บทที่ 6/3
แสงแดดยามเช้าทอแสงอบอุ่นเฉินหลิงเว่ยนั่งจิบชาในศาลาเล็ก สายลมพัดบางเบาหยอกล้อดอกเหลียนฮวาในสระชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ดวงตาหวานทอดมองไปยังสวนผักร่วมสิบหมู่ของตน นับตั้งแต่ตกลงลงนามในสัญญากับชวีกงจื่อในวันถัดมาเขาก็ส่งคนมาช่วยงานนางร่วมสิบชีวิต โดยมีว่านเจียงฉีเป็นผู้ควบคุมคนงานเหล่านั้นอีกที แม้ตอนตกลงเขาจะบอกว่าให้นางเป็นผู้ดูแลสวนผักนี้แต่นอกจากเลือกเมล็ดผักแล้วนางก็ล้วนไม่ได้ทำสิ่งใดอีกเลย เอาเถิดไม่ว่าคนแซ่ชวีผู้นี้จะมีจุดประสงค์ใดขอเพียงไม่ทำให้นางเดือดร้อนและจ่ายเงินให้นางตามข้อตกลง นางย่อมไม่ใส่ใจจะสืบความ
"เว่ยเอ๋อร์"
เสียงหวานสดใสของไป๋มู่หลันดังที่หน้าเรือนก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเข้ามา เฉินหลิงเว่ยมองดูสหายที่ยามนี้รูปร่างผอมบางลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่เรียกว่าเพรียวบางแต่ก็นับว่าเป็นสตรีรูปร่างงดงามตรึงตราบุรุษ
“เจ้ามาช้าไปครึ่งชั่วยาม”
“หึ! เจ้าไม่รู้อะไร วันนี้ข้าเดินมาจนถึงเรือนเจ้าโดยไม่ขึ้นรถม้าเลยแม้แต่ชุนเดียว”
เฉินหลิงเว่ยหันไปมองสหายที่รินน้ำขึ้นดื่ม ใบหน้าที่เริ่มเรียวมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาจนชุ่มใบหน้า ระยะทางจากตัวเมืองมาถึงบ้านของนางประมาณ 50ลี้ ปกติแล้วหากเดินทางด้วยเท้าจะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยสองชั่วยามครึ่ง นี่สหายของนางออกเดินทางตั้งแต่กี่โมงกัน
“เจ้าออกจากบ้านมาตั้งแต่ยามใด”
“ต้นยามอิ๋น” (ยามอิ๋นเท่ากับเวลา 03.00 น. จนถึง 04.59 น.)
“เจ้า! ...”
“เว่ยเอ๋อร์ข้าหายเหนื่อยแล้ว เราไปขอพรเทวนารีกันเถิด”
เฉินหลิงเว่ยส่ายหน้าไปมากลืนคำที่จะตำหนิสหายลงคอก่อนลุกขึ้นนำทางสหายเข้าไปกราบขอพรเทวนารีในเรือนหลังใหม่ของตน
เรือนหลังนี้เดิมทีนางตั้งใจสร้างไม่ใหญ่มากนัก แต่ยามที่เจรจาโครงสร้างเรือนสหายของหวังเฮ่อเหรินเกิดเข้าใจผิดพลาด ยามสร้างเสร็จก็กลายเป็นเรือนหลังใหญ่โตดุจคฤหาสน์ของขุนนางใหญ่ ในยามที่เห็นรูปร่างของเรือนหลังใหม่เฉินหลิงเว่ยถึงกับเหงื่อตก ด้วยต่อให้นางเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีมาจ่ายก็คงไม่พอค่าอุปกรณ์เหล่านี้ ทว่าหวังเฮ่อเหรินกลับบอกว่าเรื่องนี้เป็นสหายของเขาที่เข้าใจผิด ดังนั้นสหายของเขาจึงไม่คิดราคาเพิ่ม สุดท้ายนางก็จ่ายเงินค่าสร้างเรือนนี้เพียง15 ตำลึงเงิน
“เว่ยเอ๋อร์ขาหิวแล้ว เจ้าบอกท่านป้าซูยกอาหารเถิด”
นับจากที่ชวีกงจื่อส่งคนมาช่วยงาน เฉินหลิงเว่ยก็เอ่ยชวนซูลี่ผิงและฉินอู่ซ่งมาทำงานที่เรือนของนางแบบถาวร โดยให้ข้าแรงซูลี่ผิงเดือนละ 3 ตำลึงเงิน และฉินอู่ซ่ง 5 ตำลึงเงิน แน่นอนว่าฉินอู่ซ่งที่ถูกแย่งหน้าที่ในสวนไปแล้วได้กลายมาเป็นคนช่วยนางทำสบู่ ขณะที่ซูลี่ผิงรับหน้าที่ทำความสะอาดเรือนและดูแลเรื่องอาหารให้เฉินหลิงเว่ยแทน
ไป๋มู่หลันมองอาหารตรงหน้าด้วยดวงตาเปล่งประกาย ก่อนที่จะรับข้าวมาจากซูลี่ผิงแล้วตักกินในทันทีโดยไม่รอให้เจ้าบ้านเอ่ยเชิญ
“เว่ยเอ๋อร์อาหารของเจ้าอร่อยเสียยิ่งกว่าเหลาอาหารชื่อดัง”
“เจ้ากินช้าๆ หน่อย”
