อืม...
หัวคิ้วคมเข้มขมวดติดกันอย่างเคร่งเครียด
นัยน์ตาสีอิฐจ้องมองวิดีโอเคลื่อนไหวของฉากวาบหวิว อย่างพิจารณานานหลายนาที ก่อนจะกดสายตาคู่นั้น มองไปที่ท่อนเนื้อตายด้าน ที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เลยแม้แต่นิดเดียว
ลมหายใจร้อนผ่าวถูกระบายผ่านริมฝีปากหยักได้รูปอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่ความเป็นชายของเขา ไม่ได้ผงาดขึ้นมาอย่างเกรียงไกรอีกครั้งหนึ่ง
เท่าที่จำความได้ล่าสุด น่าจะเป็นตอนที่เขาอายุยี่สิบห้า แล้วดันไปมีอารมณ์สวาท กับเด็กอนุบาลหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ที่กำลังเดินจูงมือข้ามถนนกับพ่อขี้เมา ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังขับรถไปทำธุระส่วนตัว
ซึ่งเด็กคนนั้นทำให้เขาคิดว่าตนเองเป็นพวกโรคจิต วิตถาร ที่ไปคิดสัปดนกับเด็กน้อย ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้มีอารมณ์อย่างว่ากับเด็กทุกคน แต่มีอารมณ์สวาทกับเด็กคนนั้นเพียงคนเดียว
ซึ่งความรู้สึกนั้น ก็ผ่านนานมาแล้วถึงสิบสามปี
ช่วงสามปีแรก เขาตามหาที่อยู่ของเด็กน้อย แล้วเฝ้ามองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ด้วยความที่แม่ของเด็กเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เด็กน้อยต้องอยู่กับพ่อขี้เมาเพียงสองคน ในบ้านสังกะสีเก่าๆ แถวสลัม
ด้วยที่เขาอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วย ให้ชีวิตของเด็กคนนั้น ไม่ต้องจมอยู่กับความลำบากจนหมดหนทางในอนาคต จึงส่งลูกน้องให้ไปปล่อยเงินกู้นอกระบบกับพ่อของเด็กเป็นกรณีพิเศษ จำนวนเงิน 'สิบล้านบาท' ยืดระยะเวลาในการชดใช้หนี้สินได้ถึงยี่สิบปี จะผ่อนจ่ายหรือจะจ่ายทีเดียวก็ได้ ขอแค่เงินนั้น ผลักดันชีวิตเด็กน้อย ให้รอดพ้นจากความลำบากตรากตรำ
และเหตุผลที่ไม่ให้แล้วให้เลย เพราะเขาอยากให้พ่อของเด็กมีความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต หางานทำหรือสร้างธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ได้เงินก้อนใหญ่ไปแล้วก็ยังกินเหล้าเมายา จนชีวิตไม่ขันเคลื่อนไปไหนเสียที เงินทอง ยังไงสักวันก็ต้องมีวันหมด หากไม่ดิ้นรนอนาคตก็คงหนีไม่พ้นชีวิตตกต่ำ เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เขาสงสารเด็กน้อยยังไง ก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูสามครั้งแทนคำขออนุญาตดังขึ้น
'รังสิมันต์' จึงเก็บอวัยวะส่วนที่สามสิบสองเข้าไปในกางเกง แล้วไม่ลืมที่จะรูดซิป เก็บซ่อนความลับของตนเองเอาไว้ หากลูกน้องรู้ว่านกเขาของหัวหน้าไม่ขัน ภาพลักษณ์ความเหี้ยมโหดของผู้ชายคนนี้ คงถูกทำลายภายในพริบตา
"ฉันเองค่ะ"
'เรไร' ภรรยานักธุรกิจที่อายุไล่เลี่ยกับสามี เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน พร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนให้อีกฝ่าย
"เอกสารอะไร?"
โทนเสียงทุ้มต่ำไร้ความอ่อนโยนเอ่ยถามภรรยากลับไป พร้อมกับเอื้อมมือที่เต็มไปด้วยรอยสักแนวโอสคูลปะปนเส้นเลือดปูดนูนหยิบซองสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมาเปิดอ่านเอกสารด้านใน
"ทำเด็กหลอดแก้วอย่างงั้นเหรอ?"
