วันเวลาผ่านไปในที่สุดสวรรค์เบื้องบนก็ประทานโอกาสมาให้ท่านหญิงอานากะ มีรับสั่งจากเมืองหลวงให้เจ้าเมืองแต่ละหัวเมืองเข้าร่วมประชุมขุนพลระดับสูงที่เมืองหลวง ขบวนของเจ้าเมืองออกเดินทางออกไปช่วงเช้ามืดก่อนตะวันจะขึ้น คนเป็นบิดาไม่อยากที่จะจากเมือง แต่เมื่อเป็นคำสั่งย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จึงสั่งให้รองหัวหน้าแม่ทัพคอยอยู่เป็นกำลังเสริมที่นี่และคอยสั่งการให้คอยดูแลบุตรสาว
ส่วนด้านบุตรสาวอันนะเธอตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก ตลอดทั้งวันเธอพยายามทำตัวว่านอนสอนง่าย ดูท่าบิดาจะรู้ว่าหญิงสาวจะหาทางคิดจะออกไปข้างนอกหรือทำเรื่องเกินงามจึงได้ขนบรรดาขนาจารย์มาสอนตามบทเรียนที่เขาเป็นคนจัดมาให้ลูกสาวไม่ว่างเว้นแต่ละวันเลย ซึ่งหญิงสาวหาได้ปฏิเสธมั้ย
จนเมื่อถึงเย็นหลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางไฟจากตะเกียงน้ำมันในห้องนอนถูกดับลง…….
ตึก ตึก ตึก
“มายุ มายะ ข้าออกไปได้หรือยัง”เสียงกระซิบจากทางกำแพงดังขึ้นจากมุมมืด
“รอประเดี๋ยวเจ้าค่ะ ท่านหญิงรอให้ทหารเวรกลุ่มนี้เดินหลีกไปทางหัวมุมก่อนนะเจ้าคะ”มายะแฝดคนน้องหันหน้ามบอกก่อนจะหันกลับไปดูต้นทาง
“ท่านหญิงเจ้าคะ ถ้าพวกรองแม่ทัพรู้เข้าล่ะก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้าเมืองแน่ๆเลยนะเจ้าคะ ข้าว่าก่อนที่จะโดนจับได้เดินกลับเข้าไปตามทางเดินของปราสาทในตอนนี้จะเป็นการดีที่สุดแล้วนะเจ้าคะ”มายุแฝดคนพี่ที่คิดแล้วคิดอีกพยายามพูดนำท่านหญิง
“ไม่ เวลายามนี้ข้าคิดมาแล้วว่าเหมาะสมที่สุด พวกเจ้าอย่าได้กลัวโทษที่จะได้รับ ข้าจะเป็นรับทั้งหมดเองถือซะว่าเป็นของขวัญก่อนข้าตายก็ไม่นักซะทีเดียว”
“ท่านหญิง!/ท่านหญิงเจ้าคะ ท่านพูดอะไรออกมา!”เสียงอุทานของฝาแฝดพี่เลี้ยงที่ดังกว่าเหตุโชคดีที่บริเวณนี้ไม่มีใคร
“ชู่วๆ พวกเจ้าอย่าส่งเสียงดัง เมื่อไหร่ที่พวกเรากลับเข้ามาแล้ว พวกเจ้าค่อยตะโกนลั่นปราสาทข้าย่อมไม่ว่า”อันนะหันมาดุพี่เลี้ยงที่อายุมากกว่าเธอ แต่ทำตัวเป็นหญิงวัยแรกรุ่นไปได้ อันนะเดินออกไปเงียบๆโดยมีเหล่าพี่เลี้ยงเดินตามคล้ายลูกเจี๊ยบ
อันนะและพี่เลี้ยงแฝดทั้งสองของเธอหลบหลีกทหารยามออกมาจากปราสาทจนสำเร็จจนได้ เธอให้พี่เลี้ยงทั้งไปหาชุดของหญิงรับใช้ในปราสาทมาสวมชุด ถึงแม้เป็นเพียงเสื้อผ้าเนื้อธรรมดาก็ไม่สามารถกลบงดงามของท่านหญิงได้ ชุดหญิงรับใช้ที่ทำจากผ้าลูกไม้เขียวเข้มโดยมีด้านข้างที่แขนและเอวติดแถบผ้าขาวอย่างสวยงาม ผมยาวสีดำนุ่มสลวยไหลลงมาถึงเอวและเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายของเธอ
พวกเธอทั้งสามลอบออกมายามวิกาลเป็นครั้งแรกที่อันนะได้ทำสิ่งที่อยากลองทำมานาน มันยากถ้าจะลอบออกมาจากปราสาทในช่วงที่ดวงตะวันยังสาดส่องลงมาเพราะทุกคนในปราสาทจะสังเกตเห็นได้ง่ายเธอเลือกที่จะใช้เวลากลางคืนซึ่งจะยากต่อการสังเกตของมหารเวร และอีกอย่างเลยเวลาของการเข้านอนเธอแล้ว
