เพลิงเสน่หา ตอน ที่ 1.
ดารากานต์ในชุดเจ้าสาวสีขาวซึ่งเป็นแบบเกาะตัวกระโปรงสุ่มไก่ฟูฟ่องเหมือนเจ้าหญิงจำต้องปั้นยิ้มเดินเคียงคู่เจ้าบ่าวของน้องสาว ซึ่งตอนนี้ตัวเธอเองได้สวมรอยกลายเป็นเจ้าสาวกำมะลอให้อีกฝ่าย ดวงตากลมสวยแอบลอบมองชายหนุ่มร่างสูงในชุดทักซิโด้สีขาวอย่างสำรวจ เธอเพิ่งเจอหน้าเขาก่อนวันงานหนึ่งวัน หลังจากที่ศศิกานต์น้องสาวฝาแฝดซึ่งควรจะเป็นเจ้าสาวในวันนี้ได้หายตัวไป หญิงสาวถูกบิดามารดาเรียกเข้าไปคุย ทั้งๆ ที่เพิ่งเดินทางมาถึงก่อนวันงานแต่งงานของน้องสาวเพียงสองวัน เพื่อมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้น้องสาวฝาแฝด
“หนูดาว นึกว่าเห็นแก่หน้าของพ่อกับแม่ ช่วยแต่งงานแทนน้องด้วยนะลูก”
นางเพ็ญทิพย์ผู้เป็นแม่เอ่ยขอร้องลูกสาว หลังจากเล่าเรื่องที่ศศิกานต์ได้หายตัวจากบ้านให้ลูกสาวคนโตฟัง
“หนูบอกพ่อกับแม่แล้วไม่ใช่หรือคะ ว่าอย่าบังคับยายเดือน เป็นไงล่ะน้องไม่อยากแต่งงานกับไอ้พ่อเลี้ยงไร่กาแฟนั่น จนหนีไปแบบนี้” ดารากานต์กอดอก มองพ่อกับแม่ด้วยความโมโห
ท่านทั้งสองจับลูกสาวคลุมถุงชนให้แต่งงานกับลูกชายของเพื่อน ที่เป็นเจ้าของไร่กาแฟและรีสอร์ท โดยไม่ถามความสมัครใจของลูกเลย
ศศิกานต์เป็นคนเงียบๆ ไม่พูดมากปากไวเหมือนพี่สาว ได้แต่จำยอมทำตามความต้องการของพ่อแม่ พอจะถึงวันแต่งจริงๆ เจ้าตัวกลับทนรับสภาพไม่ไหว หนีงานแต่งงานไปโดยทิ้งจดหมายบอกลาสั้นๆ ว่า
... หนูเดือนขอโทษด้วยนะคะ ที่อกตัญญู แต่หนูเดือนไม่อยากแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก ยกโทษให้หนูเดือนด้วยนะคะ...
“แกจะให้พ่อแม่ขายหน้าชาวบ้านเขาหรือไงยายดาว เอาสิพ่อกับแม่ไม่ได้เลี้ยงแกมานี่ แกคงไม่เห็นหัวหรอก” นายสุเมธตัดพ้อลูกสาวอย่างเสียใจ
เมื่อหลายปีก่อนเขายกดารากานต์ให้พี่สาวกับพี่เขยที่ไม่สามารถมีลูกได้เป็นลูกบุญธรรมเพราะสงสารที่ทั้งสองไร้ทายาท ดารากานต์ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ จึงมีนิสัยเอาแต่ใจดื้อรั้นไม่ยอมคน ต่างจากศศิกานต์ที่อ่อนหวานเรียบร้อยอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ ลูกสาวฝาแฝดของเขาทั้งสองรักใคร่กันมากเพราะไปมาหาสู่กันเสมอ
“หนูดาว แม่ขอร้องเถอะลูก ยอมแต่งงานแก้หน้าให้พ่อกับแม่ไปก่อนนะ แม่จะคุยกับผู้ใหญ่ทางโน้น ให้แต่งกันแต่ในนาม”
นางเพ็ญทิพย์พยายามเกลี้ยกล่อมลูกสาวหัวดื้อของตนอีกครั้ง นางรู้ดีว่าดารากานต์รักและห่วงใยพ่อแม่ หากใจเย็นพูดให้ลูกเห็นใจ ลูกของนางต้องรับปากแน่