ไป๋มู่หลันพยักหน้ารับแต่ก็หยิบอกไก่นึ่งขึ้นกัดอีกคำโต เฉินหลิงเว่ยส่ายหน้าระอาเมื่อห้ามไม่ได้ก็ปล่อยไปเถิด อาหารของนางนั้นไม่ได้ปรุงเป็นพิเศษอะไร แต่ในยามที่ร่างกายอ่อนล้าอีกทั้งยังงดอาหารมานานถึง 8 ชั่วยามให้เป็นเพียงน้ำผักลวกก็ยังอร่อยเสียยิ่งกว่าน้ำแกงหมูตุ๋น
“กลับไปอย่าลืมดื่มน้ำให้มากเข้าใจหรือไม่”
ไป๋มู่หลันพยักหน้ารับ ร่วมเดือนมานี้นางถูกสหายเคี่ยวเข็ญไม่น้อย ทุกวันต้องเดินเท้าหลายสิบลี้ ดื่มน้ำเปล่าอีกวันละหลายกา อาหารก็ถูกจำกัดจนพุงน้อยๆ ของนางหายไปหลายชุน (1 ชุ่น =1 นิ้ว) เพียงแต่หลังจากทำจนเป็นกิจวัตร การเดินเท้ามาร่วมมื้อเช้ากับสหายทุกวันก็กลายเป็นความเคยชินของนางไปเสียแล้ว วันใดไม่ได้เดินมาหาสหายนางจะรู้สึกหงุดหงิดจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด อาหารมันๆ หวานๆ ของโปรดในอดีต ยามนี้เพียงเห็นก็รู้สึกเบื่อไม่อยากทานเสียอย่างนั้น
“เว่ยเอ๋อร์ขอบใจเจ้ามาก”
เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วเล็กมองท่าทางของสหายด้วยความสงสัย ทานอาหารอยู่ดีๆ เหตุใดจึงร่ำไห้กันเล่า
“ขอบใจที่เจ้ายอมบอกความลับของตระกูลให้ข้ารู้”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มแห้งไม่ทันเอ่ยอะไรสหายของนางก็ลุกขึ้นเดินมากอดนางทั้งที่ในมือยังถืออกไก่ชิ้นโต
“เจ้า... เจ้าเป็น... เป็นสหายที่ดีมากๆ เลย”
เฉินหลิงเว่ยยกมือขึ้นโอบกอดปลอบโยนสหาย ในใจรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเพียงแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดยามนี้สหายตัวกลมของนางก็บอบบางลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วไม่ใช่หรือ
“เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้า วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเดินตลาดเจ้าอยากได้สิ่งใดก็ซื้อได้เลย ข้าไป๋มู่หลันจะจ่ายเอง”
“หลันเอ๋อร์เจ้าเอ่ยแล้วห้ามคืนคำรู้หรือไม่”
ไป๋มู่หลันได้ยินเสียงเจ้าเล่ห์ของสหายก็พลันน้ำตาเหือดแห้ง ถอยห่างจากสหายของตนยกนิ้วขึ้นชี้หน้าคนเจ้าเล่ห์
“ข้าให้งบไม่เกิน 10 ตำลึงเงิน”
“อ่า... ที่แท้วาจาสหายข้าก็เชื่อถือไม่ได้”
“เฉินหลิงเว่ย เงิน 10 ตำลึงเงินนี้ซื้อที่ดินได้หนึ่งหมู่เชียวนะ เจ้าอย่าขูดรีดข้าให้มันมากนัก”
เฉินหลิงเว่ยมองสหายที่ยามนี้กลับไปนั่งทานอาหารต่อแล้วส่ายหน้าขบขัน ท่าทางร่ำไห้จนตัวสั่นเมื่อครู่เป็นภาพมายาใช่หรือไม่
………………………………………………
แม้เฉินหลิงเว่ยจะกล่าววาจาข่มขู่คล้ายจะขูดรีดสหายจนหมดตัว แต่ยามที่มาเดินตลาดนางกลับซื้อเพียงถังหูลู่ไม้เดียว ไป๋มู่หลันมองค้อนสหายจนตาแทบถลนสุดท้ายก็ไม่อาจอดทนไหวจับสหายของตนเข้าร้านผ้าไหมสั่งตัดชุดผ้าไหมให้นางไปร่วมสิบชุด เครื่องประดับอีกนับสิบกล่อง
“หลันเอ๋อร์นี่ดูจะเกิน 10 ตำลึงเงินไปแล้ว”
“เกินแล้วอย่างไร เพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดข้าไป๋มู่หลันย่อมมีกำลังจ่าย”
เฉินหลิงเว่ยมองท่าทางโอ้อวดของสหายแล้วพลันขบขัน ไป๋มู่หลันนั้นมีสายเลือดแม่ค้าเต็มตัวเงินทุกอีแปะล้วนคำนวณอย่างถี่ถ้วน วันนี้ยอมควักกระเป๋าจ่ายให้นางหนักเพียงนี้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
“ทั้งหมด 50 ตำลึงเงิน”
“หา! เท่าไหร่นะ!”