อันนะย่างกลายไปรวมเข้าฝูงชนของชาวบ้านพร้อมพี่เลี้ยงของเธอทั้งสองที่อกสั่นขวัญแขวนกลัวจะมีผู้ใดล่วงรู้เห็นท่านหญิงที่ควรจะเข้านอนในคฤหาสน์กลับแอบออกมาเดินเล่นยามวิกาลเช่นนี้
ในเมืองยามค่ำคืนแสงสว่างที่มาจากโคมไฟส่องแสงทั่วรอบเมืองเปรียบเสมือนแสงเทพส่องสว่างแห่งความสุข กลบความมืดของค่ำคืนให้มีความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาและสวยงามยิ่งขึ้น ความสวยงามและเสน่ห์ของเมืองนี้ทำให้ท่านหญิงแห่งฟูมิรู้สึกหัวใจเต้นแรงต่อการผจญภัยเล็กๆที่กำลังจะเริ่มต้นในเมืองนี้
“ท่านหญิงเจ้าคะ ข้าคิดว่าความนี้คงไม่ดีแน่ถ้าท่านเจ้าเมืองทราบข่าว”มายะพูดพร้อมองซ้ายมองขวา
“ข้าเห็นด้วยกับน้องสาวของข้าเจ้าคะท่านหญิง เป็นเรื่องที่ไมเหมาะสำหรับสตรีเช่นนะเจ้าคะ”มายุแฝดผู้พี่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลและห่วงต่อท่านหญิงของเธอ
หญิงสาวที่มีชาติตระกูลหรือบุตรีของเหล่าขุนนาง แม้แต่สตรีชาวบ้านของสมัยแรกถูกสอนสั่งให้ต้องรักษาความเคารพและความเป็นศูนย์กลางของครอบครัว และบทบาทของสตรีสูงศักดิ์ของตระกูลที่รับผิดชอบการดูแลบ้านเรือนและครอบครัว
การออกนอกบ้านในยามค่ำคืนถือเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและเป็นที่ไม่ยอมรับในสังคมของท่านหญิง นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์และข้อกำหนดทางสังคมที่จำกัดสำหรับหญิงสาวในการออกไปต่างพื้นที่ในยามค่ำคืน เช่น การรักษาความบริสุทธิ์และความเสียสละของผู้หญิง รวมถึงการเตรียมตัวและการปกป้องตนเองจากความอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในยามค่ำคืน
คำแนะนำจากพี่เลี้ยงทั้งสองที่คิดถึงหลักของหญิงสาวพรหมจรรย์ คำเตือนจากพี่เลี้ยงในการท่องเที่ยวในยามค่ำคืน เนื่องจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อรักษาความปลอดภัยของตัวท่านหญิงเอง ด้วยบรรดาศักดิ์ตำแหน่งของเธอจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์และการวางตัวต่อสังคมของตนในสถานการณ์ที่เหมาะสม
ซึ่งการออกนอกปราสาทในยามค่ำคืนไร้องค์รักษ์อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีต่อตัวหญิงสาวได้ พี่เลี้ยงอธิบายถึงเหตุผลต่างๆนาๆเพื่อโน้มน้าวให้ท่านหญิงยอมกลับปราสาทไปพร้อมพวกเธอ แต่สิ่งที่ได้ยินต่อจากนี้เล่นเอาพี่เลี้ยงทั้งสองถึงกับเหงื่อตกอยู่ในใจ
"ข้ายังไม่อยากกลับไปในปราสาท ข้าต้องการเปิดโลกใหม่ อยากรู้อยากเห็นว่ามีอะไรที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนบ้าง"อันนะหันหน้ามายิ้มหวานตอบกลับพี่เลี้ยงของเธอ
มายะจึงถามกลับไปว่า
"แต่ท่านหญิงอานากะเจ้าคะ ปราสาทก็เป็นบ้านของท่านหญิงนะเจ้าคะ มีสิ่งใดที่ท่านหญิงโปรดปรารถนาพวกข้าสามารถหามาให้ดีกว่านะเจ้าคะ "จริงอยู่ที่การใช้ชีวิตในปราสาทนั้นสะดวกสบายกว่ามาใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน สิ่งไหนที่อยากได้ก็มีเหล่าบรรดาผู้รับใช้สรรหามาให้ เพียงแต่ว่าสำหรับอันนะ…..
