อู้อวิ๋นตนนี้คือสัตว์วิญญาณที่เจ้าของร่างเดิมเผลอทำพันธสัญญาด้วยตั้งแต่อายุ 5 หนาว และนางก็เก็บเป็นความลับมาโดยตลอด เนื่องจากสัตว์วิญญาณเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก เพราะพวกมันต้องบำเพ็ญเพียรกว่าร้อยปีเพื่อให้ได้มาซึ่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมากจึงหาที่หลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของป่าใหญ่หรือในหุบเหว เฟิ่งหงโชคดีที่ออกไปหาสมุนไพรพิษแล้วพบเข้ากับร่างงูขาวตัวน้อยนอนหายใจรวยรินจากการโดนตามล่า สุดท้ายเจ้างูน้อยจึงเลือกทำพันธสัญญาเพื่อเอาชีวิตรอด
ในวันปกตินางจะปลอยให้อู้อวิ๋นใช้ชีวิตของตนเองตามเดิม เพราะนางกังวลว่าถ้าคนในสำนักรู้เข้า นางจะถูกสังหารเพื่อชิงจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ได้มา ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกันจึงคุยผ่านจิตเพียงเท่านั้น แต่ก็นานๆ ครั้งถึงจะได้ติดต่อกันทีเนื่องจากการบำเพ็ญเพียรต้องเก็บตัวดูดซับไอพลังฟ้าดิน จึงทำให้เธอลืมเจ้างูน้อยตัวนี้ไปเสียสนิท
‘เหตุใดเจ้าต้องตกใจเพียงนั้น ดูจากที่เจ้ารู้ชื่อของข้า หมายความว่าเจ้าคงรู้เรื่องราวของนางไม่น้อย’ เสียงทุ้มเล็กๆ ราวกับเด็กชายตัวน้อยพาให้หญิงสาวที่มีน้องชายอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
‘แล้วทำไมถึงรู้ว่าข้าไม่ใช่เฟิ่งหงเล่า’ เธอถามด้วยความสงสัย เพราะอู้อวิ๋นไม่ได้อยู่ข้างกายเธอเสียหน่อย
‘เพราะความเข้ากันได้ของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังไงล่ะ เจ้านายคนเดิมของข้ามีความเข้ากันได้อยู่ 6 ส่วน แต่เจ้ามีถึง 8 ส่วน’ อู้อวิ๋น อธิบายสั้นๆ ด้วยตัวเขาก็มิชอบพูดให้มากความนัก
‘อ่อ เป็นเช่นนั้น’ เฟิ่งหงคนใหม่บ่นพึมพำ พยายามนึกถึงความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมค้นคว้าหาข้อมูลเอาไว้แต่ก็มีน้อยมากเพราะผู้ที่ได้ครอบครองจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีไม่ถึง 1 ใน แสน มันจึงเป็นของล้ำค่าที่ผู้คนต่างแย่งชิงกันแม้ต้องสังหารผู้บริสุทธิ์ก็ตาม
‘สรุป เจ้าเป็นใคร’ เจ้างูตัวน้อยยังย้ำคำถามเดิมที่ถามเอาไว้ มันอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในร่างของผู้เป็นนายของมันได้ แล้วเจ้านายตัวจริงของมันหายไปไหน นี่เก็บตัวบำเพ็ญแค่ไม่กี่ปี ออกมาอีกทีเจ้านายหายเสียแล้ว
‘ข้าชื่อ จางเฝ**นลู่ ข้ามีชีวิตอยู่ในอีกโลกที่ต่างจากที่นี่ วันหนึ่งข้าประสบเหตุถึงแก่ชีวิต แล้วก็ฟื้นมาอยู่ในร่างนี้นี่แหละ’ ร่างบางตอบคำถามพลางครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมรับเธอรึไม่ เพราะถึงแม้จะทำพันธสัญญากันแล้วแต่มันก็สามารถปฏิเสธคำสั่งของเจ้านายได้ ในกรณีที่ความเข้ากันได้ไม่มากพอ
