"ท่านโหว ยามนี้ฮูหยินได้สติแล้วขอรับ"
มือที่จับพู่กันยังคงตวัดเขียนด้วยความใจเย็น เสียงทุ้มตอบกลับแบบขอไปที "อืม รู้แล้ว"
องครักษ์ทั้งสองต่างเหลือบมองกันหลุกหลิก พวกเขาทราบดีว่านายของตนนั้นแสนชิงชังฮูหยินใหญ่เพียงใด เพราะนางชมชอบเจียงโหวหรือเจียงซื่อจวินจนหน้ามืดตามัว ยามที่ทั้งสองยังไม่ออกเรือนหลิวจือหลินก็ตามราวีโหวหนุ่มไม่ลดละ กระทั่งหลิวจือหลินไม่อาจทนมองท่าทีกระด้างกระเดื่องจากบุรุษที่ตนชมชอบได้ นางจึงตัดสินใจร้องขอบิดาซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงซ่างซูเสิ่ง[1]ทูลขอราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อมอบสมรสพระราชทานให้แก่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า[2]
บิดาที่เลี้ยงดูบุตรสาวดุจไข่ในหินเช่นใต้เท้าหลิวเฝ้าตามใจนางไปเสียทุกอย่าง ส่งผลให้หลิวจือหลินเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีร้ายกาจซ้ำยังนิสัยเสีย หากเป็นสิ่งที่นางต้องการแล้วล่ะก็ ผู้ใดก็อย่ามาขวาง
หลิวจือหลินคิดเพียงว่าแต่งแล้วอยู่กินกันไปอีกฝ่ายก็ต้องหลงรักตนเข้าสักวัน ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังคิดผิดมหันต์ นับวันโหวหนุ่มก็ยิ่งรังเกียจชิงชังนาง กระทั่งย่างกรายเข้าไปเหยียบเรือนฝั่งตะวันออกสักครั้งก็ไม่เคย
เพราะหลิวตงมีผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์แก่ราชวงศ์และขุนนางทุกลำดับขั้น ซ้ำฮ่องเต้ยังเคยลั่นวาจาจะปูนบำเหน็จให้ตระกูลหลิว ผู้เป็นจักรพรรดิแผ่นดินจึงมิอาจขัดความประสงค์ของอีกฝ่าย การร้องขอสมรสพระราชทานนี้เลยง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
แม้เจียงซื่อจวินเป็นบุตรบุญธรรมที่ฮ่องเต้รักดั่งลูกในไส้ ทว่ามิอาจมองข้ามผลประโยชน์ของราชวงศ์ เช่นนั้นการที่เขาสามารถเกี่ยวดองกับตระกูลหลิวกลับถือว่าเหมาะสมยิ่งแล้ว
เพราะเหตุนี้ยามที่โหวหนุ่มเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาจึงมักทำหน้าปั้นยากเสียจนอีกฝ่ายอ่อนใจ ฮ่องเต้คือประมุขแผ่นดิน เป็นโอรสแห่งสวรรค์ คำพูดเปรียบได้ดั่งทอง วาจาเปรียบได้ดั่งหยก จะคืนคำได้เช่นไร
"เอ่อ...ท่านโหวจะไปดูฮูหยินหน่อยหรือไม่ขอรับ" เฉิงซือหานเอ่ยถามด้วยท่าทีประหวั่น
นัยน์ตาคมช้อนขึ้นแช่มช้า ประกายสังหารพวยพุ่งออกมาเสียจนองครักษ์ทั้งสองขนลุกเกรียว "ไปหาให้นางได้ใจหรือ นางยังไม่ตายก็นับว่าดีแล้วกระมัง ทำตัวเองทั้งนั้น ยามนี้สาวใช้ของนางคงตามหมอแล้ว เจ้าก็จับตาดูนางให้ดี อย่าให้ลุกมาก่อเรื่องวุ่นวายอีก อาละวาดเสียจนจวนข้าวอดไปครึ่งหลังแล้ว"
"ขอรับ"
ร่างสูงขององครักษ์หนุ่มถลันออกจากห้องทันควัน เฉิงซือหานได้รับหน้าที่ให้เฝ้าจับตามองการกระทำทุกฝีก้าวของหลิวจือหลิน ทุกครั้งที่นางก่อเรื่องเขาจะเร่งมารายงานเจียงซื่อจวินเสมอ ครั้งล่าสุดหลิวจือหลินช่างทำได้เจ็บแสบยิ่งนัก ขณะที่เจียงโหวเข้าพิธีรับหม่าลี่เจียเป็นอนุ นางถึงขั้นอาละวาดเผาเรือนจนวอดไปเกือบครึ่ง ผู้คนในงานต่างหนีตายกันจ้าละหวั่น
คนนิสัยหยาบช้าล้วนนับเป็นบาป เพลิงที่อีกฝ่ายจงใจทำลายงานพิธีลุกลามอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ขื่อไม้ท่อนหนึ่งล้มครืนพร้อมเปลวไฟอันโชติช่วง ตวัดผ่านใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหลิวจือหลินจนเกิดรอยแผลพุพองไปครึ่งข้างแก้ม โชคยังดีที่เฉิงซือหานช่วยนางไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นหลิวจือหลินคงต้องถูกไฟคลอกจนสิ้นใจเข้าจริง ๆ
