บทที่ 4/1
หลังจากที่สลัดเจ้าก้อนแป้งตัวกลมและบิดาจอมเจ้าเล่ห์ได้แล้วเฉินหลิงเว่ยก็เร่งถอยหนีในทันที
“อู่ซ่งเอาเกวียนออก”
ฉินอู่ซ่งแม้ไม่เข้าใจนักแต่ก็ยอมบังคับเกวียนออกตามที่เฉินหลิงเว่ยบอก โดยไม่สนใจสอบถามสาเหตุนางว่าอย่างไรเขาก็ว่าอย่างนั้น
“เดี๋ยวก่อน! แม่นางเฉินหยุดก่อน”
ฉินอู่ซ่งเร่งบังคับวัวเทียมให้หยุดเท้าเมื่อเด็กสาววัยสิบห้าปีวิ่งมายืนขวางทางเกวียน
“เจ้าอยากตายหรือไร เหตุใดมาขวางทางเช่นนี้”
ฉินอู่ซ่งตกใจจนเผลอเอ่ยตะคอกเสียงดัง เฉินหลิงเว่ยจำได้ว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นคนของไป๋มู่หลันจึงวางมือบนไหล่ของฉินอู่ซ่ง พร้อมกับส่งสายตาบอกเขาว่าไม่เป็นไร ก่อนที่นางลงจากเกวียนมาหาสาวใช้ที่ใบหน้าซีดเซียวด้วยความตกใจ
“คุณหนูให้มาเชิญท่านไปที่ร้านเจ้าค่ะ”
ไป๋มู่หลันให้คนมาเชิญนางไปที่ร้านเช่นนี้หรือว่า... เฉินหลิงเว่ยยิ้ม กว้างหันมาสั่งความกับฉินอู่ซ่งแล้วเร่งสาวเท้าตามเสี่ยวซีไปในทันที ฉินอู่ซ่งมองตามร่างเล็กที่เดินหายไปในฝูงชนแล้วถอนหายใจยาว เฉินหลิงเว่ยนางช่างเป็นหญิงที่งดงามทั้งรูปกายและความสามารถจริงๆ ยิ่งเห็นนางเป็นเช่นนี้ในใจของเขาก็พลันสั่นไหวด้วยความละอายใจ
หลิงเว่ย แม้ข้าจะเป็นบุรุษไร้ความสามารถแต่ข้าสัญญา ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดข้าจะคอยสนับสนุนอย่างสุดกำลัง
……………………………………
ไป๋มู่หลันเห็นเสี่ยวซีพาคนมาก็เร่งเดินออกมาต้อนรับ เฉินหลิงเว่ย มองท่าทางกระตือรือร้นของไป๋มู่หลันแล้วรอบสำรวจใบหน้านางที่โผล่พ้นผ้าโปร่งออกมา ที่แท้ยามนี้เม็ดสิวบนใบหน้าของไป๋มู่หลันเริ่มยุบลงแล้ว อีกทั้งผิวหน้าที่ดูแห้งกร้านเพราะถูกนางใช้สมุนไพรหลากชนิดมารักษาก็ดูชุ่มชื้นมากขึ้น
“เว่ยเอ๋อร์ สบู่ของเจ้าใช้ได้ดีมาก เม็ดสิวที่เจ้าบอยุบลงเกือบหมดแล้ว”
ไป๋มู่หลันปลดผ้าคลุมหน้าของตนออก นับเป็นรอบสามปีที่นางยอมให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าภายใต้ผ้าโปร่งของนาง เฉินหลิงเว่ยมองผิวหน้าที่เริ่มเรียบเนียนของนางแล้วยิ้มพอใจ
“ข้าตกลงจะซื้อขายสบู่กับเจ้า”
“เช่นนั้นคุณหนูไป๋ ท่าน...”
“เรียกข้าหลันเอ๋อร์เถิด เราสองคนน่าจะอายุไม่ห่างกันมากเช่นนั้นก็นับเป็นสหายกันดีหรือไม่”
“ได้!”
เฉินหลิงเว่ยไม่ใช่คนเรื่องมากนัก เพียงชื่อผู้ใดอยากเรียกนางว่าอย่างไรก็ให้เรียกไปเถิด ขอเพียงบรรลุข้อตกลงได้ก็เพียงพอแล้ว
“ข้าร่างสัญญาไว้แล้วเจ้ารองอ่านดู หากต้องการแก้ไขตรงไหนข้าจะได้ปรับแก้ให้”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มบางรับเอกสารสัญญาซื้อขายมาจากไป๋มู่หลัน สายตากวาดมองตัวอักษรในสัญญาแล้วยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าไป๋มู่หลันไม่ระบุบังคับให้นางผูกขาดการค้าสบู่กับร้านสกุลไป๋เพียงที่เดียว นับว่านางไม่ใช่คนใจคอคับแคบ เป็นคนที่น่าคบหา
“หากในแต่ละครั้งเจ้าสั่งสบู่ข้า 100 ก้อนขึ้นไป ข้ายินดีจะขายให้ในราคาก้อนละ 6 เหรียญทองแดง แต่ราคานี้ข้าตกลงให้เพียงร้านเจ้าเท่านั้น หากเป็นผู้อื่นข้าจะขายในราคา 7เหรียญทองแดงไม่มีลดแม้อีแปะเดียว”
ไป๋มู่หลันยิ้มกว้างปกติการเจรจาค้าขายมักตกลงราคากันที่ 7:3 แต่เฉินหลิงเว่ยกลับยินดีขายให้นางในราคาก้อนละ 6 เหรียญทองแดง ขณะที่ผู้อื่นนางจะขายในราคา 7เหรียญทองแดง บ่งบอกว่าเฉินหลิงเว่ยให้เกียรติร้านของนางที่เป็นผู้ร่วมกิจการคนแรกไม่น้อย
“พรุ่งนี้ข้าจะเอาของมาส่งให้เจ้า อ่อ...ข้ามีเพียงสบู่มอบให้เจ้า ส่วนกล่องใส่เจ้าก็ทำขึ้นใหม่ในชื่อสินค้าสกุลไป๋เถิด”
