บทเรียนของพ่อแม่ บาดแผลตลอดกาล

2448 Words
“ท่านห​​​​​​​ญิงอานากะ ถึงเวลาเข้าข้างในแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ”เสียงของหญิงรับใช้วัยชราเรียกขานเด็กสาวในชุดกิโมโนสีขาวบาง ปล่อมยาวสีดำสยายผมแสกกลางให้พลิ้วไหวตามสายลมยามค่ำคืน “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านป้า” ฟุโดว ฟูมิ อานากะ บุตรีเจ้าของคฤหาสน์ฟูมิที่มีท่านพ่อเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่คอยปกครองเมืองตามคำสั่งเบื้องบน พวกเขาขนานนามพ่อของข้าว่า ขุนนางจอมล่าสนาม ถึงจะเป็นคนที่ประชาชนรักและเคารพ แต่พวกเขาก็รู้ว่าการเข้ามาประจำตำแหน่งแบบนี้ได้ผู้ปกครองของเมืองนี้ต้องผ่านสมรภูมิที่ดำมืดมาก่อนอย่างเช่น การเข่นฆ่าผู้คน ใช่ ข้าพูดไม่ผิดหรอก ท่านพ่อของข้าสมัยที่ยังไม่ได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ปกครองของเมืองฟูมิแห่งนี้ ท่านเป็นเพียงนายพลคนหนึ่งที่ผ่านมายังเมืองนี้ในช่วงสงครามและทำได้ทำการกวาดล้างพวกกบฏต่างๆและยังสั่งสมผลงานมาจนเป็นที่ยอมรับของกษัตริย์ ถูกเรียกเข้าวังหลวงเพื่อไปรับยศและของบรรณาการเป็นของรางวัล ท่านพ่อย้ายมาประจำการอยู่ที่เมืองนี้และตั้งใจพัฒนาเมืองจนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง และกาลเวลาก็นำพาท่านแม่ให้มาพบกับท่านพ่อที่สวนดอกไม้ประดับ ท่านแม่เล่าว่าพวกท่านเจอกันตอนที่พ่อเดินลาดตระเวนทั่วเมืองและมาหยุดพักที่สวนไม้ประดับ ท่านพ่อได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง คนคนนั้นคือท่านแม่ที่แอบสาวรับใช้มาเดินเล่นและเห็นว่าที่นี่ดอกไม้ช่างงดงามและหลากหลาย ท่านจึงมาที่นี่และทำการจัดสวนอยู่บ่อยๆ วันนั้นท่านแม่เจอเข้ากับงูตัวหนึ่งมีขนาดใหญ่ที่น่าแปลกคืองูตัวนั้นมีเกร็ดสีเงิน ท่านแม่ถูกกัดเข้าที่แขนท่านจึงกรีดร้องออกมา และคนที่เข้ามาพบเข้าก็คือท่านพ่อ ท่านสองคนตกหลุมรักกัน เวลาผ่านไปท่านทั้งสองก็ได้กำเนิดข้าออกมา ท่านแม่เล่าว่าตอนแต่งงานกับพ่อ ท่านพ่อดูไม่ยินดียินร้ายเหมือนถูกบังคับให้มาแต่งงาน แต่พอรู้ว่าท่านแม่ตั้งครรภ์ท่านพ่อผละภาระงานทั้งหมดทิ้งและตรงดิ่งมาหาท่านแม่เป็นคนแรก ทุกคนต่างแสดงความยินดีกับทั้งสองในวันที่ข้าลืมตาดูโลกวันแรก ทุกอย่างดูเหมือนเรื่องราวแสนสวยใช่หรือไม่ ยัง….