“ข้าจะไปรับรู้ได้เยี่ยงไร เรื่องภายในครอบครัวของเจ้าก็จัดการกันเอง ข้าเป็นผู้จ่ายตำลึงก็แค่อยากได้รับความคุ้มค่าก็เท่านั้น หากงานยังไม่แล้วเสร็จเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้ ส่วนผู้ใดได้รับตำลึงไปใช้ประโยชน์ก็ถือว่าข้าได้กระทำตามข้อตกลงแล้วหาใช่เรื่องที่ต้องสนใจแต่อย่างใด” เว่ยหวังจิ้งเอ่ยวาจาตัดรอนออกไปอีกครั้ง โดยไม่นึกถึงจิตใจของผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย
“6เดือนเท่านั้น ที่ข้าจะยินยอมเป็นหัวโขนให้พวกท่านใช้งาน หากไม่ยอมรับก็เอาใบหย่ามาเสียประเดี๋ยวนี้ เพราะตัวข้าก็หาใช่สิ้นไร้หนทางให้ก้าวเดิน สัญญาลงนามหรือก็ไม่มี ลายมือของข้ามิเคยปรากฏในหนังสือลงนามเล่มใดทั้งสิ้น ตัวท่านเป็นถึงเสนาบดีของแคว้นน่าจะเข้าใจข้อนี้ดี เพราะหากเรื่องถึงทางการตัวข้าคงสามารถก้าวออกจากจวนของท่านได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาถึง6เดือนเลยด้วยซ้ำ”
เหลียนเฟิยเจินจ้องมองสามีในนามด้วยสายตาเฉยชา และกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อได้ยินคำกล่าวที่บาดจิตบาดใจเช่นนี้ จะเอาความคุ้มค่าจากนางเช่นนั้นหรือ หากอยากจะโขกสับต้องดูเสียก่อนว่านางยินยอมหรือไม่ 6เดือนที่กล่าวออกไปนั้น ถือว่าเพียงพอต่อหน้าที่ที่นางจะยินยอมกระทำแล้ว
“ตกลง 6เดือน เจ้าก็อย่าสำคัญตนเองผิดไป ข้ามิได้อยากอยู่ร่วมกับเจ้าแม้เพียงวันเดียว ที่ทำไปเพียงเพราะความจำเป็นก็เท่านั้น”
เมื่อรู้ตัวว่าตนเองกล่าวเกินไป เว่ยหวังจิ้งจึงยินยอมรับข้อเสนอโดยง่าย แต่ก็ยังมิวายพูดจาค่อนขอดสตรีอวดดีในความนึกคิดของเขาสตรีผู้นี้ห่างไกลคำว่าหัวอ่อนไปมากโข เขาเริ่มจะมองเห็นเค้าลางแห่งความวุ่นวายที่กำลังจะตามมาเสียแล้ว
“ดีเจ้าค่ะ ถือว่าเราสองคนคิดเห็นตรงกัน ท่านมิพึงใจข้า ส่วนข้าก็มิพึงใจท่านเช่นกัน เราสองคนอยู่ร่วมกันด้วยการว่าจ้างตามข้อตกลง เช่นนั้นค่ำคืนนี้ท่านก็กลับไปเสียเถิด คงมิต้องดื่มสุรามงคลร่วมกันแล้วกระมัง เพราะข้าและท่านจะเก็บพิธีการสำคัญนี้ไว้สำหรับสามีและภรรยาที่แท้จริงเท่านั้น”
น้ำเสียงเฉยชาของโฉมสะคราญเอ่ยออกไปเพื่อตัดจบบทสนทนาในค่ำคืนนี้ นางทนมองใบหน้าของบุรุษใจดำไม่ได้แม้แต่เพียงชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย บุรุษปากจัดและถือตนข่มท่านเช่นนี้เป็นบุคคลที่นางหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าตายไปชาติหนึ่งจะต้องมาพบเจอในชาตินี้อีก