"ข้ารู้สึกว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้เห็นเมืองนี้ด้วยตัวข้าเอง เมืองที่ท่านแม่เคยพาข้ามาพบปะกับผู้คนถามเรื่องความเป็นอยู่ของพวกเขา ทำอะไรสนุกด้วยกันเหมือนสมัยที่ข้ายังเป็นเด็ก" อันนะตอบกลับไปอีกครั้ง
พี่เลี้ยงมายุพูดต่อไปว่า "แต่ท่านหญิง ท่านเจ้าเมืองจะต้องสั่งกักบริเวณหรือโทษหนักคือจะมีคำสั่งห้ามท่านออกจากปราสาทตลอดกาลเลยนะเจ้าคะไว้พวกเราค่อยออกมาในช่วงที่ท่านเจ้าเมืองอารมณ์ดี พวกข้าจะช่วยท่านหญิงเองนะเจ้าคะ"
อันนะเงียบฟังชั่วครู่ เธอหันกลับและกล่าวกับพี่เลี้ยงทั้งสองว่า
“ข้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าทั้งสองพูดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตอนนี้ข้าอยู่นอกปราสาทแล้วจะให้หันหลังกลับหลังจากทำเรื่องไม่ดีแล้วข้าคงเสียใจเป็นชาติแน่ๆ ข้าขอเวลาไม่เกินเที่ยงคืนเท่านั้น ได้หรือไม่” พี่เลี้ยงทั้งสองเองต่างเห็นใจในตัวท่านหญิง พวกเธอดูแลหญิงสาวมาตั้งอ่อนแต่ออกรู้ว่าสิ่งใดที่ท่านหญิงของพวกเธอมุ่งมั่นที่จะทำแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดรั้งเธอไว้ได้ ทั้งสองพยักหน้าตกลงเข้าใจก่อนจะเดินตามอันนะที่ยิ้มระรื้นเข้าไปรวมกลับฝูงชน
อันนะรู้สึกแปลกตากับสิ่งรอบตัวที่เธอเห็น เธอรู้สึกว่าเธอเองก็มองการใช้ชีวิตของผู้คนผ่านหน้าต่างบนยอดปราสาทอยู่บ่อยครั้งแต่ทำไมถึงไม่เหมือนกับที่เธอได้เห็นกับตา ได้จับต้อง ได้มองอย่างใกล้ๆแบบนี้ การได้ออกมาเดนเล่นในเมืองแบบนี้ยิ่งทำให้อันนะรู้สึกว่าเธอได้รับอิสระ เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เธอยังรู้สึกว่าการเดินเล่นนี้ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นมากขึ้น และอันนะก็รู้สึกว่าเธอเองกำลังเริ่มมีเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆในตัว เธอเดินไปมาไม่ได้สนใจพี่เลี้ยงสองคนที่เดินตามพยายามเดินหลีกผู้คนมากมายที่เดินขวักไขวไปมาจนคลาดกับเธอจนได้
อันนะเดินไปเรื่ือยๆเจอผู้คนหลากหลาย กลิ่นหอมจากการกลั่นของเครื่องดื่มที่ขายตามร้านต่างๆและเสียงของผู้คนที่พูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของวันนี้ บ้างก็มีหญิงสาวที่แต่งชุดสวยงามออกมายืนหน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้าดูแปลกตาสำหรับอันนะดี เธอมองสิ่งต่างๆจนไปสะดุดตากับหญิงชราและหลายชายตัวน้อยที่เดินจูงมือกันอยู่สองคนทั้งสองสวมชุดซอมซ่อบ่งบอกว่าพวกเขาไม่มีฐานะ
หญิงสาวเดินเข้าไปช่วยหญิงชราที่ด้านหลังแบกตระกร้าสำหรับขนไม้แห้งสำหรับนำไปเป็นฝืนปรุงอาหารค่ำสำหรับมื้อเย็น อันนะเดินตามทั้งสองหวังช่วยสะพายย่ามแทนหญิงชรา