ยังก่อนเนื้อเรื่องของจริงกำลังจะเริ่มขึ้น มันช่างเป็นโหดร้ายสำหรับเด็กหญิงในวัยเจ็ดขวบในวัยที่ต้องการความรักและดูแลเป็นพิเศษจากคนในครอบครัว ในวันนั้นข้ายังจำได้ไม่มีวันลืม ตึก! ตึก! ตึก! “คุณหนูอานากะเจ้าคะ อย่าวิ่งค่ะ อย่าวิ่ง เกิดสะดุดล้มมานายท่านต้องทำโทษฆ่าแน่ๆเลยค่ะ ” “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูนายโปรดหยุดวิ่งก่อนนะคะ เชื่ออิฉันเถอะนะคะ” หญิงสาวรับใช้ทั้งสองถูกแต่งตั้งให้มารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กหญิงตัวน้อยๆจากนายหญิงของปราสาทหลังนี้ เด็กสาวที่เป็นถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้ปกครองเมืองกำลังวิ่งถือตุ๊กตาถักไหมอย่างดี วิ่งจากห้องของเด็กหญิงเองไล่ไปตามห้องต่างๆรอบปราสาทจนถึงห้องขนาดใหญ่ ซึ่งให้บรรยากาศที่แตกต่างจากข้างหน้าของตัวปราสาทที่มีเหล่าข้ารับใช้บริวารทั้งหลายต่างก็เดินขวักไขว่ไขว้ไปมาทำงานของตัวเอง บ้างก็มักจะมีเสียงการฝึกฝนของเหล่าทหารซามูไรที่อยู่กลางลาน เสียงกวาดใบไม้ เสียงรดน้ำต้นไม้ เสียงของแม่ครัว และเหล่าบรรดาสาวใช้ที่กำลังคุยเรื่องซุบซิบเพิ่มสีสันให้กับด้านของตัวปราสาทเป็นอย่างดี เด็กหญิงวิ่งถือตุ๊กตาที่ถูกส่งต่อมาให้เธอเป็นอย่างดี ก่อนที่เด็กสาวจะก้าวข้ามไปยังแผ่นไม้ที่จะเป็นเขตของปราสาทด้านหลังที่ถูกเรียกว่า “เขตต้องห้าม” ถูกเตือนจากสองพี่เลี้ยงที่ทำหน้าตื่นตระหนกตามเด็กสาวมา “คุณหนูน้อย โซระ! ค่ะ ” เอี๊ยด…… “หู้ว~ เกือบไป ” เด็กหญิงแทบเบรกไม่ทันเพราะคำว่าโซระเป็นรหัสที่ไว้ใช้กับเด็กหญิงและพี่เลี้ยงของเธอ มีความหมายว่าตอนนี้พวกเขาก้าวเข้ามาในเขตหวงห้าม บรรยากาศของตัวเรือนของหลังปราสาทจะเงียบไม่มีเสียงรบกวนใดๆ มีเพียงเสียงของสายธารไหลจากน้ำตกที่อยู่ในสวนที่ถูกตกแต่งให้ภายในลานของตัวเรือนที่ล้อมรอบไปด้วยห้องต่างๆตรงกลางลานถูกแบ่งออกเป็นพื้นสองส่วน ส่วนแรกคือสวนหินที่มีศาลาน้อยๆสำหรับจิบน้ำชา และอีกฝั่งคือน้ำตกขนาดย่อที่ถูกจัดและรายล้อมไปด้วยพืชที่ต้องการความชื้นจากสวนน้ำ “ค่อยๆเดินนะเจ้าคะ ” “อื้ม ข้าจะค่อยๆเดิน ข้าจะไปหาท่านแม่ เพื่อขอให้พรุ่งนี้ให้ท่านพาข้าออกไปเดินเล่นนอกปราสาท” “แต่ข้าน้อยคิดว่านายท่านอาจจะไม่อนุญาตนะคะ คุณหนูน้-” “แต่ข้าจะไป!” เด็กสาวฟังสิ่งที่พี่เลี้ยงบอกเธอเถียงขัดทันที เด็กหญิงทำหน้างอแงใส่พี่เลี้ยง ในสายตาของทุกคนไม่ว่าเด็กหญิงจะมีทีท่าหรืออยู่ในอารมณ์ดีใจ โกรธ เศร้า หรืออย่างไรก็ตามเด็กสาวก็เป็นที่เอ็นดูในสายตาของทุกคนเพราะใบหน้าราวกับถูกสร้างมาจากมือพระเจ้า เด็กสาวเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้คงเพราะยังเยาว์วัยทำให้ไม่รู้ว่าควรแสดงออกมาอย่างไรเป็นคำพูด ดวงตาของเด็กสาวรู้สึกเหมือนมีน้ำอะไรใสๆพานจะไหลออกมา แต่เมื่อเสียงพูดจากด้านหลังพูดออกมาเด็กหญิงหยุดชะงักทันที “……ลูกมาทำอะไรที่นี่” “ท่านพ่อ!” “นายท่าน!