แม้เจียงซื่อจวินอยากให้นางตายให้พ้นหูพ้นตา ทว่าเขานั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ความคิดต่ำทรามเช่นนี้จึงถูกปัดทิ้งไปในที่สุด เรื่องเอาผิดหลิวจือหลินก็ยิ่งนับว่าลำบาก ทุกอย่างต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมา
ครั้นหวังหย่าร้างกับนาง ความยุ่งยากที่เปรียบชนักติดหลังนี้กลับเป็นสมรสพระราชทานที่มิอาจกระทำได้ตามอำเภอใจ หากนางรู้จักผ่อนปรนสักหน่อย อ่อนข้อและยอมรับผิดเสียบ้าง เขาก็คงไม่ชิงชังนางถึงเพียงนี้กระมัง
โหวหนุ่มถอนหายใจด้วยความอ่อนล้า ร่างกำยำเอนพิงพนักเก้าอี้ พลางยกมือคลึงหว่างคิ้ว "จินซิน"
"ขอรับ"
"แล้วลี่เจี่ยเป็นอย่างไร"
"อนุหม่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดขอรับ มีเพียงอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ท่านโหวอยากไปพบนางหรือ"
เจียงซื่อจวินระบายลมหายใจอีกครั้ง "ข้าจะไปดูนางสักหน่อย ถึงอย่างไรราชครูก็ฝากฝังนางไว้กับข้าแล้ว ข้าจะละเลยนางได้อย่างไร"
เพราะราชครูหม่าเฉียงเปรียบดั่งผู้มีพระคุณของเขา ขณะที่อีกฝ่ายต้องจากไปด้วยโรคชรา หลานสาวเพียงคนเดียวเช่นหม่าลี่เจียจึงไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิงอีก
ชายชราได้ฝากฝังหลานสาวของตนให้โหวหนุ่มช่วยดูแล ถึงแม้ยามนั้นเขารู้สึกอึดอัดไปบ้างหมายรับนางเป็นน้องสาวบุญธรรม แต่ราชครูต้องการให้นางเป็นอนุของเขา ทั้งที่การเป็นอนุมิได้ดีเด่อันใดเลย เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ราชครูจริง ๆ
เจียงซื่อจวินช่างเป็นชายหนุ่มผู้อาภัพในการเลือกคู่ยิ่ง สตรีทั้งสองที่ตบแต่งล้วนมิได้มาจากความรักใคร่ของตนสักคน ยามนั้นเขาไร้ทางเลือกจึงทำตามอย่างเสียไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าวันรับอนุ จวนโหวจะเกิดเรื่องตาลปัตรใหญ่โตเพราะฮูหยินของตนจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วแคว้น
.
.
"ฮูหยิน ท่านยังมีอาการวิงเวียนหรือไม่" หมอวัยกลางคนเอ่ยถาม
ผู้ที่เอนกายอยู่ภายใต้ม่านโปร่งส่ายหน้า มือขาวผ่องยื่นออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจจับชีพจร "ไม่เจ้าค่ะ ข้าดีขึ้นมากแล้ว"
ผู้เป็นหมอพยักหน้าด้วยความเข้าใจ "เช่นนั้นใบหน้าของท่าน ข้าขอตรวจดูเสียหน่อย"
"ได้สิ" หลิวจือหลินแง้มผ้าออกแช่มช้า นางค่อย ๆ ปลดผ้าผืนโปร่งผะแผ่ว
"ฮูหยิน ใบหน้าของท่านอาจรักษายากเสียหน่อยเพราะเกิดจากไฟไหม้ เกรงว่าคงทิ้งร่องรอยเอาไว้"
หลิวจือหลินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เหตุใดนางจึงกลายมาเป็นสตรีจอมวายร้าย หนำซ้ำยังมีใบหน้าอีกครึ่งดุจผีสาง ชาติก่อนช้ำรักถูกหักอกก็ช่างเถิด มาชาตินี้กลับย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า ความทรงจำที่มีอยู่ในมโนสำนึกล้วนบ่งบอกว่าหลิวจือหลินคนเดิมเป็นที่เกลียดชังของสามีเพียงใด หนำซ้ำอีกฝ่ายยังรับอนุเพื่อหยามหน้าตนถึงถิ่น
แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อไม่อาจเลือกวาสนาและโชคชะตาได้ บางทีนางอาจหาวิธีหย่ากับเขา แม้จะเป็นสมรสพระราชทาน การหย่าของสตรีในยุคนี้ล้วนไม่อาจเป็นไปได้ แต่หลิวจือหลินที่มาจากยุคสองพัน มั่นใจว่าต้องมีวิธีเป็นแน่ ขอเพียงเขาชิงชังนางให้มาก ๆ แต่อย่ารังแกกันเกินไปก็พอ หากอนุนางนั้นคือคนรักของโหวหนุ่ม เช่นนั้นแล้วนางก็ยินดีเป็นผู้จากไปเอง