“ทำไม่ล้มเลิกงานแต่งไปคะ ง่ายกว่ากันเยอะ” ดารากานต์เสนอทางออกที่ทำให้คนเป็นพ่อแม่ ต้องมองหน้ากันแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้เด็ดขาด ฉันเชิญผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งจังหวัด แกจะให้ฉันไปบอกล้มเลิกงานแต่งได้ยังไง ไหนจะแขกฝั่งเจ้าบ่าวอีก แกจะให้พ่อกับแม่ถูกสังคมประณามหรือไง ยายดาว” นายสุเมธโอดครวญ
“หนูดาว แม่กับพ่อขอร้องหนูเถอะนะลูก หนูเดือนหายตัวไปแบบนี้ ชาวบ้านลูกเข้า เขาจะนินทาน้องได้นะลูก หนูอยากให้น้องถูกนินทาว่าหนีตามผู้ชายไปหรือไงลูก ไม่เห็นแก่พ่อแม่ก็เห็นแก่ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลของเราเถอะลูก”
นางเพ็ญทิพย์ใช้ไม้ตาย เพราะรู้ว่าดารากานต์รักน้องสาวมาก คงไม่ยอมให้น้องถูกนินทาแบบนี้แน่
ดารากานต์นิ่งไปครู่หนึ่งคิดตามที่มารดาบอก ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้ารับอย่างจำใจ
“ก็ได้ค่ะ ดาวจะเห็นแก่ยายเดือนนะคะ แต่หลังจากแต่งงานแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ต้องให้ดาวหย่ากับเขานะคะ”
“ได้ลูก ได้ทุกอย่าง ขอบใจมากนะลูกที่ยังเห็นแก่หน้าพ่อแม่”
นางเพ็ญทิพย์เข้ามากอดลูกสาวไว้ ส่งยิ้มโล่งอกให้สามีที่มีสีหน้าดีขึ้น ขอเพียงดารากานต์ยอมรับปาก เรื่องอนาคตค่อยว่ากันอีกที
หลังจากตกปากรับคำเป็นเจ้าสาวแทนน้องสาว วันรุ่งขึ้นทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็พากันมาปรึกษาหารือเรื่องนี้ นั่นทำให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกำมะลอได้เจอหน้ากัน ดารากานต์ขอตัวคุยกับอัคนีเพียงลำพังเพื่อตกลงกันก่อนจะก้าวเท้าเข้าสู่แผนวาห์กำมะลอเพื่อกู้หน้าให้สองตระกูล
“นี่คุณอัคนี ที่ฉันยอมแต่งงานกับคุณแทนยายดาวเพราะเห็นแก่ชื่อเสียงของพ่อแม่ฉันและพ่อแม่คุณ ดังนั้นเราต้องตกลงกันก่อน” ดารากานต์เป็นคนตรงๆ จึงไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา
“ก็ว่ามาสิครับคุณดาว ผมรอฟังอยู่”
อัคนียิ้มรับด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ชายหนุ่มนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้ในสวนหลังบ้าน ท่าทางดูไม่มีกังวลกับเรื่องนี้สักนิด เหมือนเขาไม่ไดสนใจว่าจะแต่งงานกับใครไม่ว่าจะเป็นพี่สาวหรือน้องสาว ทำเอาคนคุยด้วยรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ แต่จำต้องข่มความรู้สึกนั้นไว้ เจรจาความให้รู้เรื่อง
“เราจะ...” แก้มนวลร้อนวูบขึ้นมาเมื่อต้องเอ่ยเรื่องสำคัญ “เราจะแต่งงานแต่กันในนาม พอพ้นคืนแต่งไปก็ต่างคนต่างอยู่”
“อืม... เรื่องนี้ผู้ใหญ่ของเราเขาตกลงกันแล้ว”
เขายกยิ้มมุมปาก มองหน้าของเธอด้วยสายตาพราวระยับ ราวกับขบขันกับท่าทีกังวลเกินเหตุของเจ้าสาวตัวแทน
“รู้แบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องพูดซ้ำ แต่ฉันมีเรื่องคุยกับคุณเรื่องยายเดือนด้วย”