/นายท่าน!” เด็กสาวหันหน้าไปตามเสียงเรียก ชายหนุ่มวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามใบหน้าเกลี้ยงเกลาไม่ไว้นวด มีเพียงแต่รอยแผลเป็นจากการเข้าร่วมสงครามสมัยหนุ่มๆสวมยูกาตะบิระสีเข้มที่นิยมสวมใส่ในช่วงของฤดูร้อน ชุดยูกาตะบิระทำมาจากผ้าฝ้ายที่มีคุณสมบัติดูดซับเหงื่อและความชื้นได้ดีในฤดูที่มีอากาศร้อนแบบนี้ได้ เด็กหญิงตกใจนิดหน่อยที่คนที่อยู่ด้านหลังคือบิดาผู้บังเกิดเกล้า ส่วนพี่เลี้ยงทั้งสองนั่งอยู่ในท่านั่งคุกเข่าเคารพผู้นำ “ท่านพ่อ ขะ ข้านึกว่าท่านออกไปว่าราชการนอกปราสาทซะอีก” “พ่อถามว่าลูกมาทำอะไรที่นี่ ….อย่าให้พ่อต้องพูดซ้ำ” “ข้ามาหาท่านแม่เจ้าค่ะ” เมื่อเด็กหญิงพูดจบ พี่เลี้ยงถึงกับเงยหน้าขึ้นมาจะห้าม พวกเธอมีสีหน้าซีดทันทีเพราะรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น “ไม่ได้! เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่เจ้าลืมไปแล้วรึ” “แต่ว่าข้าอยากไปหาท่านแม่นี่เจ้าค่ะ ท่านแม่! ท่านแม่!” ว่าแล้วเด็กหญิงก็ขัดคำสั่งของผู้บิดาอีกครั้งโดยการวิ่งผ่านหน้าเขาตรงดิ่งไปที่ห้องด้านในสุด โดยมีเพียงเลี้ยงที่จะวิ่งตามแต่ก็ไม่ลืมที่จะทำความเคารพผู้นำสูงสุดของที่นี่ “พวกข้าน้อยต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ พวกข้าจะรีบไปตามคุณหนูน้อยกลับมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”พูดจบพี่เลี้ยงก็รีบก้มหัวผ่านเจ้าของปราสาทตามเด็กหญิงไปทันที ฟึบ! “ท่านแม่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาหาท่านแล้ว” “ว๊าย! คุณหนูเจ้าคะ มาที่ได้อย่างไร” “พวกเจ้ารีบห้ามคุณหนูเร็ว!” เด็กสาวเลื่อนเปิดประตูบ้านใหญ่หรือโชจิ บานเลื่อนที่ทำจากไม้และมีกระดาษโปร่งแสง ช่วยให้แสงธรรมชาติเข้ามาในตัวห้องด้านใน จากความเงียบที่มีเสียงของจักจั่นกำลังร้องเพลงถูกแทนที่ด้วยเสียงโวยวายของเหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ภายในห้องใหญ่ เด็กหญิงได้กลิ่นของยาจากสมุนไพรนานาของชนิดจากเตาน้ำมันหอมระเหย เธอตรงดิ่งไปที่ฉากกั้นด้านหลังที่มี ซุดาเระ ม่านหน้าต่างแบบดั้งเดิมใช้ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน โชจิถูกเลื่อนให้แสงส่องเข้ามายังห้องเมื่อเห็นว่าคนที่เดินตามหลังคุณหนูและพี่เลี้ยงทั้งสองมาคือเจ้าบ้าน เหล่าข้ารับใช้รีบก้มหัวแสดงความเคารพทันที “แค่ก! แค่ก! นั่นลูกหรือ……” “เจ้าค่ะ ท่านแม่ทำไมวันนี้ถึงเลื่อนมู่ลี่ลงล่ะเจ้าคะ วันนี้อากาศออกจะสดใสและเส้นโค้งๆหลายสีลอยอยู่ฟ้าด้วยเจ้าคะ” ร่างบางของนายหญิงของปราสาทกลั้นเสียงไออีกครั้งที่ได้ฟังเสียงใสของผู้เป็นลูกสาวกำลังเล่าเรื่องต่างๆผ่านสายตาของเหล่าข้ารับใช้ที่นั่งอยู่อย่างกังวลกับอาการป่วยของนายหญิงของพวกเขา “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แม่ดอกไม้แสนงามของข้า” เสียงเรียกอันคุ้นเคยของผู้เป็นสามีสะท้อนซึมเข้าหัวใจผูเป็นภรรยา เสียงทุ้มสุขุมพร้อมการปรากฏตัวเรียกรอยยิ้มแสนสำคัญในชีวิตของผู้เป็นสามี ร่างบางบนฟูกนอนขยับช้าๆเพื่อลุกขึ้นนั่งมองสามีและลูกสาวตัวน้อยที่มาเยี่ยมเธอ “กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ท่านพี่…”ข้ารับใช้ประจำตัวค่อยๆประคองนายหญิงของคฤหาสน์ แต่ไม่ทันผู้เป็นนายเหนือหัวของพวกเขาที่เข้ามารับตัวภรรยาให้ขยับมานั่งมีตัวของสามีเป็นเหมือนที่รองหลังและอ้อมแขนแกร่งเปรียบเหมือนไออุ่นจากพระอาทิตย์ “เจ้าต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้มากๆ สักวันพวกเราจะได้ออกไปนั่งดูสวนที่เจ้าจัดไว้ข้างนอกกัน” “เจ้าค่ะ ข้าจะรักษาตัวให้หาย อานะกะ แม่ขอโทษนะลูก ที่ช่วงนี้ลูกต้องอยู่คนเดียว” เด็กสาวได้ฟังแบบนั้นพยักหน้าเข้าใจ คุณหนูน้อยพยายามเดินเข้าไปหาผู้เป็นมารดาใกล้ๆหวังว่าให้ผู้เป็นมารดาอุ้มเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเหมือนแต่ก่อน ฟึบ! แต่ก็ถูกแขนแกร่งจากผู้เป็นบิดากั้นขวางเอาไว้ เด็กสาวที่ไม่พอใจในตัวบิดาอยู่ก่อนหน้าเริ่มเบะปากขึ้นอีกครั้ง “เหตุใดท่านพ่อถึงกอดท่านแม่ได้ แต่ข้าถึงไปกอดท่านแม่ไม่ได้เจ้าคะ! ฮ ฮึก….ท่านแม่ กอดข้าที กอดข้าได้มั้ยเจ้าคะ”เด็กสาวงอแง พี่เลี้ยงทั้งสองเข้าใจเหตุผลที่นายเหนือหัวทำแบบนั้น แต่อีกใจก็เอนไปทางคุณหนูของพวกเธอมากกว่า การจะทำให้คุณหนูหยุดร้องนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากและเห็นว่าเป็นการรบกวนการพักผ่อนของนายหญิง พวกเธอจึงค่อยๆคลานเข้าไปใกล้ตัวคุณหนูหมายจะพาตัวเธอออกมาและช่วยกันปลอบ แต่เป็นอันต้องหยุดชะงัก “เหตุใดเจ้าถึงต้องมาเสียน้ำตากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม่ของเจ้าไม่สบาย นางต้องการพักผ่อน”เสียงทุ้มสุขุมเพิ่มโทนต่ำขึ้นเล็กน้อยพูดกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขา “ก็ข้าคิดถึงท่านแม่นี่เจ้าคะ ท่านพ่อไม่ให้ข้ามาพบท่านแม่เลย…..ท่านแม่เป็นอะไรหรือเจ้าคะ” “เด็กน้อยอย่างเจ้าจะรู้อะไร อีกอย่างที่คือเขตหวงห้าม ต้องเงียบสงบไม่ใช่สถานที่ให้เด็กไม่ยั้งคิดอย่างเจ้ามาเสียงดังรบกวน ออกไปซะ …..” “แต่ข้าจะ-” “พ่อบอกให้ออกไปก่อนไง!” “ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงต้องพูดจาโหดร้ายกางง “ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงต้องพูดจาโหดร้ายกับนางงคือลูกของพวกเรานะคะ ข้าเองก็เจอ…..