“51 ตำลึงเงิน แต่เห็นแก่คุณหนูไป๋ข้าลดให้เหลือ 50ตำลึงเงินก็พอ”
“5…50 ตำลึงเงินเลยหรือ”
“ใช่ 50 ตำลึงเงิน ไม่ขาดไม่เกิน”
ไป๋มู่หลันพลันใบหน้าซีดเซียวหันไปยิ้มแห้งให้สหายที่แสดงท่าทางสีหน้าซาบซึ้งยิ่งนักในน้ำใจของนางครั้งนี้ ก่อนดึงแขนเถ้าแก่เนี่ยออกมาห่างจากสหายแล้วกระซิบเสียงเบา
“อาอี้ เราเป็นญาติกัน ท่านลดราคาให้ข้าหน่อยไม่ได้หรือ”
“อาหลัน นี่ข้าก็ลดให้เจ้าแล้วนะ”
“แต่...” “50 ตำลึงเงิน ไม่ขาดไม่เกิน ไม่จ่ายก็คืนของ”
เฉินหลิงเว่ยมองท่าทางอาลัยเงินของสหายยามที่หยิบมันออกจากอกส่งให้เถ้าแก่เนี่ยแล้วได้แต่นึกขบขัน ทว่าน้ำใจสหายไม่ควรปฏิเสธดังนั้นของขวัญเหล่านี้นางขอรับไว้ด้วยความยินดี
“ข้าได้ยินว่าที่หัวถนนฝั่งนั้นมีศาลเจ้าแม่กวนอิม หลันเอ๋อร์เราไปไหว้ขอพรกันดีหรือไม่”
ไป๋มู่หลันที่ยังคงมองตามตั๋วเงินของตนด้วยความอาลัยคล้ายไม่ได้ยินคำของสหาย เฉินหลิงเว่ยมองท่าทางของนางแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะดึงแขนของนางเดินออกจากร้านไปที่ศาลเจ้า
“เทวรูปเจ้าค่ะ เทวรูป”
เสียงแม่ค้าขายเครื่องรางร้องเรียกลูกค้าที่หน้าศาลเจ้าทำให้เฉินหลิงเว่ยชะงักเท้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นว่าบนแผงลอยนั้นมีเทวรูปคล้ายกับเทวนารีของตนในใจก็พลันตื่นตกใจ รีบเดินมาขวางหน้าสหายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เอ่อ... หลันเอ๋อร์วันนี้เราเดินกันมาทั้งวันแล้ว ข้าว่าเรากลับกันเถิด”
ไป๋มู่หลันเห็นท่าทางชวนสงสัยของสหายก็ขมวดคิ้วเล็ก เพียงแต่หลังจากทบทวนดูแล้ววันนี้พวกนางก็เดินกันมาทั้งวันแล้วจริงๆ
“อื้ม! กลับก็ได้ ข้าเองก็ไม่มีเงินเลี้ยงเจ้าแล้ว”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ารับแววตาท่าทางเห็นใจสหายของตนยิ่งนัก เพียงแต่เดินไปได้ไม่ไกลนักเสียงของแม่ค้าขายเครื่องรางก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เทวรูปเจ้าค่ะ เทวรูป”
ไป๋มู่หลันที่ได้ยินเสียงแม่ค้าลอยมาพลันชะงักเท้า ก่อนจะหันมามองหน้าสหาย รอยยิ้มที่หวานผิดปกติของเฉินหลิงเว่ยเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ และทันทีที่หันไปตามเสียงของแม่ค้าสายตาของนางก็มองเห็นเทวรูปที่คุ้นตา
“เทวนารี! เฉิน... หลิง... เว่ย!”
………………………………………………