‘งั้นนายหญิงหายไปไหนนะ…’ เจ้าตัวน้อยเต็มไปด้วยความกังวล อย่างไรเสียนางก็คือคนที่ช่วยชีวิตตนไว้ อีกทั้งยังไม่เคยบังคับให้ทำอะไรที่มันต้องฝืนใจ มีแต่ปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตตามใจตน
‘ข้าไม่อยากโกหกเจ้า นางสิ้นชีพไปแล้วเพราะโดนมนต์ดำจากเพื่อนสนิทของนางเอง และเพราะเหตุนั้นข้าจึงเข้ามาอยู่ในร่างของนางอย่างไรล่ะ’ เธอบอกออกไปตามตรง ไม่เช่นนั้นเจ้างูน้อยคงยังมีความหวังว่าเจ้านายของมันจะกลับมา
‘………’ อู้อวิ๋นเงียบลงไปทันที ถึงแม้กับเจ้านายที่ได้มาเพราะความจำเป็นคนนี้จะไม่ได้สนิทสนมกันเท่าใดนัก ปีนึงคุยกันนับคำได้ เพราะตัวมันต้องตั้งสมาธิซึมซับพลังอยู่ในป่าลึก และนางเองก็ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ แต่การมารู้ว่านางจากไปโดยที่มันไม่รู้อะไรเลยก็อดที่จะเจ็บปวดไม่ได้
‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อยู่ที่เจ้าแล้วว่ายังต้องการอยู่กับข้ารึไม่ ถ้าไม่…ข้าเองก็ไม่คิดจะบังคับ แต่ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกัน ข้าก็พร้อมที่จะทำความรู้จักเจ้า’ หญิงสาวกล่าวอย่างจริงใจ เธอไม่ต้องการบังคับจิตใจใคร
‘ข้าจะลองคิดดู’ เสียงเล็กๆ แฝงไปด้วยความเศร้า เรื่องนี้คงกระทบจิตใจอีกฝ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว
ผ่านไปครู่นึงก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ อีก คาดว่าอู้อวิ๋นคงหายไปรักษาแผลใจกระมัง
“เอาล่ะ มาต่อเรื่องของตนเองก่อนดีกว่า วางแผนไปถึงไหนแล้วนะ” เฟิ่งหงส่งเสียงเบาๆ เรียกสติให้กลับมาอยู่กับเรื่องของเธอเอง เธอได้หาแผนการร้อยแปดเพื่อที่จะเข้าหาท่านอ๋องของเธอ
“ตอนนี้เราอยู่ที่ชายป่าแล้ว อีกฟากของป่าคือจุดที่ท่านอ๋องอยู่ อืม…จากบทละครมากมายที่เราอ่านผ่านตามา นางเอกของเรื่องมักจะประสบเหตุบางอย่าง…ถูกตามล่าจากผู้ไม่หวังดี…ต้องมีบาดแผล สภาพชุดต้องย่ำแย่ งั้นต้องเดินเข้าป่าไปเลยจากจุดนี้ กว่าจะไปถึงที่หมายสภาพคงยับเยินแนบเนียนแน่นอน!” ริมฝีปากอิ่มไร้การแต่งแต้มฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้กับแผนการของตนเอง
ในเมื่อเธอตัดสินใจจะจีบเขาแล้ว และคงจีบตรงๆ ไม่ได้ เธอก็คงต้องใช้แผนการเข้าช่วย ดั่งคำที่ว่า ‘ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา’ อาจจะฟังดูชั่วร้าย แต่เธอไม่อยากปล่อยให้เขาหลุดมือไปนี่นา