“เจ้าไม่กลัวข้าแอบอ้างเอาสบู่ของเจ้ามาเป็นของข้าหรือ”
“ข้าเชื่อใจเจ้า”
“หึ! เจ้าต้องการลดต้นทุนของตัวเองมากกว่าล่ะไม่ว่า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำสัญลักษณ์บนสบู่ของเจ้าทุกก้อน”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มบางนับว่าไป๋มู่หลันเป็นคนช่างสังเกตไม่น้อย ช่างสมกับเป็นผู้สืบทอดของสกุลไป๋ยิ่งนัก
“อ่อ... ข้าต้องขอบคุณเจ้าเรื่องที่เจ้าให้คนเอาสบู่ไปมอบเป็นของกำนัลให้อนุห้าของนายอำเภอหลี่”
เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยอนุห้าของนายอำเภอหลี่คือใครกัน แล้วนางมอบสบู่ให้เป็นของกำนัลเมื่อใดกัน
“รู้หรือไม่ว่าพออนุห้าได้ใช้สบู่ของเจ้าแล้วก็กลายเป็นที่โปรดปรานของนายอำเภอหลี่ ตอนนี้บรรดาฮูหยินทั้งหลายต่างอยากได้สบู่ของเจ้า อีกสามวันยามข้าเอาสบู่เจ้ามาวางขายต้องขายดีแน่”
เฉินหลิงเว่ยเพียงยิ้มบางไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ หลังลงนามในสัญญาค้าขายแล้วนางก็กลับออกมาในทันที แน่นอนว่าครั้งนี้นางซื้อวัตถุดิบในการทำสบู่อีกชุดใหญ่ อีกทั้งยังขอขี้เถ้าจากโรงเตี๊ยมกลับมาอีกสามกระสอบโดยให้เหตุผลว่านางจะนำไปใส่แปลงผักบำรุงดิน
“หลิงเว่ย บ้านเจ้าหลังเล็กนิดเดียวข้าวของมากมายเพียงนี้จะเอาไปไว้ที่ใดหมด”
เฉินหลิงเว่ยปรายตามองของบนล้อเกวียนแล้วนึกเห็นด้วยกับคำของฉินอู่ซ่ง ตอนนี้นางตกลงทำการค้ากับสกุลไป๋แล้วในภายหน้าจำเป็นต้องผลิตสินค้าออกมาในจำนวนมาก เรือนของกัวอี้หลินแม้มีขนาดพอดีที่จะอาศัยเพียงลำพังแต่หากต้องทำสบู่ในปริมาณมากๆเกรงว่าเรือนนั้นจะเล็กไป
“อู่ซ่ง เจ้ารู้จักเจ้าของที่ดินผืนข้างๆ บ้านข้าหรือไม่”
ที่ดินในหมู่บ้านเถาอี้นั้นปกติแล้วจะถือครองโดยชาวบ้านในหมู่บ้าน แต่ที่ดินรอบๆ บ้านกัวอี้หลินคล้ายถูกผู้อื่นถือครองเอาไว้ตั้งแต่เฉินหลิงเว่ยมาอาศัยก็ไม่เคยเห็นเจ้าของที่ดินเลย
“ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าลองถามท่านหัวหน้าหมู่บ้านดูเอาเถิด”
“อืม... วันก่อนเจ้าบอกว่าอยากมารับจ้างช่วยข้าทำสวนยังสนใจอยู่หรือไม่ ข้าให้ค่าแรงวันละ 10 เหรียญทองแดง”
ฉินอู่ซ่งพยักหน้ารับคำ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้างด้วยความยินดีบ้านเขาฐานะยากจน ทุกวันเขายึดอาชีพเก็บของป่าไปขายและรับจ้างขับเกวียนให้คนในหมู่บ้าน ดังนั้นรายได้จึงไม่แน่นอนบางวันก็ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อข้าวมาหุงกิน จนกระทั่งเฉินหลิงเว่ยได้เอ่ยว่าจ้างเขามาเป็นคนขัับเกวียนชีวตของเขาจึงนับว่ามั่นคงขึ้น อาการป่วยเรื้อรังของมารดาก็ได้รับการรักษาจนหายขาดแล้ว
“เช่นนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเจ้ามาช่วยข้าดูแลสวน อ่อ... หากมารดาของเจ้าไม่รังเกียจข้ามีงานให้ช่วย”
“เจ้าจะจ้างท่านแม่ข้าด้วยหรือ แต่ท่านแม่ข้าอายุมากแล้ว อีกอย่างร่างกายก็ไม่แข็งแรงนักคงช่วยทำงานในสวนไม่ไหว”
“ข้าไม่ได้อยากให้ท่านป้ามาช่วยงานในสวนเสียหน่อย เพียงช่วยงานข้าอยู่ในเรือนเท่านั้น แต่ข้าให้ค่าแรงเพียงวันละ 7 เหรียญทองแดงเท่านั้นนะเจ้าก็ลองถามท่านป้าดู”
ฉินอู่ซ่งยิ้มกว้างเหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าที่นางชวนมารดาเขามาช่วยงานนั้นเพราะต้องการป้องกันคำครหาระหว่างเขากับนาง แต่ถึงอย่างนั้นการที่นางให้ค่าแรงมารดาเขาถึงวันละ7 เหรียญทองแดงเช่นนี้ นับมาว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
……………………………………