หมอและสาวใช้ได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง เรือนกายก็พานสั่นระริก เพราะเกรงว่าหากเอ่ยสิ่งใดไม่เข้าหู หลิวจือหลินอาจอาละวาดจนได้แผลกลับไปคนละสองสามรอย ยิ่งหลิวจือหลินต้องยอมรับว่าใบหน้าอันเคยสะสวยมิอาจกลับเป็นเช่นเดิม ดูเหมือนครานี้หลังคาคงได้พังครืนเหลือแต่โครงค้ำยัน
"ช่างเถิด ขอแค่หายจากความเจ็บปวด จะหน้าผี หน้าปลวกข้าก็ไม่สน ต่อให้งดงามแล้วอย่างไร สุดท้ายก็มิอาจมัดใจบุรุษไว้ได้อยู่ดี"
สาวใช้ทั้งสองตะลึงงัน หากเป็นหลิวจือหลินในเมื่อก่อนคงอาละวาดขว้างปาข้าวของจนเกิดความเสียหาย ดูเหมือนสมองของนางอาจได้รับความกระทบกระเทือนเข้าจริง ๆ แต่ก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ
โลกใบเดิมหลิวจือหลินเองก็นับเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยพริ้มเพรา ทว่าความงามไม่ได้ช่วยให้ใครสมหวังในความรักหากบุรุษไม่รู้จักพอ
หลิวจือหลินจึงตั้งใจไว้แล้วว่าตนเกิดใหม่ชาตินี้ จะค่อย ๆ ปรับตัว แก้ไขพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของหลิวจือหลินคนเดิมเสีย แล้วจึงออกไปใช้ชีวิตให้ห่างจากความวุ่นวาย อาจเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าสักร้าน เพราะนางเรียนด้านดีไซเนอร์มา ความสามารถนี้คงช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้แน่ แม้ยามนี้ยังมองไม่เห็นหนทางก็ตาม
หมอวัยกลางคนเขียนเทียบยาส่งให้บ่าวทั้งสอง และกำชับเรื่องการรักษาเป็นที่เรียบร้อยจึงขอตัวจากไป เจียวเจียวช่วยแง้มผ้าโปร่งออกให้ผู้เป็นนาย เห็นอีกฝ่ายยังนั่งเหม่อลอยก็มิกล้าเอ่ยมากความ กระนั้นปี้อี๋กลับเอ่ยขึ้น
"ฮูหยินเจ้าคะ ไม่กี่ชั่วยาม บ่าวเห็นท่านโหว...เอ่อ...ไปพบอนุที่ระ..."
ไม่ทันจบประโยคเจียวเจียวเกิดตื่นตระหนก นางกระทุ้งข้อศอกใส่หน้าท้องปี้อี๋ไปทีหนึ่ง พลางถลึงตากล่าวลอดไรฟัน "เจ้าเอ่ยเรื่องไม่เป็นเรื่องอะไรยามนี้ เห็นหรือไม่ว่าฮูหยิน..."
"ช่างเถิด" เสียงใสโพล่งตัดบท
ปี้อี๋หน้าบูดเบี้ยวเพราะรู้สึกจุก ทว่าเมื่อสาวใช้ทั้งสองได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายกล่าวออกมาก็ล้วนนิ่งค้างไปตาม ๆ กัน
หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองพวกนางแช่มช้า จากนั้นคลี่ยิ้มละไม ต่อให้เขาไม่มีอนุ เขาก็ไม่เคยแยแสฮูหยินคนนี้อยู่ดี เขาอยากไปไหนก็แล้วแต่เถิด ยามนี้นางเหมือนคนแปลกหน้าที่มาอาศัยร่างซึ่งเหมือนตนเองในต่างยุคสมัยก็เท่านั้น ผิดก็ตรงใบหน้านี้มีรอยแผลเป็นอย่างน่าอนาถใจ
"ข้าไม่อยากรู้เรื่องเขาสักนิด ปล่อยไปเช่นนั้นดีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพบกันเลยก็ยิ่งดี ต่อให้ข้าตาย พวกเจ้าคิดว่าเขาจะมาเหยียบที่นี่รึ"
"หา!" สาวใช้ทั้งสองปากอ้าตาค้าง
อย่าว่าแต่พวกนางเลย องครักษ์ที่จับตามองอยู่ในมุมมืดก็ล้วนไม่อยากเชื่อหูเช่นเดียวกัน
ฮูหยินสมองมีปัญหาแน่แท้!
เชิงอรรถ
^ ซ่างซูเสิ่ง คือเสนาบดีสำนักตรวจราชการขุนนางที่มีศักดิ์เสมออัครเสนาบดีมี 2 ตำแหน่ง คือ เสนาบดีสำนักตรวจราชการหรือซ่างซูเสิ่ง (***) กับเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหรือจงซูเสิ่ง (***)
^ ไม่มีหนังไม่มีหน้า หมายถึง หน้าด้าน ไม่รู้จักกอาย