ใบหน้าคมคร้ามหันไปสบสายตากับฮูหยินที่พึ่งแต่งเข้ามาในจวนวันนี้ด้วยแววตาเขม็งตึงเครียด จิตใจของเขาสั่นไหวไปชั่วขณะหนึ่งที่ถูกนางผลักไส แต่ร่างสูงใหญ่ก็ยอมเดินออกไปจากเรือนหอแต่โดยดี ทั้งๆที่ในตอนแรกเขาไม่อยากเดินเข้ามาเลยสักนิด ทว่ายามนี้เหตุใดขาของเขาจึงแข็งและยึดติดกับพื้นเรือนแทบไม่อยากก้าวเดินจากไป
“ดีที่บุรุษผู้นี้พูดจารู้ความ อีก6เดือนเท่านั้นข้าจะได้เป็นอิสระ และไม่มีผู้ใดมาต่อว่ามารดาของข้าได้ว่าเลี้ยงดูบุตรสาวไม่ดีจนหนีงานแต่งงานที่บิดามารดาจัดสรรให้”
เฟยเจินกล่าวพึมพำเสียงแผ่วเบา หลังจากที่สามีในนามเดินจากไปแล้ว นางเป็นห่วงจิตใจของมารดาจึงยังไม่หลบหนีออกไปอยู่ตามลำพัง และไม่อยากอยู่อย่างหลบซ่อนให้ผู้ใดมาตามล่าหาตัวให้วุ่นวาย ประหนึ่งว่าทำผิดเฉกเช่นโจรผู้ร้ายก็มิปาน หากจะจากไปขอลาจากแบบถูกต้อง จะได้ไม่มีสิ่งใดต้องติดค้างกันอีก
นางจึงยินยอมรับจ้างเป็นภรรยาของท่านเสนาบดีตามที่ตกลงกัน ถึงแม้จะไม่ได้ใช้จ่ายตำลึงที่มาจากการว่าจ้างเลยแม้แต่อีแปะเดียวก็ตาม อดทนเพียงไม่นานวันเวลา6เดือนคงเพียงพอให้นางปรับตัวกับชีวิตใหม่ ก่อนที่จะออกไปใช้ชีวิตตามลำพังและมองหาช่องทางทำมาหากิน หลังจากหย่าร้างและออกไปจากจวนตระกูลเว่ยแห่งนี้
ทางฝั่งสามีในนามเมื่อก้าวเดินออกจากเรือนหอ ที่ถูกบิดามารดาผลักไสให้เข้าไปดื่มสุรามงคลร่วมกับฮูหยินหมาดๆของตน ทว่ายามนี้ใบหน้าคมคร้ามกลับบึ้งตึงยิ่งกว่าตอนที่เดินเข้าไปเสียอีก จนอู่จ้งมือขวาคนสนิทต้องเอ่ยซักถามออกไปด้วยความสงสัย
“ใต้เท้าเกิดเรื่องใดขึ้นหรือขอรับ เหตุใดท่านจึงมีสีหน้าตึงเครียดถึงเพียงนี้ หรือว่าฮูหยินน้อยยั่วยวนให้ท่านเข้าหอกับนางจนท่านหงุดหงิดโมโหแล้วรีบหลบหนีออกมา”
อู่จ้งเอ่ยถามออกไปอย่างใจคิด จะมีเรื่องใดกันเล่าที่ทำให้ใต้เท้าหงุดหงิดใจ หากมิใช่เรื่องของสตรีในเรือนหอ นางคงกระทำการใดจนกระทั่งบุรุษเจ้าของเรือนไม่พอใจเป็นแน่
“อวดดี ทั้งๆที่ไม่มีสิ่งใดให้อวด ข้าผู้นี้ใช่ว่าจะอยากร่วมเตียงกับผู้ใดโดยง่าย”
น้ำเสียงเข้มๆเอ่ยออกไปอย่างไร้ที่มาที่ไป หากฟังผ่านๆคงเข้าใจได้ว่าเขาชิงชังรังเกียจผู้ที่กล่าวถึง แต่หากฟังดีๆจะได้ยินน้ำเสียงเจือความน้อยใจปนมาด้วย
“อู่จ้งจวนแห่งนี้มีข้าเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว ข้าจะนอนที่ใดก็ได้ไม่ใช่หรือ”
เว่ยหวังจิ้งที่ยังรู้สึกหน้าชาไม่หายหลังจากถูกผลักไสให้มานอนข้างนอกเรือนหอ จึงเอ่ยถามผู้ช่วยคนสนิททั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าจวนนี้เป็นของตนเอง
“ใช่ขอรับ ใต้เท้าจะนอนที่ใดก็ได้” อู่จ้งตอบรับอย่างงุนงง เพราะจู่ๆใต้เท้าก็ถามในเรื่องที่รับรู้อยู่แล้ว
