล่าวออกไปขณะที่ยกจอกน้ำชาขึ้นมาจิบ
“เจ้าค่ะ แล้วฮ่องเต้จะเสด็จในงานเลี้ยงครั้งนี้หรือไม่เจ้าคะ ข้าชักเริ่มประหม่าเสียแล้วสิเกิดมายังมิเคยร่วมงานเลี้ยงลักษณะนี้มาก่อน”
ใบหน้างามเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน นางรู้จักศาสตร์และศิลป์ของสตรีทุกแขนงไม่เว้นแม้กระทั่งเต้นรำ แต่ก็อดที่จะประหม่าไม่ได้เพราะไม่เคยนำมาใช้งานนอกจวนเลยสักครั้ง หากจะให้ต่อสู้เยี่ยงบุรุษยังจะง่ายและผ่อนคลายกว่า
“เห็นบิดาเจ้ากล่าวอ้างว่าเจ้าเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ของสตรีมาอย่างดี เหตุใดจึงกังวลมากขนาดนั้น หรือเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเพื่อที่จะได้ตำลึงจากข้า”
เว่ยหวังจิ้งเผลอใช้น้ำเสียงเหน็บแนมกล่าวออกไป ทั้งๆที่เขาตกลงกับตนเองแล้วว่าจะอยู่ร่วมกันกับฮูหยินอย่างสันติ ไม่ข้องเกี่ยวกันให้รำคาญใจ
“เรียนรู้กับใช้งานย่อมแตกต่างกัน ข้าอาศัยอยู่ต่างเมืองทั้งยังมิเคยพบพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮาเลยสักครั้ง ย่อมประหม่าเป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรอกหรือ เหตุใดจึงกล่าวถึงแต่ตำลึงอยู่บ่อยครั้ง ท่านช่างเป็นบุรุษที่พูดจาน่ารำคาญสิ้นดีกล่าวถึงแต่เรื่องเดิมๆ รู้หรือไม่เล่าว่านิสัยเช่นนี้มันน่าเบื่อ หากเป็นเช่นนี้ข้าคงร่วมงานกับท่านไม่ได้เป็นแน่”
น้ำเสียงดุดันกล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมา ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปยังสายตาคมกริบที่จ้องมองนางอยู่เช่นกัน ผ่านไปเพียงครู่ใบหน้าคมคายก็เบี่ยงหลบสายตาของนาง มือใหญ่ยกจอกน้ำชาขึ้นมาจิบอีกครั้งก่อนที่กล่าวสิ่งใดต่อไป
บรรยากาศในศาลาริมน้ำยามนี้เต็มไปด้วยประกายแห่งโทสะที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากสตรีร่างบาง นางพยายามจะพูดจากับบุรุษตรงหน้าให้ดี แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกเขากล่าววาจาดูหมิ่นดูแคลนไม่มากก็น้อย จนนางแทบอยากจะหลบหนีจากไปให้พ้นๆ หมอที่รักเกียรติยศชื่อเสียงเช่นนางจะทนรับฟังเรื่องราวเหล่านี้ไปได้สักกี่วันกันแน่
“ข้าขอโทษ และสัญญาว่าจะไม่กล่าวเช่นนั้นอีก”
เว่ยหวังจิ้งเอ่ยขอโทษออกไปเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกล่าวหนักจนเกินไป และสะท้านในอกเมื่อได้ยินคำกล่าวตรงไปตรงมาที่กล่าวขานว่าเขาน่ารำคาญและน่าเบื่อ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ใดกล้าเอ่ยเช่นนี้กับเขาเลยสักคน มีแต่ยกยอปอปั้นว่าเก่งกาจกว่าบุรุษใด
“หากท่านรู้ตัวก็ดีเพราะข้าหาใช่สตรีที่จะยอมให้ท่านพูดจาดูแคลนได้บ่อยครั้ง เข้าเรื่องงานเลี้ยงต่อเถิดก่อนที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้”
เฟยเจินสูดลมหายใจเข้าให้ลึกเพื่อตั้งสติให้มั่น จะได้ทำหน้าที่ของตนเองต่ออย่างสุดความสามารถ หากทนไม่ไหวค่อยว่ากันอีกทีแต่ยามนี้นางยังอดทนได้จำต้องเดินหน้าต่อไป
