ความคลั่งไคล้ที่ผูกพันก่อเกิดเป็นคลื่นรักที่ถาโถมเข้าใส่ จนไม่อาจหักห้ามแรงปรารถนาที่มีต่อกัน โลกทั้งใบของเธอกับเขาวางไว้ในมือที่สอดประสาน สิ่งใดจะสร้างความสุขได้เท่าการตอบสนองจากคนที่เราเรียกร้องโหยหามาตลอดชีวิต ยิ่งเข้าใกล้กันมากเท่าไรคลื่นรักที่ถาโถมก็มีแต่จะยิ่งทวีคูณรุนแรง
ชายหนุ่มประกบริมฝีปากลงบนปากนุ่มทำให้หญิงสาวอุ่นซ่านไปทั้งเรือนกาย ปลายนิ้วของเขาเร่งปลดกระดุมเสื้อออกจนกระทั่งสาบเสื้อทั้งสองแยกจากกัน ก็พบกับบราเซียร์ลูกไม้สีหวานโอบอุ้มทรวงอกอวบอิ่ม สองเต้าเต่งตูมเบียดดันจนเนินอกล้นปริ่มเย้ายวนใจ ชายหนุ่มสูดหายใจแรงลึกเมื่อเห็นรอยจูบที่ประทับไว้บนตัวเธอ หัวใจเขาถูกแผดเผาด้วยเพลิงปรารถนา
จังหวัดนครราชสีมา
บ้านไม้ใต้ถุนสูงขนาดกะทัดรัดน่ารักที่เลือกใช้ไม้เก่าเนื้อแข็งมาสร้างด้วยฝีมือช่างท้องถิ่น ด้านหน้าบ้านมีสนามหญ้ากว้าง และมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา ตัวบ้านเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง มีระเบียงกว้างที่ใช้เป็นส่วนอเนกประสงค์ แวดล้อมด้วยบรรยากาศของต้นไม้ใบหญ้า
“คุณแม่คะ ระรินมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ” ระริน ระรินรัก บวรกานต์ เดินเข้ามาหา พร พรทิพา บวรกานต์ อดีตข้าราชการครูเกษียณอายุ ผู้เป็นแม่ ที่กำลังขะมักเขม้นกับแปลงผักสวนครัวที่ทำเป็นงานอดิเรก
“เรื่องงานกับเรื่องเรียนของคลื่นล่ะสิ” พรวางมือจากสิ่งที่ทำ เดินมานั่งพักเพื่อพูดคุยกับลูกสาว
“สมกับเป็นคุณแม่ของระรินเลย” ระรินโอบกอดคนเป็นแม่ทางด้านข้าง
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะกลับไปอยู่ที่นั่น เงินบำนาญแม่เลี้ยงหลานได้สบายนะ”
กว่าสี่ปีแล้วที่ระรินกับแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ในวันที่เธอตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เธอเลือกที่จะเก็บลูกไว้ เพราะอย่างน้อยเขาก็เกิดมาจากความรักของเธอที่มีต่อผู้ชายคนนั้น เธอรวบรวมความกล้า เดินเข้าไปบอกเรื่องนี้กับแม่ ไม่มีคำดุด่าว่ากล่าว มีแต่อ้อมกอดของความเข้าใจมอบให้ แม่ไม่ถามสักคำว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มีแต่คำปลอบโยนและบอกจะดูแลเธอผู้เป็นลูกกับหลานเอง เมื่อต้องการพักใจกับเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิต ผู้เป็นแม่จึงพามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้
“ระรินไม่เคยบอกแม่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่แม่ก็พอเดาได้แล้วว่าเป็นคนที่ระรินรัก รักมาตลอด” พรพูดกับลูกสาวในวันที่ เด็กชายรักสมุทร ออกมาสู่โลกกว้าง จากที่ระรินตั้งชื่อให้ลูกก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดา
ทั้งสามคนดำเนินชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยเงินบำนาญ บนผืนแผ่นดินที่เป็นมรดกตกทอดของ อุดม บวรกานต์ สามีผู้ล่วงลับของพรทิพา
“ถึงเวลาแล้วค่ะที่ระรินจะยืนด้วยตัวเอง คุณแม่คอยประคองระรินมามากพอแล้ว ให้ระรินได้ดูแลคุณแม่กับคลื่นบ้างนะคะ”
“น้ำของคุงยายมาแย้วฮับ” เสียงของเด็กชายตัวน้อยถือแก้วน้ำพลาสติกกับขวดน้ำวิ่งมาด้วยความกระตือรือร้น
“คลื่น แม่เคยบอกแล้วนะว่าไม่ให้วิ่ง เดี๋ยวหกล้มเลือดออก” ระรินดุคนเป็นลูก แต่ในน้ำเสียงดุๆ นั้น ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย เพราะคลื่นเกิดมาพร้อมโรคประจำตัว คือ โรคฮีโมฟีเลีย หรือ โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก หากได้รับบาดเจ็บจนได้เลือด จะเป็นอันตรายมากหากเลือดไม่หยุดไหล
“ขอโทษฮับ คลื่นจะค่อย ๆ เดิน ไม่วิ่งฮับ” คลื่น ด.ช.รักสมุทร บวรกานต์ อายุสามขวบ พอถูกดุ ก็ค่อย ๆ ก้าวย่องเข้าไปหาแม่กับยาย
“อันนี้ก็ค่อยไปค่ะ” ระรินเอ็นดูท่าเดินย่องของลูกชาย
“น้ำเย็ง ๆ เจี๊ยบ ๆ ฮับคุงยาย” แม้จะหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยที่ถูกแม่ดุ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น คลื่นก็กลับมายิ้มได้ รินน้ำเย็น ๆ จากขวดใส่แก้วพลาสติกให้คนเป็นยาย
“ชื่นใจจริง ๆ เลยลูก” พรดื่มน้ำที่หลานชายรินให้ด้วยความชื่นใจ
“คลื่นครับ” ระรินอุ้มลูกชายมานั่งบนตัก
“ฮับคุงแม่”
“เราต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วนะ”
“คลื่นยู้แย้วฮับ คุงยายบอก คุงแม่ต้องทำงาง คลื่นอยากไปอยู่บ้างที่คุงแม่เกิด อยากไปโรงเยียงที่คุงแม่เยียง พอวังหยุด เยาค่อยกลับมาเที่ยวบ้างนี้ คลื่นยู้ คลื่นเข้าใจฮับ” คลื่นรู้และเข้าใจแล้วว่าต้องย้ายไปอยู่บ้านที่ผู้เป็นแม่เกิด และจะได้เรียนหนังสือในโรงเรียนที่แม่เคยเรียน พอวันหยุดก็จะได้กลับมาเที่ยวบ้านหลังนี้ ทั้งหมดล้วนมาจากผู้เป็นแม่ต้องทำงาน เมื่อได้ยินเช่นนี้ระรินก็คลายความกังวล หอมแก้มลูกชายสุดที่รักผู้เป็นแก้วตาดวงใจ