“แล้วเหตุใดผู้มาอาศัยเช่นนาง จึงกล้าขับไล่ข้าผู้เป็นเจ้าของจวนให้ออกจากเรือนนอนหลังใหญ่ที่สุดของจวน ซึ่งข้าผู้นี้ยอมจ่ายตำลึงไปมากโขกว่าจะสร้างและตกแต่งจนแล้วเสร็จ”
น้ำเสียงติดน้อยใจเอ่ยซักถามออกไป เขาเกิดและเติบโตมาจนอายุป่านนี้ พึ่งเคยถูกสตรีขับไล่เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกอับอายปนโกรธเคือง ยิ่งมองเห็นริมฝีปากของนางเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างสะใจ เขายิ่งรู้สึกว่ากำลังถูกสตรีผู้มาอาศัยเอารัดเอาเปรียบอย่างไรไม่รู้
“อ้อ ถูกฮูหยินน้อยไล่ออกมา”
อู่จ้งพึมพำแผ่วเบาเพราะรู้จักนิสัยของใต้เท้าดี หากใช้น้ำเสียงเช่นนี้คือกำลังน้อยใจมากกว่าเกลียดชัง และดูท่าว่าจะถูกฮูหยินน้อยผลักไสออกมาจากเรือนหอ จึงได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงถึงเพียงนี้
“เจ้ากล่าวว่ากระไรนะอู่จ้ง” เว่ยหวังจิ้งได้ยินแว่วๆว่าใครไล่ใครซึ่งบาดหูเขายิ่งนัก จึงเร่งถามเอาความกับผู้ช่วยคนสนิท
“ไม่มีกระไรขอรับ ข้าน้อยเพียงกล่าวว่ายามนี้ก็มืดค่ำแล้ว ใต้เท้าจะกลับเรือนนอนที่จวนใหญ่เลยหรือไม่ขอรับ”
อู่จ้งรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างกระทันหัน เพราะเกรงว่าใต้เท้าจะโกรธเคืองในคำกล่าวของตน ยิ่งเห็นสายตาเอาเรื่องจ้องมองมาเขายิ่งไม่กล้าเสี่ยงเจ็บตัว
“ข้าจะนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ติดกับเรือนหอ ที่นี่เป็นจวนของข้าโดยแท้จริงเหตุใดข้าจะต้องไปนอนที่จวนอื่นให้วุ่นวายด้วยเล่า อีกทั้งพรุ่งนี้ข้าต้องไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงพร้อมกับฮูหยิน จะได้บอกกล่าวตักเตือนเรื่องการวางตัวแก่นางด้วย หาไม่แล้วผู้คนคงได้ติฉินนินทาว่าข้าแต่งฮูหยินที่ไม่รู้แม้กระทั่งการวางตัวในงานเลี้ยง”
เสนาบดีหนุ่มหาเหตุผลกล่าวอ้างออกไป วันรุ่งขึ้นเขาต้องพาฮูหยินไปร่วมงานเลี้ยงสำคัญในวังหลวงเป็นครั้งแรก คงต้องเตรียมการร่วมกันหลายอย่าง เพื่อความราบรื่นในเส้นทางของตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง ที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ของแคว้น
“อ้อ!! เป็นเช่นนั้นเองหรอกหรือขอรับ”
อู่จ้งตอบรับคำแต่ใช่ว่าจะเชื่อคำกล่าวของผู้เป็นนายไปเสียทั้งหมด เขาชักอยากจะเห็นหน้าฮูหยินน้อยเสียแล้ว นางคงจะงดงามมากแน่ๆใต้เท้าจึงได้เสียอาการถึงเพียงนี้ ให้เขาจัดเตรียมเรือนนอนที่จวนใหญ่แต่เปลี่ยนใจมานอนที่ห้องนอนเล็กข้างเรือนหอ เช่นนี้จะไม่ให้เรียกว่าเสียอาการได้อย่างไร