ดารากานต์ หลบสายตาคมวาวของอีกฝ่าย รู้สึกหายใจติดขัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้ชายอะไรหน้าหล่อคมเข้มดวงตาคมกริบเหมือนเพชร แค่เผลอไปสบตาด้วยเธอก็แทบจะเข่าอ่อน หล่อบาดตาแบบนี้ทำไมถึงไม่มีแฟนแล้วยังยอมแต่งงานแบบคลุมถุงชนอีก มันน่าจะมีอะไรผิดปกติสักอย่าง หญิงสาวอดนึกในแง่ร้ายไม่ได้
“ว่ามาครับ ผมรอฟังอยู่”
เขาพูดประโยคเดิมอีก ขยับกาย นั่งตัวตรง ท่าทีตั้งอกตั้งใจ แต่สายตาคมๆ ของเขาไม่ละจากดวงหน้างามของเธอ
ดารากานต์สูดลมหายใจแรงๆ ลดสายตาลงมองแผงอกของเขาแทนใบหน้า เพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดจากความควบคุม เจอผู้ชายมาก็เยอะไม่เคยใจเต้นแรงหรือประหม่าเขินอายแบบนี้มาก่อน แต่ทำไมดันมาตกม้าตายกับเจ้าบ่าวของน้องสาวได้
“ถ้ายายเดือนกลับมา คุณจะแต่งงานกับยายเดือนอีกไหม”
เธอถามเขาเสียงเบา แม้ตาจะไม่มองสบตาเขาแต่หัวใจก็ดันเต้นแรงเมื่อเปลี่ยนมามองแผงอกหนาที่ลอดผ่านกระดุมเสื้อของเขาแทน คนอะไร หล่อไม่พอยังล่ำบึกชนิดนายแบบชิดซ้าย ผู้ชายที่มีรูปร่างแบบนี้ได้ต้องขยันออกกำลังกายสม่ำเสมอ ท่าทางของเขาดูบึกบึนแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศจนคนมองโพรงจมูกร้อนผ่าวขึ้นมา ต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่อื่นเกร็งเลือดกำเดาจะพุ่งเพราะหุ่นทรมานสายตานั้น
“เรื่องของผมกับคุณเดือนจบลงแล้วตั้งแต่เธอหนีไป ผมไม่อยากบังคับคนที่ไม่เต็มใจหรอกครับ” เขาบอกเสียงเข้ม
“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ”
ดารากานต์เงยหน้าขึ้นสบตาเขา รู้สึกดีกับชายหนุ่มที่เขาเข้าใจอะไรง่ายกว่าที่คิด
“ฉันสัญญาว่าจะทำหน้าที่เป็นเจ้าสาวกำมะลอของคุณ ไม่ให้คุณเสียชื่อเสียง”
คำสัญญานั้นทำให้ดารากานต์มาเดินเคียงข้างอัคนี สุริยะกุลในวันนี้ เธอถอนหายใจแรงปัดความคิดกังวลใจทิ้งไป ตั้งหน้าตั้งตาฉีกยิ้มเดินเคียงคู่กับเขาทักทายแขกเหรื่อในงานต่อไป
“นี่คุณ จะหนีออกจากห้องหอ ตั้งแต่คืนแรกเลยหรือไง”
อัคนีเอ่ยเสียงเข้ม เมื่อเห็นเจ้าสาวหมาดๆ ของเขาทำท่าย่องออกนอกห้อง งานวิวาห์เสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อยงดงาม พิธีส่งตัวเข้าหอก็ทำครบถ้วน พ่อญาติผู้ใหญ่ออกไปกันหมดเจ้าบ่าวอย่างเขาก็เข้าไปอาบน้ำ พอออกมาก็เห็นเจ้าสาวของเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ๊ตแบบผู้หญิงสีขาว กำลังจะเปิดประตูออกจากห้องหอไป
“ฉันไม่ได้หนี แต่ฉันจะกลับบ้านฉันย่ะ”
ดารากานต์หันมามองหน้า เจ้าบ่าวของเธอตาเขียวปั้นหน้าให้ดูเคร่งขรึม ทั้งๆ ที่ในใจประหม่าขัดเขินเหลือคณา ตั้งแต่เกิดมาโตเป็นสาวเธอไม่เคยร่วมห้องกับผู้ชายมาก่อน