“ฮ่องเต้กับฮองเฮา รวมไปถึงบรรดาองค์หญิงองค์ชายทุกพระองค์ร่วมเสด็จทั้งหมด เพราะเป็นงานเลี้ยงฉลองครบรอบ10ปี ที่เฉียนหลงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ต่อจากไท่ซ่างหวง”
เว่ยหวังจิ้งกล่าวจบก็เหลือบมองใบหน้างดงามที่มีร่องรอยของความเครียดเกิดขึ้นเล็กน้อย หัวใจแกร่งกระตุกเพราะไม่ชอบให้นางทำหน้าเครียดเช่นนั้น ทั้งยังไม่ชอบเวลาที่เห็นประกายความเสียใจในแววตาคู่งาม ยามที่เขาพลั้งปากพูดจาไม่ดีออกไป
“ข้าก็อยู่ด้วย หาได้มีสิ่งใดต้องประหม่า” น้ำเสียงราบเรียบกล่าวออกไป เมื่อไม่รู้ว่าจะต้องกล่าวสิ่งใดเพื่อไม่ให้นางวิตกกังวลไปมากกว่าเดิม
“แล้วข้าต้องทำสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ นอกจากนั่งอยู่ข้างๆท่านจนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง” เฟยเจินเอ่ยถามในสิ่งที่นางต้องกระทำในฐานะฮูหยินเอกของเสนาบดีกรมคลัง
“ไม่มีสิ่งใดต้องกระทำ ทว่าหากเกิดสิ่งใดที่ผิดปกติเจ้าจงตั้งสติให้มั่น เพราะตัวข้าก็ไม่รู้ว่างานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้นหรือไม่”
น้ำเสียงตึงเครียดเอ่ยขึ้น เมื่อนึกถึงอันตรายที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีงานเลี้ยงสำคัญในวังหลวง อำนาจและบารมีมักมาพร้อมๆกับการเสี่ยงอันตราย
“ใต้เท้าหมายถึงการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้กับฮองเฮาหรือเจ้าคะ”
“หึหึ ฉลาดดี ผู้ใดกันปล่อยข่าวให้ข้ารับรู้ว่าเจ้าเป็นสตรีหัวอ่อน ฮูหยินจากนี้ให้เจ้าเรียกขานข้าว่าท่านพี่ เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็อยู่ในตำแหน่งฮูหยิน จะเรียกใต้เท้าให้ผู้อื่นได้ยินก็นับว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก”
บุรุษเคร่งขรึมถึงกับต้องขยับจอกน้ำชาในมือไปมา เมื่อได้ยินคำเรียกขานที่ห่างเหินเพียงนั้น จะมีผู้ใดในแคว้นหลงที่เอ่ยเรียกขานสามีว่าใต้เท้าเช่นสตรีตรงหน้าเขาคงไม่มีอีกแล้ว
“อ้อ!! เรียกท่านพี่ก็แปลกพิลึกเช่นกัน แต่เอาเถิดข้าเข้าใจดีว่าคำไหนเหมาะสมเมื่อต้องเอ่ยต่อหน้าผู้อื่น”
โฉมสะคราญอมยิ้มมุมปาก เมื่อจินตนาการว่านางเรียกบุรุษเฉยชาตรงหน้าว่าท่านพี่ แค่คิดขนในกายก็ตั้งชันจนต้องยกมือเรียวมาลูบไล้ที่แขนของตนเองไปมา
“อยู่ที่ใดเจ้าก็ต้องเรียกขานข้าว่าท่านพี่ไม่เว้นแม้กระทั่งในจวน จนกว่าจะถึงวันที่ต้องหย่าขาดจากกัน หวังว่าข้าจะไม่ได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าใต้เท้าอีกเป็นครั้งที่สอง”
สามีที่ภรรยาไม่อยากเรียกขานว่าท่านพี่ ถึงกับหงุดหงิดเมื่อเห็นอาการล้อเลียนของโฉมงามข้างกาย ท่าทีที่นางแสดงออกมาก็ช่างน่าหมั่นเขี้ยว น่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ดหลาบ
“เอาล่ะๆ ท่านพี่ก็ท่านพี่เจ้าค่ะ”
“พูดง่ายๆให้ข้าสบายใจย่อมดี ประเดี๋ยวคนของข้าจะนำอาภรณ์และเครื่องประดับไปให้ที่เรือน เจ้ามีสิ่งใดที่อยากสอบถามข้าหรือไม่เกี่ยวกับงานเลี้ยงในวันนี้”
ขณะที่พูดเว่ยหวังจิ้งก็ลอบสังเกตใบหน้างามอยู่ตลอด และเห็นอาการสงสัยแต่ไม่เอ่ยปากซักถาม เขาจึงได้กล่าวเปิดทางให้นางได้ซักถามจนพอใจ