“การหลงป่าและโดนตามล่าอาจจะไม่พอ ถ้าเขาถามเรื่องส่วนตัวต้องเกิดปัญหาแน่…อืม นางเอกส่วนใหญ่ชอบความจำเสื่อมกันนี่! งั้นก็เอาบทความจำเสื่อมไปด้วย ดังนั้นการที่ฉัน เอ้ย ข้า ไม่รู้จักสิ่งในใดยุคนี้ก็ไม่น่าสงสัย ทั้งการทำอะไรเป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง ก็คงไม่แปลก” เฟิ่งหงคิดแล้วก็เหนื่อยใจ ด้วยเพราะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ งานบ้านงานเรือนเลยไม่ถือว่าคล่องนัก ยิ่งเป็นยุคสมัยที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก คิดว่าเธอจะทำอะไรเป็นอย่างนั้นหรือ
เมื่อยืนยันลำดับเหตุการณ์ตามบทบาทที่ตนเองได้ร่างไว้ในหัว เฟิ่งหงก็เริ่มแผนการทันที ร่างบอบบางในชุดสีอ่อนเดินลัดเลาะไปตามป่า บ้างก็วิ่ง เหนื่อยก็เดิน ที่ตัวเธอไม่มีสิ่งของใดเลยนอกจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ แม้จะหิวน้ำและอาหารเธอก็อดทน วันแรกผ่านไปสภาพเธอก็เริ่มเหมือนคนโดนตามล่าแล้วจริงๆ เสื้อผ้ามีรอยขาดจากกิ่งไม้ ตามตัวมีบาดแผลพร้อมรอยฟกช้ำที่เธอจงใจให้โดนหนามเกี่ยวและกระแทกต้นไม้ นี่เธอทุ่มทุนสร้างเกินไปรึไม่นะ…แต่ เพื่อท่านอ๋องของเธอ แค่นี้ย่อมเป็นเรื่องเล็ก!
อย่าได้หาว่าเธอเห็นแก่ผู้ชายจนยอมทำขนาดนี้เป็นเรื่องไม่น่าเป็นไปได้เชียว เพราะถ้าสามีมโนของพวกหล่อนมีตัวตนจริงๆ ขึ้นมา ก็คงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความฝันนั้นกลายเป็นจริงเหมือนที่เธอทำเป็นแน่
“ฟุ้งซ่านอีกแล้ว” เฟิ่งหงพึมพำเสียงอ่อยด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องอยู่คนเดียวมาหลายวันทำเอาเธอชอบคิดโน่นนี่เต็มหัวไปหมด แม้กระทั่งค่อนขอดคนอื่นเรื่องที่ตนเองทุ่มเทเพื่อผู้ชาย ก็อย่างว่าแหละ ชีวิตก่อนเธอไม่ได้สนใจเรื่องความรักอะไรนัก ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาเพียงใดก็ผ่านตาจนไม่ทำให้เธอรู้สึกอะไร มีเพียง ชินอ๋องเจิ้นเทียน นี่แหละที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นระรัวขึ้นมา แม้จะเป็นแค่การที่เขาจีบนางเอกในนิยายก็ตาม ทำเอาเธอเก็บไปฝันว่าเขาตามจีบเธอด้วยซ้ำ!
“หลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้นจริงๆ เลยฉัน เอ้ย ข้า” มือบางกุมขมับ ภาษาโบราณทำเอาไม่ชินปากเสียเลย แต่คงต้องรีบพูดให้คล่อง มิเช่นนั้นคงกลายเป็นคนแปลกประหลาดในสายตาคนอื่นแน่ เนื่องจากไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน เธอจึงเริ่มมีใบหน้าที่ซีดเล็กน้อย
“หิวชะมัด ต้องทนไปอีกวัน สองวันสินะ” ริมฝีปากที่เคยมีสีแดงระเรื่อแตกระแหงเพราะอากาศอบอ้าว ดูเหมือนร่างกายรุมๆ ด้วยความชื้นของเสื้อผ้าและอาการบาดเจ็บตามร่างกาย