"ฉันเคยคุยกับคุณแล้วไง ว่าฉันอยากมีลูก คุณทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ทางการแพทย์เขาทำให้ฉันมีลูกได้"
"นี่ คุณอย่ามาพูดจาเหยียดหยามผมนะ"
"ฉันไม่ได้เหยียดหยาม และไม่มีคำพูดไหนสื่อไปในทางนั้นเลย ฉันเข้าใจว่าคุณไม่มีอารมณ์ แต่ฉันอายุมากขึ้นทุกวันๆ แล้วสิ่งที่ฉันอยากประสบความสำเร็จ มากกว่าธุรกิจคือการได้มีลูกสักคน ฉันอยากเลี้ยงลูก อยากเป็นแม่คนสักครั้งในชีวิต ฉันเลยไปทำเรื่องนี้เอาไว้ และใกล้จะถึงคิวแล้ว ฉันเลยรีบมาบอกเรื่องนี้กับคุณ"
"แต่ผมผลิตอสุจิไม่ได้ แล้วเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของใคร?”
"ฉันไปติดต่อขออสุจิจากผู้ชายคนอื่น เขามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง รูปลักษณ์ดี รับรองว่าเด็กที่เกิดมา ต้องเป็นเด็กที่มีคุณภาพ และศักยภาพที่ดีแน่นอนค่ะ"
โครงหน้าคมเข้มส่ายหัวไปมาอย่างไม่เห็นด้วย ถ้าจะต้องมีผู้สืบทอดเชื้อสายสักคน เขาอยากมีลูกที่เกิดมาจากสายเลือดของตนเอง ไม่ใช่ลูกที่เกิดจากอสุจิของใครก็ไม่รู้ อย่างนั้นเขารับไม่ได้ โดยเฉพาะครอบครัว 'รังสิมันต์' ก็ยิ่งแล้วใหญ่
"งั้นเรามาสร้างข้อตกลงกันไหมคะ?"
ภรรยายื่นข้อเสนอให้แก่ผู้ชายมาดเข้มผู้ซึ่งเป็นสามี
"ฉันขอมีลูก ส่วนคุณจะไปมีใครก็ได้"
"คุณกำลังเปิดทางให้ผมมีเมียน้อยงั้นเหรอ?"
"ประมาณนั้นค่ะ เราสองคนแต่งงานกันเพราะส่งเสริมธุรกิจให้เติบโต แล้ววันนี้ธุรกิจของเราก็ก้าวกระโดดไปอยู่ในจุดที่เกินความคาดหมายแล้ว ฉันเลยอยากมองอนาคตในการใช้ชีวิต และหวังว่าคุณจะเข้าใจ"
"โทษที แต่ผมไม่เข้าใจ เพราะต่อให้ผมมีเมียน้อย ยังไงผมก็ไม่มีความสุขในเรื่องนั้นอยู่ดี และผมไม่อยากเห็นลูกที่เกิดจากผู้ชายคนอื่น มาใช้นามสกุลของผม"
"รังสิมันต์ ฉันขอร้อง..."
"ผมคงทำตามที่คุณขอร้องไม่ได้"
หนุ่มลูกครึ่งปฏิเสธคำขอของภรรยา ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยเก้าสิบ แล้วย่างกรายออกไปจากห้องทำงาน โดยไม่คิดจะหันมาเปิดโอกาส
"ลูกพี่ออกมาแล้ว"
เมื่อเดินมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ลูกน้องคนสนิททั้งสามคนก็เดินเรียงคิวกันมาส่งซองเงินที่วันนี้ไปเก็บลูกหนี้มา ซึ่งคนสุดท้ายคือ 'ไอ้จ๊อดแจ๊ด' ไม่มีซองเงินติดมือมาด้วย ทั้งที่เขามอบหมายงานให้ไปเก็บที่เดียว
"ไหนเงินของกูอะ?"
"โบ๋เบ๋ครับ"
"ไอ้หน้าสัตว์ มึงหมายความว่าไงวะ!?"
ถ้อยคำหยาบโลน ทำเอาลูกน้องกลัวจนหัวหด
"คะ คือว่าลูกหนี้คนนี้ม่องเท่งไปแล้วครับลูกพรี่!"