เธอถามหญิงชราว่า "ท่านยายให้ข้าช่วยท่านได้ไหมคะ ข้าสามารถช่วยสะพายย่ามแทนท่านยายได้"
หญิงชรามองอันนะ และรอคิดสักครู่
"ขอบคุณเจ้ามากเลย เรียกข้าว่ายายมิวะ ปกติพ่อของเด็กคนนี้จะต้องออกไปเก็บหน่อไม้ที่ป่านอกเมืองแต่เพราะเขาล่มป่วย ข้าและไคโตะเด็กคนนี้จึงต้องออกไปทำแทน"
อันนะเดินกลับบ้านของหญิงชรา ทางเดินสั้นๆ อยู่ไม่ไกลจากที่อันนะหยุดช่วยหญิงชรา หลังจากเดินเส้นทางเพียงไม่กี่นาที หญิงชราและเด็กน้อยพูดถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาจนถึงมาถึงบ้าน และบอกขอบคุณหญิงสาวอีกครั้งหนึ่งอันนะมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าสามารถหันกลับมาเห็นโลกนอกปราสาทอีกครั้งได้ และมีความสุขในการช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังลำบาก
“เจ้าเป็นคนดีจริงๆ ขอบคุณมาก ถ้าเจ้าไม่รีบไปไหน ข้าอยากชวนเจ้ามากินข้าวเย็นที่บ้านกัน”หญิงชราพูดเอ่ยชวนอันนะ เปิดโอกาสให้ท่านหญิงในปราสาทได้ลองใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป หญิงสาวตอบรับทันที
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะท่านยาย ข้ายินดีที่จะไปกับท่านเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้น อันนะได้ไปกับหญิงชราและหลานชายตัวน้อยที่ไปอยู่ที่บ้านของหญิงชรา พวกเขารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน พูดคุยหลายๆเรื่องซึ่งแต่ละอย่างทำเอาหัวใจของหญิงสาวเต้นออกมาอย่างตื่นเต้นกับเรื่องเล่าสนุกจากหญิงชรา
"ที่บ้านข้ามีต้นไม้ผลที่ข้าเลี้ยงอยู่ ข้ามีสมุนไพรและผักในสวน ข้าอยากชวนท่านยายและไคโตะคุงมาที่บ้านข้าด้วยนำผักที่บ้านข้ากลับมาที่บ้านทำอาหารได้หลายมื้อเลยนะเจ้าคะ คงประโยชน์กับพวกท่านไม่น้อย"อันนะพูดพร้อมเสนอเรื่องที่ทำเอาสองยายหลานมองหน้ากัน
“จริงสิอันนะจัง ระหว่างทางเดินกลับบ้านเจ้าถามข้าถึงเรือนกระจกหลวงใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ ท่านยายรู้หรือไม่เจ้าคะว่าเรือนกระจกหลวงตั้งอยู่ที่ใด ข้าไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้วจนจำทางไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”หญิงสาวรู้สึกผิดที่ต้องให้หญิงชราบอกทาง นี่คืออีกเรื่องที่เธอปรารถนาอยากจะทำเมื่อได้ออกมานอกปราสาท
หญิงชราหยุดชะงักวางตะเกียบและถ่วยน้ำซุปลง ก่อนถอนหายใจทำหน้ากังวลเล็กน้อย
“อันนะจัง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากไปที่นั่นทำไม แต่ข้าขอเตือนว่าเจ้าควรกลับบ้านไปซะดีกว่า ที่นั่นกลายเป็นสถานที่ที่แตกต่างจากเมื่อก่อนในสมัยที่แม่ดอกไม้งามยังมีชีวิตอยู่มาก…..”
“มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ! ท่านยายโปรดบอกข้าเถิด”