มาก ลูกคงเหงาที่ข้า- แค่ก! แค่ก!” “เจ้า! เรียกหมอมาเร็ว ไปตามหมอมาให้ไวที่สุด!” “เจ้าค่ะ/ขอรับ” “ท่านแม่! ท่านแม่เจ้าคะ” “พาอานากะออกไปก่อน” “เจ้าค่ะนายท่าน/เจ้าค่ะ คุณหนูอานากะออกมาก่อนนะเจ้าคะ”พี่เลี้ยงทั้งสองพาคุณหนูออกมายังข้างนอกห้อง เสียงข้างในดูวุ่นวายเนื่องจากอาการของนายหญิงทรุดตัวลง “คุณหนูเจ้าคะ ข้าว่าไว้พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาเยี่ยมนายหญิงกันใหม่ดีมั้ยเจ้าคะ” “ใช่เจ้าค่ะ วันนี้โปรดให้นายหญิงได้พักผ่อนให้เพียงพอดีกว่านะเจ้าคะ” เด็กสาวกอดตุ๊กตาในมือแน่น ยืนคิดเงียบๆอยู่สักระยะก็เงยหน้าขึ้นมา “ท่านแม่จะไม่ตายใช่หรือไม่……” คำถามจากเด็กตัวเล็กๆแต่สะเทือนอารมณ์บ่าวทั้งสอง ไม่กล้าที่จะตอบรับหากไม่เป็นเช่นดั่งที่คุณหนูน้อยกล่าว มีหวังคอของพวกเธอคงได้หลุดออกจากบ่าในเร็ววัน “ข้าจะมาเยี่ยมท่านแม่วันหลังก็ได้ ข้าเพียงแค่อยากออกปเดินเล่นกับท่านแม่เหมือนแต่ก่อนก็เท่านั้นเอง”เด็กหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ” “อืม ข้าไปก่อนนะคะท่านแม่ รักษาสุขภาพท่านด้วย”เด็กสาวหันหน้าเข้าไปทางในห้องที่มีกลิ่นยาคลุ้งคลักไปทั่ว เด็กหญิงจับมือพี่เลี้ยงทั้งสองเดินออกไปสวนทางกับหญิงรับใช้คนหนึ่งที่ถือถาดยาหนึ่งถ้วยกำลังเดินเข้าไปในห้อง รางสังหรณ์ใจแปลกๆเมื่อสาวใช้คนดังกล่าวเดินผ่านเด็กสาวไป แต่เธอเป็นเพียงย่อมไม่รู้ว่าความรู้สึกไม่สบายใจนี้คืออะไรได้แต่ปล่อยให้ผ่านไปเท่านั้น …….และนั้นคือภาพสุดท้ายที่ข้าได้เห็นท่านแม่เพราะหลังจากที่ข้ากลับมายังห้องของตัวเอง ไม่นานเสียงความวุ่นวายจากทางด้านหน้าปราสาทส่งไปทางด้านหลัง ข้าเพียงได้แต่เลื่อนประตูแง้มออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าข้ารับใช้ทุกคนต่างวิ่งแตกตื่นไปทางปราสาทเรือนด้านหลังกันยกใหญ่ มีสาวใช้คนหนึ่งเดินมาพูดกับพี่เลี้ยงของข้าทั้งสอง พวกเธอนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมีสีหน้าตกใจและหันหน้ามามองข้าซึ่งยังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ความ ข้ารู้แค่เพียงว่าต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่างไม่รู้ว่าคือเรื่องที่ดีหรือไม่ดี ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของพี่เลี้ยงและสัมผัสได้ถึงความชื้นจากหยุดน้ำตาที่พวกนางกอดข้านั้นข้าไม่เคยลืม ผ่านไปอีกหนึ่งคืนของวันถัดไปข้าถึงได้รู้ว่าแม่ของข้านาง….ได้จากข้าไปแล้วจากการถูกวางยาพิษในยา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD